สองสามวันมานี้แทนไทมักจะเหม่อลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวหลายครั้ง จนทำให้รัญที่ลอบมองพี่ชายคนโตบ่อยๆ อดเป็นห่วงอย่างเสียไม่ได้ แต่ครั้นเมื่อถามไถ่ด้วยความห่วงใย คนพี่กลับเพียงยิ้มและปฏิเสธทุกครั้งไป

รัญนั่งขมวดคิ้วอยู่ใต้ต้นไทรยักษ์ข้างเรือนใหญ่ นัยน์ตาสองข้างเหม่อมองไปข้างหน้าด้วยความว่างเปล่าส่วนสองมือกำลังขะมักเขม้นทำเครื่องหอมอย่างบุหงารำไป โดยไม่ทันที่จะรู้ตัวนั้น ร่างสูงร่างหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นจากทางด้านหลังพร้อมทั้งถือวิสาสะยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาเป่าหูคนตัวเล็กทางด้านซ้ายเบาๆ

‘ฟู่’

รัญห่อไหล่ขึ้นด้วยความตกใจ เพราะสัมผัสลมหายใจอุ่นๆ ได้ที่คอ ก่อนจะตั้งสติหันไปหาตัวการด้วยสายตาตำหนิติเตียน

“พี่เทียน!”

รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นพี่ชายคนรอง มีเพียงทศเทียนคนเดียวที่ชอบเล่นอะไรแปลกพิกลเช่นนี้

“พี่แค่ชอบเวลาน้องตกใจเท่านั้น น้องจะเรียกพี่ว่าพี่เทียนเสมอ”

รัญขมวดคิ้วเป็นปมสายตายังคงส่งตำหนิให้คนที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ราวกับชอบใจที่แกล้งเขาได้สำเร็จแต่ไม่ยักจะรู้ตัวว่าตนทำเช่นนั้นด้วย

“น..น้องไม่รู้ตัวเลย”

ทศเทียนยกยิ้มไม่ได้ต่อว่าอะไร พลางล้มตัวลงนั่งบนแคร่ข้างๆ ร่างบาง

“แล้วน้องทำกระไรอยู่หรือ”

ทั้งที่เห็นเต็มสองลูกดวงตา แต่ก็ยังอยากจะถามไถ่หาอะไรคุยตามประสา

“ซักผ้า .. โอ๊ยคุณเทียน”

ไม่ทันจะกล่าวจบ คนตัวสูงก็เอื้อมมือหนามาเคาะหัวอย่างเอ็นดู รัญเบ้ปากนิดๆ พลางลูบหัวตัวเองไปมาก่อนจะแลบลิ้นให้อีกฝ่าย ทศเทียนเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า

“พี่จะตัดลิ้นน้องให้ขาดเสียดีหรือไม่ จะได้ไม่ต้องกวนพี่เช่นนี้อีก”

ทศเทียนพูดหมายความตามนั้นจริงๆ ถ้าหมายถึงกับคนอื่นๆ แล้วล่ะก็ แต่หากเป็นกับคนตรงหน้าเขาก็คงจะใช้อย่างอื่นที่ไม่ใช่มีดตัดแทน

ลิ้นเล็กๆ นั่นน่ากัดเลียเสียให้เข็ด

“ไม่ดีดอก หากน้องไม่มีลิ้น ใครจะคอยพูดกวนคุณเทียนกันเล่า”

“อืม พี่จะเก็บไปไตร่ตรองดูหนา”

“คุณเทียนไม่ตัดลิ้นน้องหรอกหน่า”

“เหตุใดน้องจึงมั่นใจเช่นนั้น”

ทศเทียนขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนตัวเล็กยิ้มกว้าง

“เพราะคุณเทียนรักน้องอย่างไรล่ะ”

ทศเทียนเบิกตากว้างอึ้งไปเล็กน้อย พยายามเก็บสีหน้าไม่ให้ส่อแววพิรุธมากที่สุด แน่นอนว่าเขานั้นรักรัญจริงๆ แต่ไม่คาดคิดว่าคนตัวเล็กจะเป็นคนกล่าวออกมาเองเช่นนี้

“รัญ..”

“ก็คุณเทียนติดน้องมากกว่าคุณแทนหรือพี่ใบบัวนี่นา”

รัญว่าพลางก้มหน้าเก็บเครื่องหอมที่ทำไว้บนแคร่เข้าตะกร้าไม้สาน ไม่ได้สังเกตเลยว่าพี่ชายคนรองลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

ที่แท้ก็คิดว่ารักกันดั่งเช่นพี่น้อง

“ก็จริง พี่รักน้องมากกว่าใครเสียอีก”

“น้องก็รักคุณเทียน”

“...”

