11 ตอน IX Friend Zone เหรอ?
โดย FIT FOR FINE
Listen to this for your อรรถรสในการอ่าน
Lauv - Never Not
IX
Friend Zone เหรอ?
(Photo by Jp Valery on Unsplash)
There’s a room
In my heart with the memories, we made
Took’ em down but they're still in their frames
There’s no way I could ever forget
“มึงทำอะไรลูกกู!”
ผมสีสว่างถูกกระชากไปข้างหลังอย่างแรงจนเจ้าของหน้าแหงน
“โอ๊ย! อะไรวะ...”
อัลฟาตัวโตที่ตอนแรกขมวดคิ้วอย่างเดือดดาลเพราะถูกขัดจังหวะ เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนดึงหัวตัวเองสีหน้าก็เปลี่ยน คาร์ลอสยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไรก็โดนกระชากลงจากโซฟาอย่างแรง
“พี่เอมิลี่! คือ— คือว่า” ฮันเบิกตาโต ในสถานการณ์นี้ เขาทั้งอาย ทั้งตกใจ แต่รู้สึกอย่างหลังเสียมากกว่า
เพราะตอนนี้ฮันไม่ได้เปลือย เสื้อผ้ายังอยู่ครบทุกชิ้น จะมีก็แต่คาร์ลอสที่โยนเสื้อตัวเองไปไว้ทางไหนแล้วก็ไม่รู้ เหลือแต่กางเกงนอนที่เชือกพันกัน แกะไม่ออก
สภาพของอัลฟาผิวขาวตอนนี้ไร้เสื้อท่อนบน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อตึงแน่น แผงอก ลาดไหล่และหลังกว้าง ผิวสีซีดจัดทำให้เห็นเส้นเลือดที่อยู่ตามแนวแขนได้อย่างชัดเจน ไหนจะกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ขึ้นให้เห็นเป็นลอน แม้จะไม่ได้ใหญ่จัดชัดเจนเท่ากับนักเพาะกายหรือคนที่ออกกำลังกายประจำ แต่มันก็ยิ่งทำให้ฮันหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่สภาพเป็นแบบนี้ได้เพราะกำลังจะทำอะไร แค่เห็นหัวกระเซอะกระเซิงของฮัน ใบหน้าและลำคอขึ้นสีแดงจัด ทุกคนก็พอจะรู้คำตอบ
“ไอ้เปรตนี่...เขาอุตส่าห์ไม่เอาเรื่องรอบที่แล้ว รอบนี้มึงดักตีหัวลากเข้าบ้านเลยเหรอ มันจะเกินไปแล้ว” เอมิลี่พูดเสียงลอดไรฟัน
มองข้ามหลังเอมิลี่ไป ก็จะเห็นโจเซฟ ลูคัส ไคลี่ และชิน เรียกได้ว่ายกโขยงกันมาเพื่อปกป้องเพื่อนโอเมกาตัวเล็ก หรือที่เอมิลี่เรียกว่าน้องลูกฮัน(?)
โจเซฟทำมือตัดผ่านลำคอให้คาร์ลอสเห็น อาจแปลได้ว่า มึงไม่รอดแน่
“พี่เอมิลี่ครับ—”
“ฮันนี่! เป็นอะไรไหม โอเคหรือเปล่า พวกเราขอโทษ...ฮือ!” ไคลี่ที่ยืนอ้าปากค้างได้ไม่นาน เมื่อสติกลับเข้าร่างก็วิ่งถลาเข้าไปหาเพื่อนตัวน้อยที่หัวฟูเหมือนโดนจิกขยุ้ม(?) คว้าตัวเพื่อนมากอดก่อนจะปล่อยโฮอยู่บนโซฟา ส่วนชินที่ยืนนิ่งไปสักพักก็เดินมากอดหนึบอีกข้าง หน้าเศร้า คอตก
“เดี๋ยวก่อนไคลี่ ชิน จะร้องไห้ทำไม—”
“พี่ฮันนี่ครับ พวกผมขอโทษแทนพี่คาร์ลอสด้วยจริงๆ ผมรู้ว่าคำขอโทษไม่สามารถชดใช้ความผิดที่พี่คาร์ลอสทำลงไปได้ แต่ถ้าพี่ฮันนี่ต้องการให้ชดใช้ด้วยอะไรโปรดบอกได้เลย แต่พี่คาร์ลอสเขารวยมาก ต้องการเรียกค่าชดใช้เท่าไรดี ครับ ผมรู้ว่าพูดแบบนี้อาจฟังดูแย่—”
“ลูคัสมึงอย่าพูดเยอะ มานี่กูจะสรุป...คืองี้ครับน้องฮันนี่ พี่จับประเด็นให้เลยแล้วกันนะ อยากให้ชดใช้ด้วยเงินเท่าไรระบุได้เลย อยากให้มันเข้าคุกเข้าตาราง พร้อมเงินจำนวนเท่าไรก็ระบุได้เหมือนกัน หรืออยากเอามันไปทรมานแก้แค้นให้สมกับที่มันทำกับน้องฮัน—”
“โอ๊ย! ปล่อยกู!” เสียงคาร์ลอสร้องลั่นเรียกทุกสายตาให้หันไปมอง เมื่อครู่อัลฟาหนุ่มโดนจิกหัวอย่างแรง รู้สึกเหมือนจะมีผมหลุดติดมือเพื่อนไปด้วย
“มึงตาย!” เอมิลี่กัดฟัน ดึงคอหนาไปอีกทาง แขนอีกข้างล็อกคอแกร่งแน่น
“มึงฟังกู! เอมิลี่ กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย เพิ่งจูบ—”
“จูบ!? สภาพอย่างนั้นเขาเรียกจะปล้ำแล้ว ไอ้ควาย!”
ฮันปวดหัวตุบๆ ชินจึงยื่นยาดมที่อิมพอร์ตมาจากประเทศบ้านเกิดให้
“หรือว่าฮันนี่อยากกลับห้องก่อนไหม แล้วค่อยเคลียร์เรื่องนี้กัน” ไคลี่ว่าพลางเช็ดน้ำตาตัวเองป้อยๆ “ไม่สิ ไปให้การที่โรงพักเลยดีกว่า”
“คนเพิ่งเจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญมา พาไปพบนักจิตบำบัดดีกว่า” ชินว่า
“มึงบอกพวกมันไปสิ ว่าเราแค่จะมีเซ็กซ์กันเฉยๆ!” คาร์ลอสตะโกนมา แต่เมื่ออัลฟาตัวโตพูดแบบนั้น ก็ยิ่งโดนเอมิลี่ดึงหูแทบฉีก
“มึงไปบังคับขืนใจเขาสิไม่ว่า!”
“ทุกคนหยุด!” เมื่อฮันโพล่งขึ้นมา ทุกคนถึงได้หยุดพูดสิ่งที่กำลังเข้าใจผิด รวมถึงเอมิลี่กับคาร์ลอสก็ชะงักค้างในท่ากระชากหัวกัน “เราไม่ได้โดนขืนใจ ไม่ได้โดนบังคับ ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจผิดไปทั้งนั้น!”
