ก็คือมาแวะคุยกันนี่แหละจ้า555555 รู้สึกยาวนานมากกว่าจะจบเล่มแรก ซึ่งก็ต้องรู้สึกอย่างนั้นอยู่แล้วเพราะผ่านมา 1 ปีเพิ่งจบเล่มแรก แต่เป็น 25 ตอนที่ค่อนข้างค่อยเป็นค่อยไปอยู่พอสมควร มีอะไรหลุดมาเล็กๆ น้อยๆ เป็นช่วงๆ แต่ก็ดูจะไม่ได้ไขความกระจ่างอะไรได้เลยนอกจากชวนให้งงกว่าเดิมหรือเปล่านะ555555

ไม่ต้องกังวลค่ะว่าเล่ม 2 จะต้องรออีกเป็นปีถึงจะจบหรือไม่ เพราะเล่มแรกก็กินเนื้อหาไปแล้วกว่า 62.5% (ใช้เครื่องคิดเลขกด) ถ้างงว่าอ้าว แล้วทำไมเล่มแรกมันเยอะกว่าเล่ม 2 เพราะ 40 ตอนจบแต่แค่เล่มแรกก็กินไปแล้ว 25 ตอน ไม่ต้องห่วงเลยค่ะเพราะเล่ม 2 เราเผื่อพื้นที่ให้กับตอนพิเศษแบบจุใจ อ่านกันไปเลย 10 ตอน...

ดังนั้น เนื้อหาในเล่มจบจะมีทั้งหมด 15 ตอนและตอนพิเศษอีก 10

จะเข้าสู่จุดไคลแมกซ์ของเส้นเรื่องที่บทไหน ต้องรอติดตามกัน

บทท้ายๆ ของเล่มนี้ ทุกคนเห็นพัฒนาการของตัวละครกันหรือยัง เราอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ นักอ่านอยู่เสมอ และมีคนแนะนำว่าสิ่งที่อยากเห็นในเรื่องก็มีพัฒนาการของคาร์ลอสที่ปากตรงกับใจมากขึ้น ซึ่งเป็นไงล่ะ บางทีก็ตรงแบบ พอเถ้อะะะอายคนเค้า5555555555

ใครว่าคาร์ลอสนางเย็นชาไม่ชาเย็น หรือปากไม่ตรงกับใจบ้างล่ะ เอาจริงๆ เลยไหมทุกคน ลองย้อนไปดูวัยเด็กของเด็กชายคาร์ลอสดู แล้วจะรู้ว่านางเป็นเด็กช่างสังเกต ช่างแสดงออกตั้งแต่มีฮันเป็นเพื่อนเล่นแน้ว

แต่เพราะโลกที่คนเรียกกันว่า ‘การเติบโตเป็นผู้ใหญ่’ มันหล่อหลอม เด็กชายคาร์ลอสคนนั้นก็ต้องก่อปูนสร้างกำแพงให้ตัวเอง แต่พอมีคนปีนข้ามมาได้ ก็เป็นไงล่ะ หมดเปลือกของจริง

ขอโรลเพลย์เป็นนักอ่านแล้ววิจารณ์งานตัวเองนิดหนึ่ง เริ่ม!

บทแรกๆ ที่เปิดมานี่ เนื้อเรื่องค่อนข้างคลิเช่ (ซ้ำซาก จำเจ) สำหรับใครที่เห็นเกริ่นนำในหน้าแรกเขาคงมีความคาดหวังที่จะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ในนิยายแนว ABOverse สูงว่ามันต้องไม่เดิมๆ ซ้ำๆ แบบที่เคยมีมา แต่พอตัวละครหลักมาะป้ะกันครั้งแรกก็เป็นสถานการณ์ที่ชวนให้ขมวดคิ้วเลย

คนคงคาดหวังว่าน้องนายโอเมกา (นายเอก) ต้องหยิ่งๆ เชิ่ดๆ ปากแจ๋ว ด่าเก่ง เก็บเรียบฟาดหน้าทุกคนที่มาพูดดูหมิ่นดูแคลนตัวเอง แต่พอเห็นว่าฮันไม่ได้เป็นแบบนั้นในทีแรก ก็คงเฟลไปตามๆ กัน

สุดท้ายก็คงเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา

เอาตรงๆ ในจุดนี้เราค่อนข้างเครียดว่ามันจะเป็นจุดที่ทำให้นักอ่านหลายคนเลือกที่จะเลิกอ่านเรื่องนี้ไปเลยหรือเปล่า เรากลับไปแก้หลายครั้ง พยายามที่จะทำให้คาแรคเตอร์ฮันชัดขึ้น อาจจะเป็นคำโปรยหรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้ฮันดูเหมือนดูต้องเปิดมาแข็งกร้าว สวย เริ่ด เชิ่ด เฟี๊ยซ ไม่กลัว พีเรียด แต่จริงๆ ฮันไม่ใช่คนแบบนั้นเลย

หรือเพราะเราใส่บทที่เพื่อนชอบเทคให้ฮันเป็นคุณหนูขาลงไปนะ55555 คือเพื่อนชอบแก้งน้อนง่ะ ไม่รู้คนอ่านมองฮันใส่ฟิลเตอร์แบบไหน แต่เรามองฮันเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เงอะงะเด๋อด๋า ผมไม่หวี หน้าไม่แต่ง นอนน้อยเด็กสายศิลป์ก็เลยชอบอยู่นิ่งๆ เป็นการเซฟพลังงานเหมือนตัวสลอธ