“มากกว่าไอ้ด่างหลังวัดเสียอีก.. โอ๊ยคุณเทียน!”

รัญเงยหน้ามามองพี่ชายคนรองที่กำลังทำหน้าตาเรียบเฉย พลางลูบหัวที่โดนเคาะเป็นครั้งที่สองด้วยความเจ็บแสบ

“จะได้จำ”

ทศเทียนจ้องหน้าคนตัวเล็กด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความขบขัน คนตัวเล็กเองก็จ้องหน้ากลับอย่างไม่ยอมแพ้ แววตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น แต่แล้วคนตัวเล็กก็ต้องนึกแปลกใจพร้อมทั้งยอมถอนสายตาออกก่อน เมื่อทศเทียนเปลี่ยนสายตาตนเองเป็นแววตาแฝงอารมณ์ที่อ่านยากยิ่งนัก

“น..น้องไม่เล่นกับคุณเทียนแล้ว”

ว่าพลางลุกหยิบตะกร้าไม้สานที่เก็บเครื่องหอมเมื่อครู่ ทำท่าจะเยื้องย่างหนีขึ้นเรือนไป

“น้องจะหนีทุกครั้งที่เขินอายเลยหรือ”

รัญชะงักฝีเท้าที่กำลังย่างก้าวไปข้างหน้า หันมองร่างสูงที่ย่างกรายเข้ามาช้าๆ ด้วยใจที่เต้นระรัว ทศเทียนเดินมาหยุดตรงหน้าเด็กน้อยของเขาก่อนจะใช้มือหนาเอื้อมไปเกลี่ยเส้นผมที่ปกใบหน้าเล็กเรียวทัดเข้าที่หลังหูขาวอย่างอ่อนโยน แววตาสีเข้มจับจ้องที่ใบหน้างดงามพลางเอ่ยถามเสียงบางเบา

“น้องรักพี่บ้างไหม .. รัญ”

 

 

แน่นอนว่าทศเทียนไม่ได้คำตอบจากบ่ายวันนั้น รัญอึกอักก่อนจะขอตัวขึ้นเรือนไปอย่างร้อนรน ทศเทียนไม่ใช่คนโง่ เขามองออกว่ารัญมองเขาเป็นเพียงพี่ชายคนหนึ่ง ต่างจากที่มองไอ้แทนไท แววตาที่รัญมองมันมีแต่ความรักใคร่ชื่นชม เป็นแววตาที่เขาเองก็ใช้มองรัญเช่นกัน

ทศเทียนนึกโทษตัวเองที่เอาแต่คิดว่าน้องยังเด็กมาตลอด จึงไม่เคยพูดความในใจออกมาจริงๆ จังๆ สักครั้ง จนเมื่อรัญอายุ18ปีบริบูรณ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขาถึงยอมตัดสินใจรุกเข้าหาน้องด้วยการกระทำอันดูมากกว่าพี่ชายที่คอยดูแลไปวันๆ แต่เห็นทีจะไม่ทันการ น้องชายที่เขารักจนหมดหัวใจ ไปมีคนอื่นนั่งอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อใดเสียแล้วก็ไม่รู้เลย

เจ็บ แต่จะไม่ยอมแพ้

เพราะในโลกใบนี้ ไม่มีใครรักและดีกับรัญเท่าตัวเขาอีกแล้ว

ทศเทียนยืนมองพระจันทร์ที่บัดนี้สีเหลืองสกาวนวลกลายเป็นสีเหลืองหมองหม่นดังเช่นอารมณ์คนจ้องดู

สองขายาวค่อยๆ เยื้องย่างไปยังศาลาริมท่าน้ำเพื่อสงบจิตใจที่กำลังสั่นไหว พลันสายตาเจ้ากรรมเหลือบไปเห็นป่าดงพงไพร ไม่ห่างไกลจากที่ยืนพริ้วไหวผิดปกติ มันสั่นราวกับมีผู้ใดไปเขย่าลำต้นจากอีกทิศทาง ทศเทียนเริ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงครวญครางร้องออกมาจากหลังพุ่มไม้สีเขียว

เขาไม่รอช้าก้าวขาเดินอย่างเงียบงันไปทางต้นเสียงด้วยความหวาดระแวง ดวงตาสีนิลค่อยๆ ปรับตัวเข้าหาความมืดมิดจากรัตติกาล ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบกับบางอย่างที่ตนกำลังสงสัยอยู่