“อ้าว...แล้ว” ไคลี่ทำนิ้วชี้ไปที่คาร์ลอสสลับกับฮัน
ฮันเตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องเล่า แต่พอถึงคราวที่ต้องพูด ก็รู้สึกกระดากอายขึ้นมา แก้มนวลขึ้นสีแดงปลั่งอย่างห้ามไม่ได้ เขากลืนน้ำลายเมื่อเห็นสายตาของทุกคนมองมาอย่างรอคอยคำตอบ
แต่เมื่อสบกับดวงตาสีฟ้าใสของคาร์ลอส และสภาพของอีกฝ่ายที่ยังโดนพี่เอมิลี่ขยุ้มหัวอยู่ ก็คิดว่าต้องรีบพูดไปให้ทุกคนหายแคลงใจ
“ที่จริงแล้วเรากับคาร์ลอสเป็น...เพื่อนกัน แล้วก็กำลังจะมีเซ็กซ์กันเฉยๆ”
“...?”
ฮันเหมือนเห็นเครื่องหมายคำถามปรากฏบนหน้าผากของทุกคน เขารีบเอ่ยต่อ “A friend with benefits”
ทุกคนทำหน้าเชื่อยาก หรือที่ศัพท์ฮิตสมัยก่อนพูดว่า เหลือจะเชื่อ
“ปล่อยหัวกูได้ยัง” คาร์ลอสถามคนที่ยังจิกหัวตัวเองอยู่
“ปล่อยคาร์ลอสเถอะครับพี่เอมิลี่ เขาไม่ได้รัท ไม่ได้หน้ามืดตามัว ไม่ได้ขืนใจผมแน่นอน ทุกอย่างผ่านคอนเซนท์จากผมจริงๆ ครับ อีกอย่างนะ...” ฮันหันมาหาไคลี่และชิน ก่อนจะว่าต่อ “เราไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่ายๆ แน่นอน เพื่อนน่าจะรู้ดีนี่ว่าเราเป็นคนยังไง ถึงจะเป็นแค่โอเมกาตัวเตี้ยๆ คนหนึ่ง แต่เราไม่ยอมคนง่ายๆ หรอกนะ”
ฮันพูดติดตลกเพื่อคลายความตึงเครียด ไคลี่และชินนิ่งฟัง ส่วนคาร์ลอสที่เพิ่งจะสะบัดคอหลุดจากเอมิลี่ตอนเผลอได้ก็บิดคอไปมาเพื่อคลายความปวด
“ไม่ดึงให้หัวกูหลุดไปเลยวะ” คาร์ลอสว่าเสียงหงุดหงิด
“ใครจะไปรู้ คนเกลียดโอเมกาอย่างมึง ลากโอเมกาเข้าบ้าน”
“พวกมึงมาบุกรุกบ้านกูยามวิกาล แล้วก็กล่าวหาว่ากูเป็นคนล่อลวงมันอีกเหรอ ลูกมึง? ฮันไปเป็นลูกมึงตั้งแต่เมื่อไร เอมิลี่ กูว่ามึงถามลูกตัวเองเลยดีกว่าว่าใครมันเป็นคนเริ่ม”
“มึงเรียกใครว่ามัน?” เอมิลี่ถลึงตาใส่ เกือบจะได้ดวลกันอีกแมทช์ ถ้าไม่ใช่เพราะลูคัสเข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกัน
“ถ้าเราขัดขืน ก็ต้องมีร่องรอยจากการต่อสู้บ้าง แต่ลองสังเกตให้ดี แม้แต่รอยขีดข่วนบนโซฟาก็ยังไม่มีเลยนะ ถ้าเราไม่ยอมจริงๆ แรงอัลฟาก็แรงอัลฟาเถอะ อย่างน้อยแจกันตรงนั้นต้องแตกเพราะได้ทุบหัวคนแน่นอน” ฮันไม่ว่าเปล่า ชี้ไปที่แจกันข้างโทรทัศน์
ถึงมันยากที่จะเชื่อ เพราะฮันเคยสลบจากกลิ่นฟีโรโมนรัทของคาร์ลอสมาแล้ว จนเอมิลี่ที่เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างของเพื่อนตัวเองคร่อมทับบนร่างของน้องฮันนี่ขวัญใจแก๊งโฉดก็เข้าใจผิด คิดไปถึงฉากนั้นในห้องแล็บทันที
ถ้ามาช่วยไม่ทัน
ใจของเอมิลี่ตกไปอยู่ตาตุ่ม ยามที่นึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องแล็บ เห็นนิ่งๆ แต่วันนั้นเธอโกรธตัวเองมากที่ปล่อยให้โอเมกาตัวน้อยอย่าง ฮัน ไนท์ เข้าไปในห้องแล็บตามลำพังกับมนุษย์ที่เกลียดทุกสรรพสิ่งโดยเฉพาะโอเมกาอย่างคาร์ลอส
โจเซฟและลูคัสไม่ได้แปลกใจกับอาการเลือดขึ้นหน้าของเอมิลี่แต่อย่างใด เพราะรู้ว่ามีบางอย่างที่ไปกระตุ้นให้เพื่อนสาวเป็นเช่นนี้
เอมิลี่ไม่ใช่มนุษย์ขี้โมโห ถ้าตัดเรื่องชอบแกล้ง ชอบยั่วโมโหคนอื่นออกไป ก็เป็นมนุษย์ใจเย็นมากคนหนึ่ง การที่จะทำให้เอมิลี่โกรธได้ มีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น
“สรุปเป็นเรื่องเข้าใจผิดสินะ เห็นข้อความล่าสุดที่ฮันนี่ตอบ บอกว่าอยู่บ้านคาร์ลอสแล้วก็หายไปเลย ไคลี่อ่านแล้วตกใจ คิดว่าฮันถูกลักพาตัวมาอยู่นี่ เลยบอกพวกพี่โจเซฟ ดีที่พี่เอมิลี่มีรหัสเข้าบ้าน เลยยกโขยงมาทั้งกลุ่มอย่างที่เห็น” ชินสรุป
“แต่โจเอลกับมาร์ค...” ฮันที่ไม่เห็นว่าสองคนนั้นมาด้วยก็พอจะรู้อยู่ว่าอาจติดเวลางานเลยไม่ได้อ่านแชทกลุ่ม แต่ไคลี่กลับยิ้มแห้งพร้อมพยักหน้าเบาๆ
“สองคนนั้นรู้เรื่องแล้ว กำลังตามมา” ชินพูด ฮันรู้สึกว่าเรื่องวุ่นวายน่าจะยังไม่จบในเร็วๆ นี้ แค่นี้เขาก็ปวดหัวจนไม่อยากทำอะไรแล้ว
เอมิลี่ขอแยกตัวไปที่มุมหนึ่งเพื่อคุยกับเพื่อนตัวเอง พร้อมไคลี่และชิน ถึงจะยืนคุยกันอยู่มุมห้อง แต่ก็ไม่ได้กระซิบด้วยน้ำเสียงที่เบานัก เอาเป็นว่า ฮันที่นั่งมึนงงอยู่บนโซฟาได้ยินแทบทุกคำ
“ถึงจะบอกว่าเป็นเพื่อน เป็น FWB เป็นโซลเมท เป็นพาร์ตเนอร์กันหรืออะไรก็ช่าง แต่ก็จะไม่ปล่อยให้ไปไหนกันตามลำพัง ถ้าเกิดว่าไอ้คาร์ลอสมันคลั่งขึ้นมาอีก หรือหน้ามืดกัดน้องลูกฮันขึ้นมาจะทำยังไง มึงก็รู้ว่ามันเป็นอัลฟาไม่ปกติ มันเกลียดโอเมกาจะตายห่า การที่มันเข้าหาน้องฮัน แปลว่ามันต้องคิดเรื่องเหี้ยๆ อะไรไว้แน่นอน”
เอมิลี่ยืนกอดอก เหลือบตามองฮันที่นั่งกะพริบตาปริบๆ เป็นระยะ ไหนจะจับตามองคาร์ลอสที่เดินไปหยิบเสื้อที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมทุกย่างก้าว
“แต่เดี๋ยวนี้อัลฟากัดโอเมกาก็ไม่บอนด์กันอยู่แล้วหรือเปล่า” โจเซฟพูด
บอนด์ (Bond) หรือการผูกพันธสัญญา ในยุคเริ่มแรกของการปฏิวัติพันธุกรรมมนุษย์ การมีเพศรองที่เหมือนเป็นการแยกชนชั้นทางสังคมไม่ใช่เพียงหายนะแรกของมนุษยชาติเพียงอย่างเดียว
ผลข้างเคียงของการมีเพศรองในพันธุกรรมมนุษย์ ABO ยุคแรก ไม่ใช่เพียงควบคุมฟีโรโมนของตนเองไม่ได้ แต่มันคือการที่มนุษย์ราวกับเดินถอยหลัง ย้อนกลับไปใช้อารมณ์มากกว่าสติสัมปชัญญะ เป็นยุคที่มนุษย์ดำรงอยู่ราวกับสัตว์ป่า
