บทที่ 7

โอบเอวแนบชิด

 

ดอกเดย์ลิลลี่ ความสวยงามแค่วันเดียว

 

มักจะเป็นภาพที่ชินและคุ้นตาของเพื่อนในกลุ่มของเขาไปแล้ว ในทุกเช้าจะมีรถขับมาส่งเพื่อนตัวน้อย พร้อมด้วยขนมต่างๆ นานาที่แวะซื้อติดมือมาตลอด ส่วนกาแฟจะมีติดมาก็แค่ของไนน์ เพราะคนอื่นเกรงใจจะให้ซื้อมาฝากทุกวัน และตอนเย็นก็จะมีหนุ่มสุดหล่อมารอรับกลับเสมอ

“วีวันนี้กลับกับไนน์นะ หนึ่งฝากมาบอกมาบอกว่าติดประชุมยาว” ไนน์เอ่ยปากบอกระหว่างก้าวเดินลงจากตึกเรียน พลางยัดโทรศัพท์ที่เพิ่งเปิดอ่านข้อความพี่ชายตัวดีส่งมาให้เขา

“วันนี้ไม่มีประชุมเชียร์ไปหาอะไรกินกันไหม?” หญิงสาวผู้กินเก่งที่สุดอย่างเมเปิ้ลถามขึ้นมา

“กูมีซ้อมเดินประกวดดาวเดือนว่ะ” คิวตอบอย่างเซ็ง ยกแขนขึ้นวาดกอดคอเจโอ “มึงไปอยู่เป็นเพื่อนกูเลย วันนี้ซ้อมใหญ่ด้วย สาวๆ เยอะ”

“อืม” เสียงตอบรับในลำคอจากเจโอชายหนุ่มหน้านิ่ง

“กูกับเจโอไปก่อนนะพวกมึง ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว” คิวหันมาบอกลาเพื่อนในกลุ่ม “เจโอวันนี้พี่ปีสามมาด้วยนะมึง พี่ไอซ์น่ะเดือนนิเทศที่มึงแอบมองน่ะ” เสียงพูดคุยของสองหนุ่มระหว่างที่เดินออกไป

“...”

“กูมีนัดกับพี่หมอแล้ว ไปไม่ได้นะเมล” จัสมินบอกกับเพื่อนสาวหน้าเริ่มงอแล้ว บางครั้งจัสมินจะเรียกเมเปิ้ลแค่เมลบ้าง แต่เพื่อนหนุ่มคนอื่นยังคงเรียกเมเปิ้ลคงเดิม

“วีรีบไปไหนหรือเปล่าล่ะ ไปกินขนมเป็นเพื่อนเมเปิ้ลกันไหม?” ไนน์หันมาถามเพราะใบหน้าของเจ้าคุณเพื่อนเริ่มบูดบึ้งอย่างมาก

“ได้ดิ ไม่รีบไปไหนอยู่แล้ว” เจ้าตัวเล็กเออออไปด้วย วีเองยังอยากใช้เวลาร่วมกับชายหนุ่มที่เขาแอบปลื้มอยู่แล้ว

“น่ารักที่สุดเลย ดี ๆ พวกมึง ไปร้านหน้ามอนะ ที่เพิ่งเปิดใหม่นะ กูเล็งไว้นานแล้ว”

นัดแนะตกลงกันเสร็จ พวกเขาทั้งสี่แยกย้ายไปขึ้นรถ ส่วนวีเดินตามไนน์ไปยังลานจอดมอไซค์ ส่วนเมเปิ้ลและจัสมินไปยังลานจอดรถยนต์

“นี่หมวกกันน็อกวี” ชายหนุ่มยื่นหมวกใบเก่งของเขาให้เพื่อน แต่พอเจ้าตัวรับมาก็เอามาแค่ถือเอาไว้ไม่ยอมใส่ ไนน์แย่งกลับคืนมา สวมลงบนหัว “เขาเอาให้ใส่ไม่ใช่ให้ถือ” เสียงดุไม่จริงจังบอกเพื่อนตัวเล็ก และยังโน้มตัวลงมาล็อกหมวกให้ด้วย

“ขอบคุณนะ” วีตอบกลับมาด้วยเสียงเบาหวิว เมื่อกี้เขาเพิ่งแอบมองใบหน้าเพื่อนสนิทแบบใกล้ชิด

“ใบมันใหญ่ไปหน่อย ถ้ารู้ก่อนจะหาใบเล็กกว่านี้มาให้นะ” มือหนาวางบนหมวกและออกแรงโยกเบาๆ “ไปกัน”