ร่างบอบบางของชายหนุ่มผิวสีขาวนวล เนื่องจากเป็นบ่าวในครัวไม่ได้เจอลมแดดลมฝนที่ทศเทียนจำได้ดีว่าชื่อ มิ่ง กำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่บนลำตัวกำยำสีเข้มของบ่าวชายคนหนึ่งที่ตนคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นบ่าวในสวน ทั้งยังครวญครางเหมือนอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใดจะมาพบเห็น

ทศเทียนแอบกลืนน้ำลายเมื่อร่างหนาพลิกไอ้มิ่งหมุนตัวมาไว้ด้านล่างก่อนจะจับคว่ำอยู่ในท่าคลานเหมือนสัตว์สี่ขา ไม่รีรอให้ร่างบางแย้งสิ่งใด มันรีบสวนความเป็นชายแท่งใหญ่เข้าไปจนสุดลำ ไอ้มิ่งกรีดร้องออกมาเสียงดังแต่ดูเหมือนร่างหนาจะยังไม่สะใจ มันซู้ดปากถอนแก่นกายสีเข้มออกมาจนหมดแล้วกระแทกย้ำเข้าไปใหม่อยู่อย่างนั้นสองสามที จนเมื่อเห็นว่าได้ที่มันจึงขยับสะโพกด้วยความถี่พลางเอื้อมมือหยาบไปจิกหัวของร่างบางให้เงยหน้าขึ้นมา

ทศเทียนยืนอยู่ทิศทางที่ไอ้มิ่งหันหน้ามาพอดีจึงได้เห็นสีหน้าของทาสในครัวที่กำลังอ้าปากน้ำลายไหลย้อยเต็มสองข้างมุม เหมือนดังหมาติดสัดที่ได้รับการสมสู่ก็ไม่ปาน 

ดวงตาของไอ้มิ่งกรอกไปมาเหมือนคนไม่ได้สติสตัง ยิ่งได้ยินเสียงพูดหยาบคายจากปากร่างหนาว่า มันเป็นอีตัว ไอ้มิ่งก็ดูชอบใจครางรับอย่างไม่ถือสา ครั้นเมื่อกำลังจะถึงฝั่งฝัน ร่างหนาก็กดลำตัวไอ้มิ่งจนติดพื้น ใช้มือข้างหนึ่งตบลงมาที่ก้นฉาดใหญ่ก่อนจะขยำจนผิวสีขาวนวลกลายเป็นสีแดงช้ำ ร่างหนาถ่างขาของไอ้มิ่งออกกว้างเพื่อให้เคลื่อนแก่นกายได้ถนัดก่อนจะซอยเข้าถี่ๆ เกิดเสียงกระทบกันของต้นขาดังไปทั่ว มันครางเสียงดังบอกหมาตัวเมียใต้ร่างว่าจะเสร็จก่อนจะกระแทกรอบสุดท้ายด้วยความดุดันสองสามทีแล้วจึงหยุดชะงักไปพร้อมกันกับของเหลวสีขาวที่ไหลทะลักออกมา

ร่างหนายังคงไม่ได้ถอนความเป็นชายออก มันคารูรักไว้เช่นนั้น แล้วจึงพลิกไอ้มิ่งมาโอบกอดด้วยเสน่หา ไอ้มิ่งไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มแย้มรับโดยท่าทีเจ็บปวดเมื่อครู่หายไปจนหมดสิ้น มันคุยกับผัวกระหนุงกระหนิงก่อนจะแยกย้ายกันไปหยิบเสื้อผ้าที่ถูกโยนระเนระนาดมาแต่งตัว

ไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็นลูกชายคนรองของเรือนที่เคลื่อนตัววิ่งออกไปท่ามกลางความเงียบงัน

 

รัญยืนกระสับกระส่ายเพ่งสายตามองฝ่าความมืดอย่างร้อนใจด้วยเพราะดึกดื่นจนป่านนี้ทศเทียนก็ยังไม่ปรากฎตัวขึ้นที่เรือน อดคิดอย่างเสียไม่ได้ว่าหรือเพราะเขาจะงอนเจ้าตัวจนถึงกับหนีไปนอนที่อื่นกัน

รัญไล่ใบบัวที่เฝ้ารอนายน้อยเช่นกัน บอกให้เจ้าหล่อนเข้าไปนอนก่อนด้วยเพราะความเป็นห่วง ทั้งยังรับปากว่าตนจะรอเอง เมื่อใบบัวไม่ยอมจึงอ้างการลงโทษของธานินทร์ ใบบัวจึงจำยอมเข้าไปนอนอย่างไม่เต็มใจ