เมื่อใช้อารมณ์นำสติปัญญา ปัญหาทุกอย่างจึงเริ่มขึ้น คดีฆ่า การข่มขืน ทำร้ายร่างกาย ปรากฏเป็นหัวข้อข่าวแทบทุกวัน รวมไปถึงการบอนด์ที่ไม่ได้ตั้งใจระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
การบอนด์คือการผูกพันธสัญญาทางความรู้สึก โดยจะเกิดขึ้นเฉพาะคู่ที่มีเพศรองเป็นอัลฟาและโอเมกาเท่านั้น ระหว่างที่อัลฟาและโอเมกามีเพศสัมพันธ์กัน เมื่ออัลฟากัดเข้าที่หลังคอบริเวณต่อมปล่อยฟีโรโมน โอเมกาผู้นั้นถือว่าตกเป็นของอัลฟา ไม่ว่าจะตั้งใจกัดหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ไม่ว่าจะกัดมากหรือกัดน้อย รอยกัดนั้นจะอยู่ติดตัวของโอเมกาตลอดไปจนกว่าจะตายจากกัน
จะไม่มีผู้ใดได้กลิ่นฟีโรโมนโอเมกาที่ถูกบอนด์อีกต่อไป ยกเว้นอัลฟาคู่พันธะ ในขณะที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดกับอัลฟาเลย
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ตำนานที่เล่าขานปากเปล่า เพราะมันถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์วงการปฏิวัติพันธุกรรมมนุษย์ยุคแรกเริ่ม และถูกแก้ไขโดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังต่อมา จากการเรียกร้องของกลุ่มสหพันธ์ความเท่าเทียมมนุษย์
พันธุกรรมของมนุษย์ถูกปรับเปลี่ยนอยู่หลายครั้ง จนมาคงที่อยู่ในปัจจุบัน แต่ถึงจะกล่าวอย่างนั้น ผู้ที่มีเพศรองโอเมกาก็ยังถูกกดขี่ ไม่ทางตรง ก็ทางอ้อมอยู่ดี
ผู้ที่เรียกร้องมากเข้าถูกมองเป็นมนุษย์หัวรุนแรง ขวางโลก ส่วนผู้ที่ไม่เคยสนใจและเรียกร้องในเรื่องอะไรเลย จะถูกมองว่าเป็นอิกนอแรนซ์หรือผู้ไม่สนโลก และผู้ที่อยู่ครึ่งๆ กลางๆ เป็นกลุ่มคนที่มีพรรคพวกมากที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่รอวันว่าฝั่งไหนได้ประโยชน์มากกว่า ก็ค่อยเข้าข้างฝั่งนั้น
ปัจจุบันอัลฟากัดคอโอเมกา ไม่ส่งผลให้เกิดการบอนด์แต่อย่างใด เกิดรอยกัดได้ก็จริง แต่ไม่กี่วันรอยนั้นก็จะเจือจางลงไป เหมือนแผลที่ถูกสมานจนหายดี เพราะไม่มีโอเมกาคนไหนอยากถูกผูกพันธะโดยไม่ได้เต็มใจ รอยกัดเหมือนเป็นการแปะป้ายว่ามนุษย์คนนี้มีเจ้าของแล้ว และไม่มีมนุษย์คนไหนอยากมีสัญลักษณ์เหมือนเป็นสิ่งของที่ถูกแปะป้ายในตู้โชว์
“แต่ถ้ากัดตอนที่รัท คนถูกกัดอาจจะได้รับอาการบาดเจ็บมาก ตามแต่อารมณ์คลั่งของอัลฟานะพี่ ถ้าคลั่งมากและไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ อาจกัดคู่นอนรุนแรงถึงขั้นเสียเลือดมาก คู่นอนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้...” ลูคัสพูดตามทฤษฎี แต่กลับได้รับสายตาจากพี่ๆ ตวัดมองเป็นเชิง มึงจะพูดทำไมเนี่ย!?
“บอนด์...” ฮันพึมพำ มองฝ่ามือตัวเองที่นวดคลึงไปมาเพราะไม่รู้จะทำอะไร แค่คิดว่าตัวเองบอนด์กับคาร์ลอส ก็ร้อนไปถึงใบหูจนอัลฟาข้างกายสังเกตได้
“คิดอะไร มึงเพิ่งจะยี่สิบ คิดถึงการบอนด์แล้วหรือไง”
“อะ อะไรเล่า ยังไม่ได้ฝังชิปเลยเหอะ”
มีวิธีอีกมากมายเพื่อแสดงว่าคนสองคนรักกัน เป็นของกันและกัน หรืออยู่ร่วมกันเป็นคู่ชีวิต เหมือนมนุษย์ยุคก่อนที่เมื่อแต่งงาน จะมีสัญลักษณ์ว่ามีคู่แล้วคือการสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย
มนุษย์ยุคนี้จึงหาวิธีตอบสนองความต้องการของคน เมื่อแหวนถือว่าเป็นเหมือนเครื่องประดับหนึ่งของร่างกาย การบอนด์สามารถทำได้กับมนุษย์ที่ทั้งคู่บรรลุนิติภาวะหรืออายุยี่สิบปีขึ้นไป โดยเมื่อฝังไมโครชิปเข้าไปในร่างกายแล้ว สามารถเลือกคำสั่งจับคู่พันธสัญญา และเลือกได้ว่าจะให้แสดงสัญลักษณ์บนตัวกันและกันอย่างไร ซึ่งเดี๋ยวนี้นิยมวิถีเดิมคือให้แสดงบนนิ้วนางข้างซ้าย
อธิบายให้เข้าใจเห็นภาพ การบอนด์สมัยนี้จึงคล้ายกับการสักของมนุษย์ยุคก่อน ถ้าอยากแสดงสัญลักษณ์บอนด์ตรงตำแหน่งใดของร่างกายสามารถสั่งผ่านเอฟอร์ส ไมโครชิปที่ฝังในร่างกายจะค่อยๆ ปรากฏรูปร่างหรือคำที่ปรับแต่งเองบนร่างกายของทั้งคู่ ส่วนใหญ่แล้วเลือกให้ปรากฏบนผิวหนังที่มองเห็นได้ง่าย
ฉากในซีรีส์ยุคก่อน เวลาที่พระเอกคุกเข่าขอนางเอกแต่งงานแล้วสวมแหวนให้ ถูกมนุษย์ยุคนี้กลับมาทำซ้ำเพราะคิดว่ามันโรแมนติกดี แต่ไม่กดดันกับฝ่ายตอบรับเท่าแต่ก่อน เพราะการบอนด์ต้องผ่านการตัดสินใจของทั้งสองฝ่าย
จุดสังเกตสำคัญ การบอนด์จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ต่อให้จะตกลงกันแล้ว หรือฝังชิปในร่างกายกันทั้งคู่แล้ว กดยืนยันการบอนด์แล้ว...แต่ไม่ได้รักกันจริง
ไมโครชิปจะตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ ความรู้สึกนึกคิดยามที่อยู่ใกล้บุคคลที่จะบอนด์ มันฉลาดจนถึงขั้นประมวลผลให้ได้ว่าเรารู้สึกใจเต้น หรือมีความสุขในเชิงไหน กับใครมากกว่ากัน
ผลกระทบเมื่อบอนด์กันแล้ว ความรู้สึกของทั้งคู่ราวกับถูกผสานเข้าด้วยกัน เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร จะรับรู้ได้ผ่านความรู้สึกที่เชื่อมถึงกัน หรือเมื่อไม่ได้รักกันแล้ว ก็รับรู้กันในที
รอยบอนด์หรือที่คนเข้าใจว่าคือรอยสัก จะค่อยๆเลือนราง จางหายไปตามความรู้สึกที่ลดลง