เวลาฮันจะพูดหรือทำอะไรเลยดูยืด ชืด เนือยๆ เงียบๆ จะว่าเหมือนแมวหิวนอนก็ได้ ก็น้องปั่นงานดึก น้องง่วงง่ะ แง้

ดังนั้น ไอ้ต้าวพวกเพื่อนๆ ตอนแรกที่เรียกฮันว่าเป็นน้องหนูขาให้พวกเรารับใช้ แล้วอาสาไปซื้อข้าวให้ฮันนี่ น่าจะหมายถึง เห็นหน้าตาโทรมๆ จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ ให้ไปต่อแถวยืนซื้อข้าวก็คงจะยืนหลับในแถว พวกนางก็เลยเออๆ รออยู่นี่แหละเจ้าสลอธ พวกข้า (?) ไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับ

ที่จริงฮันก็สวยไม่อะไรกับใครนะ ก็เชิ่ดแหละ อ๋อ เปล่า ก็ง่วงแหละ เลยไม่อะไรกับใคร55555555

แต่เห็นฮันเป็นแบบนั้น ก็ไม่ได้ถือว่า OOC (Out Of Character) จากในหน้าเกริ่นนำไปเลยซะทีเดียว

ทำไมเราถึงบอกแบบนั้น เพราะในหน้าเกริ่นนำ ความคิดของฮันดูจะเกลียดอัลฟา ความไม่เท่าเทียมในเรื่องของเพศรองอย่างชัดเจน แต่พอมาอ่านไปจริงๆ ฮันกลับไม่ได้แสดงหรือพูดอะไรที่ทำให้คนอ่านเห็นภาพของความเกลียดอัลฟาแบบนั้นชัดๆ

อนึ่ง ฮันไม่เคยบอกว่าตัวเองเกลียดอัลฟา ฮันแค่ไม่ชอบแนวคิดที่มาแบ่งแยกเพศรอง และความไม่เท่าเทียมของมนุษย์ที่ยังมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน

เราขอเปรียบเทียบตัวเราที่เป็นเฟมินิสต์ ความคิดของเราค่อนข้างแปลกแยกจากกลุ่มเพื่อนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน (ไม่ได้จะบอกว่ามีความคิดดีกว่าคนอื่นแต่อย่างใด) เวลาเราเห็นคนพูดอะไรออกมาที่ค่อนข้างเป็นไบนารี (แบ่งแยกทุกอย่างเป็นแค่ชายหญิง) เราจะตะหงิดในใจทันที เช่น เพื่อนผู้หญิงพูดว่า “ผู้ชายชอบสีชมพู แปลกอะ” ในหัวเราจะคิดขึ้นมาทันทีว่า แล้วทำไมผู้ชายถึงจะชอบสีชมพูไม่ได้ ไม่ใช่แค่เรื่องสี แต่เรื่องการแต่งตัว การแสดงออก ต่อให้ผู้ชายจะพูดจีบปากจีบคอ หรือใส่เสื้อผ้าที่คนนิยามว่าเป็นเสื้อผ้าของ ผู้หญิงเอาจริงมันก็เป็นเรื่องของเขา และการที่เขาทำอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นเกย์ เป็นตุ๊ด กะเทยด้วย รสนิยมอะไรแบบนี้มันค่อนข้างเฉพาะคนมาก สิ่งที่เราเห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เราคิดเสมอไป”

เห็นไหมว่า เราเป็นเฟมินิสต์ ไม่ได้หมายถึงเราต้องเกลียดผู้ชาย หรือต้องยกผู้หญิงให้สูงกว่าผู้ชาย หรือกดผู้ชายให้ทัดเทียมลงมาเท่าผู้หญิงแต่อย่างใด มิหนำซ้ำ ยังดูจะสนับสนุนให้เพศชายอยากชอบสีอะไรก็ชอบ อยากแต่งตัวแบบผู้หญิงก็แต่ง เป็นการปลดล็อกเรื่องเพศที่ถ้าเราอธิบายสิ่งที่คิดให้เพื่อนฟังตอนนั้น เพื่อนคงคิดว่าเราชอบเถียง แปลกแยก นอกคอก ชอบขัด เป็นอีลูกช่างขัดรึยังไง

ดังนั้น ภายนอกเราจึงค่อนข้างที่จะฟังมากกว่าพูด ถ้ามีจังหวะให้ได้พูด เราก็จะเรียบเรียงคำอย่างดีเพื่อไม่ให้คนฟังรู้สึกเหมือนโดนแก้ไขคำผิด โดนจับผิด หรือโดนตำหนิ แต่เหมือนเราให้คำแนะนำเพิ่มเติมจะดีกว่า

หรือคนอ่านคิดเห็นอย่างไร ทุกคนเคยมีความคิดอะไรที่คิดว่าถ้าพูดหรือแสดงออกไปชัดเจนแล้วจะทำให้คนอื่นขมวดคิ้วก็เลยต้องเก็บเอาไว้บ้างไหม ลองนึกสภาพว่าฮันก็คือตัวคุณเองนั่นเอง เขาคือตัวคุณเองที่เชื่อว่ามนุษย์ควรเท่าเทียมกัน

คุณก็คงจะไม่ไปชี้หน้าด่ากราดอัลฟาว่าเป็นตัวปัญหาสำหรับโอเมกา แม้ว่าในใจจะคิดอย่างนั้นหรอกใช่ไหม

ทำไมกันล่ะ