รัญเดินหาวสะลึมสะลืออยู่ที่ชานเรือน กังวลใจไม่รู้จะทำอย่างไรหากอีกคนไม่กลับมา ธานินทร์และสายธารก็ไม่อยู่พากันไปเยี่ยมคุณป้าที่อีกเมือง แทนไทเองก็ไปราชการตั้งแต่เมื่อวานและคงจะกลับรุ่งสาง เจ้าตัวเดินไปเดินมาไม่ยอมนั่งลงดีๆ คงเพราะกลัวจะเผลอคล้อยหลับไป

“รัญ”

ไม่ทันรู้ตัวเมื่อมีร่างสูงมาสวมกอดจากทางด้านหลัง รัญเบิกตากว้างตกใจพยายามดิ้นจะผลักออก แต่เมื่อครั้นได้กลิ่นหอมจากเครื่องหอมที่ตนเคยให้เจ้าตัวไว้เป็นกลิ่นประจำกายจึงยอมสงบลง ก่อนจะเบ้ปากเสียงสั่น

“พี่เทียนไปไหนมา..”

รัญกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองไม่ให้ทศเทียนรู้ว่าตนกำลังจะร้องไห้งอแงเหมือนเด็กอย่างที่เจ้าตัวเคยชอบล้อทุกครา

“รัญ..”

ทศเทียนไม่ได้ตอบ เขากระชับกอดคนตัวเล็กแน่นขึ้น ดวงตาฉายแววปรารถนาหื่นกระหายอย่างไม่ปิดบัง เขาจ้องมองคนตัวเล็กในอ้อมกอดด้วยความโหยหา อยากจะจับเจ้าตัวกลืนกินลงไปทั้งตัว

“อย่า..อย่าทำแบบนี้อีกนะคุณเทียน”

รัญสะกดน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันพลั่งพรูไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างห้ามไม่ได้ น้ำเสียงพลางสั่นไหวด้วยความอ่อนแอ

“น้องรักพี่หรือไม่”

ทศเทียนยังคงถามคำถามเดิมเมื่อตอนบ่ายที่ตนยังคงไม่ได้รับคำตอบ

รัญพยักหน้ารับรัวๆ โดยแทบไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ

“เช่นนั้น”

“...”

“จูบพี่หน่อยได้ไหม”

เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูเล็กอย่างเย้ายวน รัญหัวใจกระตุกวูบรู้สึกประหม่าจนพูดอะไรไม่ออก เขากดเสียงสะอื้นจากการร้องไห้ไว้ แล้วพลันหมุนตัวผละออกจากอกแกร่ง ก่อนจะหันไปประจันหน้า สบสายตาของพี่ชายคนรองที่ส่งแววตาเสน่หาอ้อนวอนให้แก่เขา

“ค..คุณเทียน..พูดอะไรกัน”

รัญเอ่ยถามอย่างลังเล สงสัยว่าตนได้ยินผิดไปหรือไม่ ทศเทียนไม่ตอบเขาเพียงย่างกรายเข้าไปหาคนตัวเล็กช้าๆ นัยน์ตาคมกริบฉายประกายความต้องการแน่วแน่ชัดเจน รัญตกใจมากจึงพลันก้าวเท้าถอยหลังไปห้าหกก้าวก่อนจะพบว่าแผ่นหลังของตนติดอยู่ตรงผนังเรือน ไปไหนไม่ได้เสียแล้ว

ทางตัน

ทศเทียนยกสองมือหนาขึ้นดันผนังไว้เพื่อกักขังคนตัวเล็กไว้ในอ้อมอก รัญตัวสั่นระริก จ้องมองคนพี่ไม่วางตา

“คุณเทีย-" 

ทศเทียนโน้มใบหน้าลงมาจนกระทั่งริมฝีปากของตนชนเข้ากับแก้มนวลของคนตรงหน้าเบาๆ รัญเบิกตากว้าง แก้มสองข้างขึ้นสีด้วยความเขินอาย ทศเทียนข่มอารมณ์ตัวเองเลื่อนใบหน้าลงมาที่ซอกคอขาวช้าๆ พลางกัดเม้มเบาๆ เพื่อไม่ให้น้องเจ็บแต่ก็ตีตราย้ำไปย้ำมาเพื่อให้เพียงพอที่จะเกิดรอย

รัญกลั้นหายใจจนหน้าแดงก่ำ สองมือที่ใช้ดันอกของคนพี่เผลอกำคอเสื้อเขาไว้แน่นจนเป็นรอยยับยู่ยี่