เมื่อเลิกรักกันแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องยกเลิกการบอนด์แต่อย่างใด
αβΩ
“’ไงครับคุณไอดอล”
“’ไง พ่อหนุ่มบิ๊กไบค์”
บรรยากาศแบบนี้มันอะไรกันครับเนี่ย
ฮันเลิกคิ้วอย่างฉงนเมื่อรู้สึกได้ถึงฟีโรโมนกดข่มของอัลฟาที่ตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ยามที่โจเอลและมาร์คก้าวเข้ามาโดยมีคาร์ลอสปลดล็อกประตูให้ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่อยากให้เข้ามาก็ตามที
และเมื่อโจเซฟเป็นฝ่ายทักทายด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี พร้อมรอยยิ้มหล่อเหลาพราวเสน่ห์ที่เข้าใจว่าเป็นคาแรคเตอร์ ฮันแอบสังเกตเห็นโจเอลคิ้วกระตุกก่อนจะระบายรอยยิ้มยืนกอดอกอย่างวางมาด ทักทายกลับไปเช่นกัน
นั่นคือการเริ่มต้นของฟีโรโมนกดข่มของอัลฟาที่ฟุ้งขึ้นจนทำให้ฮันเหงื่อตก
“สองคนนี้ไปรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน” ไคลี่ที่นั่งเอกเขนกบนโซฟาถามขึ้น
“จำตอนที่มาร์คเคยบอกฮันนี่ได้ไหม วันที่โจเอลมันขับรถเฉี่ยวคน” มาร์คที่เพิ่งดึงเสื้อฮู้ดลงเอ่ย
MARK - [ฮันนี่ ขอโทษด้วยจริงๆ แต่คงไปกินมื้อกลางวันด้วยไม่ได้แล้วครับ ขอโทษด้วยที่เพิ่งมาบอก พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย]
HAN - [เกิดอะไรขึ้น มาร์ค มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า?]
MARK - [ไม่มีอะไรครับ โจเอลมันขับรถไม่ดูทาง ขับเฉี่ยวคนไปนิดเดียว ถ้าจัดการได้แล้วเดี๋ยวมาร์คมาบอกอีกทีนะฮันนี่]
“อย่าบอกนะว่าคนที่ไปเฉี่ยวคือ...” ฮันมองไปยังโจเซฟ
“อือ” เมื่อมาร์คพยักหน้ารับ ฮันก็รู้สึกว่าโลกช่างกลมดีแท้
โจเอลเดินมาหย่อนก้นนั่งลงข้างเพื่อนตัวเล็ก ถอดหมวกแก็ปก่อนจะเสยผมให้เข้าที่เข้าทาง ดึงแว่นตาเสียบกระเป๋าเสื้อและถกแมสก์สีดำลงมาใต้คาง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อออร่าพาระทวย ที่ไม่ว่าใครๆ เห็นก็ต้องมีใจสั่น
แต่เพราะนี่คือเพื่อนของฮันตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูล เขาจึงรู้สึกเฉยมากเมื่อเพื่อนอัลฟาสุดหล่อที่ตอนนี้เป็นไอดอลดังกำลังโอบกระชับไหล่เสียแนบชิด
“คิดถึงกูไหมฮันนี่ พวกนี้ทำอะไรมึงหรือเปล่า” แถมยังโน้มหน้ามากระซิบชิดหู แบบที่ถ้าใครเห็นก็ต้องคิดว่าพวกเขามีซัมติงกันอย่างแน่นอน
“เดี๋ยวนะ...นี่มัน” เอมิลี่มองมาอย่างแปลกใจ ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง
“อ้อ ลืมแนะนำตัว ผมโจเอล คาร์เทอร์”
“ผมมาร์ค มัวร์ครับ เป็นเพื่อนสนิทฮันนี่ตั้งแต่เกรด 9 แล้วครับ”
“วง The SPHERE!!”
ทันทีที่โจเอลและมาร์คบอกชื่อตัวเอง ทั้งเอมิลี่และลูคัสก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน เบิกตากว้างอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่ามีไอดอลคนดังอยู่ใต้ชายคาบ้านหลังเดียวกัน ทั้งคู่แทบจะสไลด์หน้าคว่ำเอาเอฟอร์สมาให้ลงลายเซ็นทันที
คาร์ลอสทำหน้าเบื่อโลก ได้แต่ยืนกอดอกพิงผนัง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่เข้าใจว่าเพื่อนตัวเองจะกรี๊ดกร๊าดอะไรนักหนากับประสาเจอคนหล่อ
ก็งั้นๆป่าววะ ก็แค่หน้าตาดี ก็แค่มีออร่า ก็แค่เป็นไอดอลด้วยมั้ง วงอะไรสักอย่างที่ไม่รู้จัก
เจ้าของบ้านสบตากับฮันที่นั่งอยู่ในดงมนุษย์ตัวเขื่อง มองไปเหมือนหลุมยุบของอะไรสักอย่าง ซึ่งฮันที่เป็นคนตัวน้อยอยู่แล้ว ยิ่งดูตัวน้อยลงไปอีกเมื่อเห็นสายตาของคาร์ลอสที่มองมา โอเมกาหนุ่มเจ้าของต้นเหตุที่ทำให้บ้านหลังนี้ปั่นป่วนจึงนั่งตัวลีบ สีหน้าปั้นยากด้วยความเกรงใจ
“ผมชอบฟังเพลงพี่มากครับ ติดตามมาตั้งแต่เดบิวต์ เพลงล่าสุดที่ออกมา อ่า...อะไรนะครับ”
“เพลงมายกาแล็กซีไง มึงแฟนคลับจริงปะเนี่ยจำไม่ได้ได้ไงวะ...นี่จ้า เซ็นตรงนี้เลยน้า” ด่ารุ่นน้องเสร็จ เอมิลี่ก็กางเอฟอร์สพร้อมย้ำจุดที่ให้เซ็น
“พี่เอมิลี่นะครับ” มาร์คยิ้มใจดีพร้อมเซ็นให้อย่างไม่ถือตัว ก่อนจะส่งมาให้โจเอลเซ็นบ้าง
“ผมลูคัสครับ โหพี่...คนมันตื่นเต้น แต่ผมฟังทุกเพลงของพี่จริงๆ นะครับ เพื่อนผมเมนพี่มาร์ค ถ้ามันได้เห็นลายเซ็นคงกรี๊ดบ้านแตก ขอตัวใหญ่ๆ เลยนะครับ”
“ตรงนี้ใช่ไหมครับ ครับผม” โจเอลและมาร์คตอนนี้เหมือนกำลังอยู่ในงานแฟนไซน์ที่ฮัน ไคลี่ และชินได้แต่นั่งมองตาปริบๆ
“อ่าม...เราว่าเราขอตัวดีกว่า ให้แฟนคลับเขาได้—”
“จะไปไหนฮันนี่” โจเอลรั้งเอวเพื่อนไว้ ไม่ให้ลุกขึ้นหนี จังหวะนั้นไม่รู้ทำไมฮันถึงเหลือบมองอัลฟาที่ยืนทำหน้าตายอยู่มุมห้องก็ไม่รู้ “ห่างจากกูแล้วมึงอาจจะไม่ปลอดภัยนะ”
บอกเลย ถ้าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ ฮัน ไนท์ จะต้องมีม้วน ต้องมีตัวบิดสามสิบแปดตลบแน่นอน คงมีแค่ไคลี่ ชินและมาร์คแหละมั้งที่ได้ยินน้ำเสียงแบบนี้แล้วกลับเบ้หน้า เพราะทุกคนรู้ แต่แฟนคลับไม่รู้ ว่านี่คือน้ำเสียงของการแสดงล้วนๆ
“พี่โจเอล พี่มาร์ค ผมขอถามอะไรอย่างสิ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถือว่าเป็นคำถามจากทางบ้านนะครับ” ลูคัสอ้อนขอ นั่งลงโซฟาตัวเดี่ยวด้านข้าง
มาร์คเลิกคิ้วขึ้น ส่วนโจเอลนั่งไขว่ห้างสบายๆ พลางกล่าว “ว่ามาสิ”
“สรุปพวกพี่สองคนคบกันจริงไหม”
“...”
“หมายถึงโจเอลกับฮันนี่น่ะเหรอ” มาร์คถามเพื่อความแน่ใจ คงเพราะอีกฝ่ายเห็นโจเอลกับฮันนี่นั่งกอดกันกลม ถึงได้คิดว่ามีอะไรในกอไผ่
“ไม่ๆ ผมหมายถึงพี่โจเอลกับพี่มาร์คครับ” ลูคัสตอบ เมื่อเห็นรีแอคชันของพี่ๆ ฝั่งฮัน ก็รีบพูดต่อ “ผมขอโทษครับถ้ามันเป็นคำถามที่ละลาบละล้วง ไม่ใช่เพราะผมเป็นแฟนคลับคู่จิ้นพี่ทั้งสองคนเลยถามนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะชอบส่องแฮชแทกโจเอลมาร์คมากก็เถอะ แต่เป็นเพราะผมได้ยินข่าวลือแล้วก็ภาพหลุดต่างๆ แถมพวกพี่ก็ยังไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แล้วก็—”
“ฮ่าๆๆ!”
ลูคัสและเอมิลี่ถึงกับงุนงงเมื่อเพื่อนทั้งกลุ่มของฮันพากันหลุดขำ โดยเฉพาะโจเอลที่ตบเข่าฉาด
“เห็นไหม ไม่ว่าใครก็ต้องเชื่อว่ากูกับมึงคบกันจริง ฮ่าๆ กูเปลี่ยนไปเล่นหนังดีไหมวะ ท่าจะรุ่งนะ” โจเอลขำน้ำตาไหล ส่วนมาร์คส่ายหน้า
“เปล่าหรอกครับ ที่เห็นตามสื่อเป็นเพราะการตลาดน่ะ แล้วก็ผม โจเอล ฮันนี่เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ไฮสคูลแล้ว สื่อจะรู้แค่ผมกับโจเอลเป็นเพื่อนสนิทกัน ข้อมูลของคนรอบข้างจะเก็บเป็นความลับ ทุกคนเลยเข้าใจผิดว่ามีแค่ผมกับโจเอลมันซี้กันแค่สองคน รวมไคลี่ ชิน มีแต่เพื่อนในกลุ่มนี่แหละครับที่รู้”
“น่าสนใจนะครับเนี่ย การตลาดคู่จิ้น” เสียงของโจเซฟดังขึ้นลอยๆ เรียกสายตาของโจเอลให้เหลือบมอง “ถือเป็นการหลอกลวงแฟนคลับหรือเปล่าเอ่ย”
“พี่มาร์คเผยความลับแบบนี้ แปลว่ากลุ่มพวกผมก็ถือว่าสนิทกับพี่แล้วสิ!” ลูคัสแอบเสียใจเล็กๆ เมื่อรู้ความจริงว่าคู่จิ้นที่ตัวเองเชียร์ไม่ใช่เรื่องจริง แต่พอคิดต่อว่า แต่เรื่องแบบนี้มีแค่คนสนิทที่รู้นี่นา กลับรู้สึกปลื้มปริ่มแทน
“แล้วไงต่อ มาแจกลายเซ็นที่บ้านกูเสร็จแล้วกลับได้ยัง” คาร์ลอสไม่ว่าเปล่า เขาหาวโชว์ไปรอบหนึ่ง “ง่วงจะตายห่า”
“ได้ไงวะเพื่อน คุณไอดอลผู้โด่งดัง ที่ชาร์ตเพลงขึ้นอันดับหนึ่งทำลายทุกสถิติมาเหยียบถึงบ้าน จะไล่กลับก็เสียมารยาทไหมวะ มึงดูสิ...ข้างนอกฝนยังปรอยอยู่เลย ให้ขับรถกลับมืดๆ ค่ำๆ อันตรายออก” โจเซฟที่ยืนอยู่ข้างกันพูด เหมือนจะหวังดี แต่สายตามีนัยยะแอบแฝง ซึ่งคาร์ลอสก็รับรู้ได้
ดูจากสายตาคุณไอดอลโจเอลที่มองเจ้าเพื่อนยากของเขาแล้ว แทบไม่ต้องใช้สมองคิด ก็รู้ว่ากำลังเล่นสงครามประสาทกันอยู่
“ทุกคน กลับกันเถอะนะ เรามารบกวนคาร์ลอส—”
“คืนนี้นอนนี่สิครับทุกคน ฝนตก รถลื่น ความปลอดภัยต้องมาก่อนไม่ใช่เหรอครับ โดยเฉพาะคุณไอดอล...จะให้เสี่ยงขับรถเอง น่าจะไม่โอเค” โจเซฟเชื้อเชิญแบบไม่ถามความเห็นเจ้าของบ้านสักคำ คาร์ลอสถึงกับถลึงตามองหน้า แต่หนุ่มผิวแทนกลับส่งซิกให้อยู่เฉยๆ “เอมิลี่ ลูคัส มึงคงไม่อยากปล่อยให้คุณไอดอลสมบัติของชาติออกไปเสี่ยงอันตรายกับสภาพฝนฟ้าอากาศแบบนี้ใช่ไหม”
“อ่า พวกผมไม่อยากรบกวนเลยครับ รถขับช้าๆ ได้ไม่อันตราย—” มาร์คผู้ที่คิดตรงกันกับฮันว่าไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อ แต่เสียงหนึ่งดันแทรกขึ้นมา
“เอาสิ ถ้าเจ้าของบ้านไม่ว่าอะไร เอ...ว่าแต่ใครคือเจ้าของบ้านนะ” โจเอลถามหาเจ้าของ แต่สายตายังประสานกับโจเซฟไม่วาง ฟีโรโมนข่มปล่อยใส่กันไปมาจนฮันหน้ามุ่ย
“คาร์ลอส…” ฮันตอบ
“คืนนี้นอนที่นี่เลยแล้วกัน บ้านมันห้องเยอะมาก” เอมิลี่สรุป
“เดี๋ยว ใครอนุญาต—”
“อ้อ แต่อย่าคิดว่ามึงจะได้นอนห้องเดียวกับน้องลูกฮันนะ สลัดความคิดชั่วๆ ของมึงออกไปซะ นอนแยกกันคนละฟากเลยจบ” เอมิลี่สรุปอีกรอบ
“พยายามแยกพวกกูไปเถอะ ยังไงซะกูก็ต้องไปสวิตเซอร์แลนด์ด้วยกัน” คาร์ลอสเกือบจะส่งเสียงเหอะออกมาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเอมิลี่นึกไอเดียออก
“เอางี้ มึงต้องไปสวิตเซอร์แลนด์เพราะวิชาปรัชญาสมัยใหม่ เพื่อทำเทอมโปรเจ็กต์ถูกไหม ยังไงเราก็มีแพลนจะไปดูงานที่เซิร์นอยู่แล้ว กู ลูคัส โจเซฟก็ถือโอกาสไปพร้อมกันเลย น้องลูกฮันจะได้ไม่ต้องไปกับมึงตามลำพัง”
“ดี ส่วนอีกสถานที่ ไคลี่กับชินก็ไปเป็นเพื่อนฮันนี่สิ” โจเอลว่า