รัญส่งเสียงหอบครางจากการกลั้นหายใจ โดยไม่รู้ว่าเสียงหวานกระเส่าของตนได้ปลุกราคะในตัวชายหนุ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว เขาอยากจะจับเจ้าตัวหันหลังถกกางเกงแสนเกะกะแล้วสมสู่เยี่ยงบ่าวไพร่ในป่าไพรให้แล้วเสีย

แต่ทำไม่ได้ เขารักรัญมากเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้น

ทศเทียนกัดริมฝีปากตนแน่น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อของคนน้องสั่นเหมือนอยากจะท้าทายให้เขาเข้าไปลิ้มลองอย่างใดอย่างนั้น

“รัญ..”

ทศเทียนส่งเสียงแหบพร่า จ้องมองใบหน้าคนตัวเล็กด้วยความหลงไหล

“จูบพี่หน่อย..”

รัญกลืนน้ำลาย นัยน์ตาหวานฉ่ำเหม่อลอยเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์ พลางคิดไปว่าหากปฏิเสธพี่ชายคนรองจะโกรธตนอีกหรือไม่

“น..น้องทำไม่เป็น..”

รัญเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ถึงจะอยากง้องอนคนพี่อย่างไร แต่ก็ทำไม่เป็นจริงๆ

“งั้น.. พี่จูบรัญได้ไหม”

รัญเบิกตากว้างจะเอ่ยปฏิเสธ แต่ครั้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนกำลังง้องอน จึงยอมพยักหน้ารับเบาๆ ร่างสูงเห็นดังนั้นจึงกลืนน้ำลายลงคอ เคลื่อนใบหน้าเข้ามาชิดมากยิ่งขึ้น ก่อนจะทาบริมฝีปากร้อนระอุลงไปอย่างแผ่วเบา

“อื้อ..”

รัญครางร้องเพราะตกใจ ทศเทียนได้ยินจึงพาลหัวใจเต้นระส่ำระส่าย พยายามละเมียดละไมอยู่แค่ภายนอกไม่ส่งลิ้นเข้าไปย่ำกรายคนน้องให้ต้องหวาดกลัว

“อ๊ะ..”

อีกครั้งที่เสียงหวานถูกเปล่งออกมาเมื่อทศเทียนขบกัดริมฝีปากหวานเล็กเบาๆ ร่างสูงกำมือแน่นจนเส้นเลือดขึ้นปูดเพราะใช้ความอดกลั้นอย่างสูง

“น้องรักพี่เทียนนะ”

รัญพูดทั้งๆที่ยังคงถูกจูบอยู่ด้วยเสียงอู้อี้ ต้องการเอาใจให้คนพี่หายงอน

ทศเทียนถอนริมฝีปากออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าเล็กส่งยิ้มหวานให้แก่เขา และเพียงเท่านั้นสติของทศเทียนก็กระเจิงโดยทันที

“ไม่ไหวแล้ว”

ทศเทียนเอ่ยก่อนจะใช้สองมือยกขึ้นจับศีรษะรัญล็อคไว้ทั้งสองข้าง จากนั้นจึงโถมใบหน้าลงบดริมฝีปากลงไปด้วยความร้อนแรง ลิ้นเล็กถูกตวัดเกี่ยวด้วยลิ้นใหญ่ของคนพี่ราวกับได้ชิมของหวานอร่อยล้ำเลิศ รัญครางอื้ออ้าอยู่ในลำคอด้วยเพราะเจ็บและตกใจ

มือเล็กพยายามตีอกดันตัวคนพี่ออกซ้ำๆ ดวงตาสองข้างนองไปด้วยน้ำตาระลอกใหม่ รัญทุบตีทศเทียนจนแทบหมดแรง แต่เขาก็ยังคงส่งลิ้นตนเองเข้ามาสำรวจโพรงปากเล็กอย่างหื่นกระหาย ทั้งยังเม้มกัดจนรัญรู้สึกช้ำไปหมด

รัญหายใจหอบถี่จนนัยน์ตาสีดำเริ่มพร่ามัว แขนขาทั้งสองข้างของเจ้าตัวเริ่มอ่อนแรงลงเหมือนคนไม่มีกำลัง ทศเทียนรับรู้ถึงความผิดปกติจึงยอมละริมฝีปากออกจากร่างบางทันที ครั้นเมื่อสบตาได้ไม่ถึงวินาที รัญก็ดวงตาปิดลงดับสิ้นสติไป