“จริงด้วย สถานที่ที่สอง เลือกเองได้นี่นาว่าจะไปที่ไหน งั้นไปที่เดียวกับฮันนี่ก็จบ จะได้คอยเป็นหูเป็นตา” ไคลี่ดีดนิ้ว
“พวกมึงร่วมขบวนการทำอย่างกับกูเป็นอาชญากรระดับประเทศ”
คาร์ลอสว่าจบก็เดินกลอกตาขึ้นบันไดไป หน้าตาไม่รับแขกขั้นสุด หัวเสีย หงุดหงิด ยิ่งเห็นโอเมกาหนุ่มที่นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาให้อัลฟาอื่นกอด แถมยังไม่ยอมยื้อตัวเองออกมาอีก ทุกอย่างดูน่าหงุดหงิดไปเสียหมดจนคาร์ลอสต้องระบายมันใส่หมอนข้าง เมื่อรู้ตัวว่าการอัดกำปั้นใส่หมอนข้างจนบู้บี้เป็นการกระทำที่ไร้สาระ อัลฟาหนุ่มก็เดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ
αβΩ
อีกฟากหนึ่ง โจเซฟบอกว่าง่วงจึงขอตามหลังคาร์ลอสขึ้นไป เมื่อเอมิลี่และลูคัสที่ง่วนอยู่กับการขอลายเซ็นกับเซลฟี่เสร็จเรียบร้อยก็พาทุกคนขึ้นมาชั้นสอง
ทั้งคู่แนะนำห้องเล็กสามห้องที่น่าจะเป็นห้องสำหรับแขกอยู่แล้ว เอมิลี่บอกว่าจะแบ่งกันนอนห้องไหนก็ได้เพราะแม่บ้านมาทำความสะอาดตลอด มันอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องนอนใหญ่ที่มีอยู่สองห้อง ซึ่งหนึ่งในนั้นฮันได้เข้าไปมาแล้ว
จวนเจียนจะเที่ยงคืน ฮันและเพื่อนๆ จับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนอัดอยู่ในห้องนอนเล็กห้องหนึ่ง ไคลี่ โจเอล มาร์ค นอนแผ่ ตีแข้งตีขากันอยู่บนเตียงคิงไซซ์ ส่วนฮันและชินนั่งที่พื้นพิงข้างเตียงตามสไตล์เอเชียนคัลเชอร์
“สรุปยังไง จะโซลเมท จะเพื่อนเก่า หรือจะ FWB” โจเอลถามเพื่อนตัวเล็กที่นั่งเอนข้างเตียง หัวทุยๆ แหงนอยู่ตรงขอบให้ไคลี่ที่นอนคว่ำม้วนผมนิ่มเล่น
“ก็...ทุกอย่าง” ฮันพึมพำ ตากลมจับจ้องไปยังเพดานห้องสีขาว ที่มีรูปดาวสีใสแปะ ถ้าปิดไฟ ถึงจะเห็นดาวปรากฏเป็นแสงนีออน
“เป็นเพื่อนเก่ากับโซลเมทนี่ยังไม่น่าตกใจเท่ากับไปเป็น FWB” ชินที่นั่งเท้าแขนข้างหนึ่งมาทางฮันว่า “เป็นทุกอย่างไม่ได้ไหม ไม่งั้นมันก็ย้อนแย้งกันดิ”
“ฮันนี่ต้องเลือกนะ รู้ไหมว่า FWB จริงๆ แล้วมันคืออะไร” มาร์คนั่งพูดอยู่ตรงหัวเตียง “ฮันนี่มีสิทธิ์ที่จะมีแฟน มีสิทธิ์ที่จะมีความรัก มีความสัมพันธ์ในแบบที่ตัวเองต้องการ แต่ฮันนี่แน่ใจใช่ไหมว่าตัวเองเข้าใจในรูปแบบความสัมพันธ์ที่ตัวเองกำลังจะก้าวเข้าไป”
“ก็...ก็ FWB ไม่ใช่เพื่อนที่ตกลงมีเซ็กซ์กันเฉยๆ หรอกเหรอ...” เมื่อฮันตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ เพื่อนๆ ต่างพากันกุมขมับ
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” ชิน
“ชั้นหัวจะปวด” ไคลี่
“โถ…ฮันนี่” มาร์ค
“แล้วมึงคีพเฟรนด์โซนได้จริงเหรอ มันก็ถูกของมึง เพื่อนที่ตกลงมีเซ็กซ์ด้วยกันเฉยๆ แต่มีเซ็กซ์เสร็จแล้วต้องแยกย้าย ไปทางใครทางมัน ไม่มีเดต ถ้าอีกฝ่ายคิดจะแยกไปมีความสัมพันธ์ที่จริงจังกับคนอื่น ก็ต้องปล่อย ไม่มีหึงหวง ไม่ผูกมัดอะไรกันทั้งนั้น” โจเอลพูด “มึงแน่ใจไหมว่าตัวเองจะอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ได้”
“...”
“แน่ใจเหรอ ว่าตัวเองจะไม่เอาใจลงไปเล่น?”
ว่ากันตามตรง ฮันก็ไม่มั่นใจในตัวเองเหมือนกัน เจ้าตัวไม่ได้ตอบเพื่อน แม้กระทั่งตอนที่เพื่อนๆ พากันแยกย้ายไปนอนห้องข้างๆ เพราะทนความง่วงไม่ไหว
เหลือเพียงแค่ชินที่จะนอนห้องเดียวกันกับฮัน คำถามนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวคนที่นอนลืมตามองเพดานไม่หาย
“ปิดไฟเลยนะ” ชินถาม เมื่อเห็นหัวทุยๆ ของฮันขยับขึ้นลงเบาๆ เจ้าตัวจึงสั่งงานด้วยเสียง
เมื่อไฟทั้งห้องดับลง แสงของสติกเกอร์แปะเพดานก็สว่างขึ้นในความมืด ชินที่ไม่ได้สังเกตว่ามีกลุ่มดาวอยู่ก่อนหน้านี้จึงส่งเสียงด้วยความประหลาดใจ
“เหมือนห้องเด็ก” ชินพูดเป็นคำสุดท้าย ก่อนจะปิดเปลือกตาลง
ถึงมันจะเป็นเหมือนประโยคที่พูดขึ้นมาลอยๆเท่านั้น แต่มันก็ทำให้คนฟังจับจ้องไปยังกลุ่มดวงดาวนั้นด้วยความสงสัย...ปกติห้องนอนแขกจะไม่ค่อยตกแต่งไหมนะ ติดสติกเกอร์ดาวเรืองแสงเหมือนห้องของเด็กเลย
หรือจะเป็นห้องนอนของคาร์ลอสตอนเด็กๆ?
ตอนนี้คาร์ลอสจะหลับหรือยังนะ
นั่นไง...ไม่ทันไรก็คิดถึงเขาอีกแล้ว
ฮันยู่ปาก อยากเขกกะโหลกตัวเองสักที ก่อนจะข่มตาลงเพื่อให้หายคิดถึงใครสักคนที่น่าจะอยู่อีกห้องไม่ไกล
“แน่ใจเหรอ ว่าตัวเองจะไม่เอาใจลงไปเล่น?”
เสียงของโจเอลดังขึ้นในหัวอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จนฮันอยากจะลุกขึ้นมาร้องว้ากแล้วทึ้งหัวตัวเอง เมื่อรู้ว่าทำไม่ได้ เขาจึงได้แต่นอนพลิกตัวไปมา
ถ้าความรู้สึกเชื่อมถึงกันได้ คงความแตกถ้ามีคนรู้ว่าที่นอนไม่หลับเพราะต่างคน...ต่างนอนนึกถึงกัน
αβΩ
“ต้องสกินชิปดูครับ”
“...”
“หรือถ้าอยากให้รู้สึกชัดเจนไปเลย ต้องลองมีเซ็กซ์กันครับ”
“ไม่ได้นะครับ/คะ!” < โจเอล/ไคลี่
“...”
ฮันที่นั่งสเกตช์งานอยู่ถึงกับต้องเงยหน้าเพราะเสียงที่ลั่นขึ้นมาพร้อมกัน มองกลุ่มเพื่อนที่บอกว่าขอตัวไปปรึกษางานกับศาสตราจารย์ก่อน ฮันที่ยังมีงานวิชาอื่นคั่งค้างเลยใช้เวลาช่วงนี้รีบปั่นมันต่อระหว่างรอเพื่อนๆ คุยงาน
วันนี้โจเอลกับมาร์คมาเรียนที่ห้องด้วยเพราะช่วงนี้ตารางงานค่อนข้างยืดหยุ่น เหตุเพราะเข้าสู่ช่วงปั่นโปรเจ็กต์ และเข้าใกล้ช่วงที่จำเป็นต้องอ่านหนังสือสอบไฟนอล ทางค่ายจึงไม่ได้ยัดงานให้สองคนนี้มากเท่าตอนแรก
แน่นอนว่าทั้งคู่แต่งตัวมาเรียนเหมือนโจรที่พร้อมเข้าไปปล้นธนาคาร ปิดบังหน้าตาเสียแทบระบุตัวตนไม่ได้ ถ้าเป็นแต่ก่อนคนก็คงเข้าใจว่าเป็นคนที่อาจจะก่อเรื่องไม่ดี แต่สมัยนี้คนที่แต่งแนวนี้มีเยอะแยะ เพราะดูๆ ไปมันก็คูลดี คนที่แต่งตัวเรียบมากๆ อย่างชินต่างหากที่ดูแปลกและหาได้ยาก
ตอนนี้ภายในห้องบรรยายมีเพียงกลุ่มของฮันและศาสตราจารย์ ดังนั้นในตอนที่ทั้งกลุ่มตะโกนว่าไม่ได้พร้อมกัน จึงมีแค่ฮันที่สะดุ้งตกใจ ฮันเห็นเพื่อนแอบเหลียวมามองจากหน้าห้องไกลๆ เขาขยับปากพูดไร้เสียงไปว่า “อะไรไม่ได้?”
“ไม่มีอะไร” ชินขยับปากตอบพร้อมปัดมือไปมา
เมื่อไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง ฮันก็กลับไปมุ่นกับภาพร่างวิชาอื่น หารู้ไม่ว่าเรื่องที่เพื่อนๆ กำลังคุยกับศาสตราจารย์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเองล้วนๆ
“มีทางอื่นอีกไหมครับ” มาร์คถาม
“มันก็มีนะครับ ใช้ระบบการตรวจจับความเข้ากันได้ของฟีโรโมน ยิ่งมีความเข้ากันได้สูงเท่าไร โอกาสที่จะเป็นโซลเมทกันก็ยิ่งสูง แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ มันก็บอกไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ ถ้าเอาให้แน่ยังไงก็ต้องมีเรื่องการสกินชิปเข้ามาเกี่ยวข้อง คนที่เป็นโซลเมทเขาจะรู้กันดีครับว่าใช่หรือไม่ใช่”
“หา! ไม่ได้หรอกค่า ไม่ได้เลยค่า เกินไปไหมคะศาสตราจารย์” ไคลี่
“เทคโนโลยีไปถึงไหนแล้ว ยังต้องทำวิธีแมนนวลอีกเหรอครับศาสตราจารย์” โจเอล
“จะว่าเทคโนโลยีมันล้ำจนประมวลผลให้ได้ชัดเจนมากก็จริง แต่ก็อย่างที่บอกครับ ว่าของอย่างนี้มันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็เหมือนกับจับคู่เดตในแอปหาคู่ หรืออย่างระบบจับพาร์ตเนอร์ทำงานให้นี่ไงครับ มันแค่ประมวลผลความเข้ากันได้ บางคนระบบบอกว่าฟีโมนเข้ากันได้มาก แต่คนสองคนบอกว่าไม่ใช่ มันก็ไม่ใช่อยู่ดี เรื่องของโซลเมทมันลึกซึ้งกว่านั้น มันซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะเข้าใจ มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายเป็นตัวตัดสินอยู่ดี”
“...”
ทั้งกลุ่มทำหน้าเหมือนคนหมดหนทาง ศาสตราจารย์ประจำวิชาปรัชญาสมัยใหม่เห็นดังนั้นก็ถาม “พวกคุณเครียดอะไรกันครับเนี่ย หรือมีใครในนี้คิดว่าตัวเองเป็นโซลเมทกัน แต่ถือคติไม่คบเพื่อนหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ครับอาจารย์” ชินตอบ “แต่คนที่เหมือนจะหาโซลเมทเจอน่ะ นั่งอยู่นู่นน่ะครับ”
ทั้งกลุ่มมองไปยังโอเมกาหนุ่มที่นั่งสเกตช์งานหน้าเครียด คิ้วขมวดมุ่นไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง เหมือนตัดสัญญาณรบกวนจนไม่รับรู้ทั้งนั้นว่าที่หน้าห้องนี้กำลังนินทาเรื่องตัวเองอยู่
“แล้วพวกคุณจะเดือดร้อนแทนเจ้าตัวทำไม ดีเสียอีกนี่ครับ เพื่อนคุณเจอโซลเมทในอายุเท่านี้ถือว่าโชคดีมาก บางคนตามหาทั้งชีวิตยังไม่เจอ”
“มันก็ใช่แหละครับอาจารย์ แต่อัลฟาคนนั้นมัน...” โจเอลเหมือนจะอยากพูด แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ศาสตราจารย์เลิกคิ้วขึ้น “เอาเป็นว่าพวกผมห่วงเพื่อนคนนี้มาก แค่อยากรู้วิธีที่จะทำให้แน่ใจว่าอัลฟาคนนั้นเป็นโซลเมทเพื่อนผมจริง ไม่ได้มาหลอกเพื่อนโอเมกาซื่อบื้อของผมก็พอ”
“โอเมกาหนุ่มคนนั้น...ผมว่าผมจำได้นะว่าเขาเป็นพาร์ตเนอร์ทำงานกับ ใครนะ อ้อ คาร์ลอส โฮล์มส์ ยังไงทั้งคู่ก็ต้องไปทำงานในแดนไกลด้วยกันรวมสองที่ก็เป็นเวลาราวครึ่งเดือน ผมว่าหลังจากนั้นอะไรหลายๆ อย่างน่าจะชัดเจนขึ้น”
“...”
“คุณคิดว่าไปทำเทอมโปรเจ็กต์นอกสถานที่เป็นสัปดาห์ จะได้ทำแค่งานจริงเหรอ ไหนจะระบบจับพาร์ตเนอร์อะไรนี่ที่ทางมหา’ลัยได้รับคำสั่งจากรัฐให้เร่งพัฒนา คุณคิดว่าเขาต้องการอะไรจากการทำแบบนี้กันล่ะ”
“เพราะพวกผมกลัวว่ามันจะเป็นอย่างที่คิดยังไงล่ะครับ ถึงได้ตกลงกันว่าจะเลือกสถานที่ที่สองให้ไปที่เดียวกันกับฮัน”
“อัลฟาคนนั้นเขามีอะไรให้พวกคุณกังวลกันนักครับ เขาเป็นคนไม่เอาไหน ฐานะย่ำแย่ หรือมีพฤติกรรมที่ส่อถึงเป็นคนชอบความรุนแรง”
“ก็...อ่า ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ” ไคลี่พยายามนึกจากศาสตราจารย์ถาม เป็นคนไม่เอาไหน? จากที่ฟังพี่โจเซฟเคยเม้ามอยมา ดูจะเป็นคนขยันทำงานกว่าคนอื่นเขาด้วยซ้ำ บางทีเข้าขั้นหมกมุ่นกับงานเกินไปจนแทบไม่กินไม่นอน “อ๋อใช่ค่ะ อัลฟาคนนั้นเขาขยันเกินไป! ทำแต่งานอยู่แล็บค่ะ”
“...ข้อเสีย”
“จะว่าไป เรื่องฐานะ...บ้านคาร์ลอสดูรวยมากด้วยนี่ มีบ้านเป็นหลัง มีที่ดินเป็นของตัวเอง มีแค่เงินก็ซื้อไม่ได้ด้วย” ชินว่า
“จริง ตอนเราเห็นบ้านคาร์ลอสแล้วยังอึ้ง ฮันนี่น่าจะชอบนะ” มาร์คเสริม
“พวกมึงเชียร์มันเหรอ ไม่รู้หรือไงว่าพวกคนรวยชอบทำตัวแปลกๆ” โจเอลขมวดคิ้วแน่น ไม่ต่างจากศาสตราจารย์ที่นั่งกุมขมับ
“ใช่! คนที่รวยมากๆ ชอบมีความลับแปลกๆ ตอนนั้นฮันนี่เคยเล่าให้ฟังว่าคาร์ลอสให้เครื่องช็อตไฟฟ้าเอาไว้ป้องกันตัวเองด้วย! เอ๊ะ...” ไคลี่ผู้ที่พยายามจะหาพฤติกรรมเสี่ยงของโซลเมทเพื่อน แต่ยิ่งพูด คนฟังก็ยิ่งไม่เห็นว่าการคบกับคาร์ลอสเป็นเรื่องที่เสียหายตรงไหน
“เรื่องบางเรื่อง...แค่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ คุณทำหน้าที่ของคุณ ปล่อยให้ชีวิตทำหน้าที่ของมันไปก็พอ”
“...”
“ว่าแต่ว่า คุณสองคนหน้าตาคุ้นๆ นะครับ ผมขอเซลฟี่ด้วยหน่อยสิ”
TBC
- มาแล้วจ้าการบอนด์หรือการผูกพันธะสัญญา เรื่องนี้ก็คือ แปลกประหลาด ไม่ดูชาวบ้านชาวช่องเขาเลย แต่คิดว่ามันต้องมาแนววิทยาศาสตร์นี่แหละ เพราะมันเป็นโลกอนาคตอะเนอะ เราไม่คิดว่ามนุษย์ในอนาคตอันไกลลลนี้จะอยากทิ้งปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่สำหรับมนุษย์ที่มีเพศรอง ABO เอาไว้ มนุษย์ฉลาดขึ้น ทุกวันนี้ก็พยายามพัฒนาอะไรเพื่อมาแก้ปัญหาหรือทำให้มนุษย์ใช้ชีวิตกันสะดวกขึ้น การบอนด์โดยไม่ได้ตั้งใจระหว่างมีเซ็กซ์กันถือว่าเป็นปัญหาค่อนข้างใหญ่เลย ถ้าจะยังให้เป็นแบบเดิมต่อไป เราว่าคนที่เป็นโอเมกาคือเหมือนถูกตีตราจองความเป็นเจ้าของเลยอะ มันจะไม่เชื่อมโยงไปกับการที่มนุษย์พยายามเรียกร้องเรื่องความเท่าเทียมกันอยู่ คนที่เกิดมาเป็นโอเมกาปกติเกิดมาก็คงดูถูกดูแคลนตัวเองแล้วว่าทำไมเราเกิดมาเป็นอย่างนี้ เพราะสังคมเอยอะไรเอยที่ทำให้โอเมการู้สึกถูกกดขี่ ตัวเล็กตัวน้อยทั้งร่างกายและจิตใจกันไปอยู่แล้ว ถ้าการใช้ชีวิตจะต้องมาลำบากอีกก็คือโอย ใช้ชีวิตยากมากแม่ โอเมกาก็คนไหมแม่ เราก็เลยเปลี่ยนแนวคิด ABOverse ไปค่อนข้างเยอะเพื่อให้สอดคล้องกับพล็อตในโลกอนาคตต้ะ
- ตอนนี้สงสารคาร์ลอสเขาหน่อยละกัน โดนหยุมหัวไปเรย มีใครนึกภาพคาร์ลอสกับเอมิลี่หยุมหัวกันออกไหม เราเขียนไปขำไป อยากเห็นภาพอะ5555555555555
- เพิ่งเปิดเผยชื่อโจเอลกับมาร์คครั้งแรกฮะ ตะ ตะ แต่ว่า นี่ยังไม่ใช่ชื่อเต็มเพราะยังไงเดี๋ยวรออ่านภาคแยกเอาดีกว่า จะได้ไม่ถือว่าเป็นการแย่งซีนตัวละครอื่นเนอะ (นี่ขนาดยังไม่แย่ง)
- ไม่รู้ว่านักอ่านจะจำได้ไหม ตอนแรกๆ เลยที่โจเอลกับมาร์คจะต้องมาเรียนด้วย แต่มาร์คบอกว่าโจเอลขับรถเฉี่ยวคน คนที่เฉี่ยวก้คื้อออ พ่อโจเซฟนั่นเองจ้า บอกเรยว่าเคมีคู่นี้คือพร้อมมาก พร้อมกระโจนต่อยกันอะ555555555
สามารถหวีด ร่วมพูดคุย แสดงความคิดเห็นผ่าน #IABOU
หรือเพื่อติดตามเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของนิยายเรื่องนี้ที่เราจะลงไว้ที่นั่นได้เลย!
Comments (0)