ไนน์ขึ้นมาคร่อมลูกรักคันโปรดอันดับที่เท่าไหร่ไม่รู้ หันไปดูคนตัวเล็กยืนตั้งท่าจะปีนขึ้นมาอย่างยากลำบากด้วยเพราะรถมีขนาดสูง เขายกยิ้มด้วยความเอ็นดูเจ้าตัวน้อยประจำกลุ่ม หมุนซ้ายหมุนขวาหาทางขึ้น

“วีเอาเท้าซ้ายเหยียบที่พักเท้าอันนี้ เกาะไหล่แล้ววาดเท้าขวาไปข้างหลังขึ้นคร่อมมาเลย” ไนน์อธิบายการปีนขึ้นรถ นิ้วชี้บอกไปยังส่วนต่าง ๆ

“แบบนี้นะ อะ อึบ เวอ...”

เจ้าตัวเล็กที่พยายามปีนแล้ว และทิ้งตัวและน้ำหนักทั้งหมดในตอนวาดขาขึ้นมา จนรถเอียงไปนิดหน่อย ไนน์รีบคว้าท่อนแขนเอาไว้ไม่ให้เจ้าตัวล้มลงไปกับพื้น

“เอาใหม่ จะปักหลักให้แน่น หรือจะลงไปอุ้มขึ้นดีไหม” น้ำเสียงเย้าแหย่

“ไม่เอา...อายเขาดิทำเหมือนวีเป็นเด็กน้อย” เพื่อนตัวน้อยบ่นพร้อมกับปากยู้ตามมาด้วย

“อ่ะขึ้นมา รอบนี้ไม่ได้ไนน์ลงไปอุ้มขึ้นจริงแล้วนะ” ไนน์ยังแหย่เจ้าตัวเล็กไปอีกที

“ไนน์อะ....” เสียงร้องโดนแกล้ง เรียกเสียงหัวเราะให้แก่คนแกล้ง

หลังจากรวบรวมพลังกายทั้งหมด เจ้าตัวน้อยสามารถขึ้นมาบนบิ๊กไบค์ของเพื่อนเขาสำเร็จ แม้จะดูทุลักทุเลไปบ้างสำหรับการขึ้นครั้งแรก แต่ผ่านไปได้ด้วยดี “นี่ไงขึ้นมาได้แล้ว” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

เสียงสตาร์รถอันดังกระหึ่ม พร้อมกับบิดเร่งเครื่องนิดหน่อย “จะไปแล้วนะ ถ้ากลัวตกกอดเอวไนน์ได้นะ”

“หา! ว่าไงนะไนน์”

เสียงรถที่ดังบวกด้วยหมวกกันน็อกขนาดเต็มใบเขาจึงไม่ค่อยได้ยิน วีขยับเข้าไปชิดมาขึ้น ในจังหวะเดียวกันไนน์หันมาจนใบหน้าเขาทั้งสองเกือบจะแนบชิดกัน มีเพียงกระจกสีดำกั้นพวกเขา ไนน์ผงะขยับใบหน้าออกไปทันที

“โทษทีวี ไนน์บอกว่าถ้ากลัวตกกอดเอวไนน์ได้นะ”

“อือ...”

วีตอบรับและพยักหน้าภายใต้หมวกอันใหญ่ เรียวแขนเล็กย้ายไปวางทาบเอวของคนขับ วีเม้มปากด้วยเขิน เขาเดาได้ว่าหน้าคงจะแดงมาก ถ้าไม่มีสิ่งที่สวมใส่ปกปิดไว้ล่ะก็ เขาไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน และบางทีไนน์อาจจะจับอาการเขาได้จากใจที่เต้นรัว ยิ่งแนบชิด และมันทำให้เขาเขินจนตัวแทบระเบิดไปอีก คือไนน์จับแขนเขาทั้งสองข้างให้มากอดเอวกระชับขึ้นอีก

ระยะทางจากข้างในมาถึงหน้ามอใช้เวลาแค่ไม่ถึงห้านาทีด้วยยานพาหนะของพวกเขา ส่วนหญิงสาวที่ออกมาก่อนเพิ่งจะได้จอดรถ ไนน์หันไปบอกคนซ้อนว่า  ตอนลงในย้อนกลับท่าเมื่อกี้กับตอนขึ้นนะ ไนน์จัดการช่วยถอดหมวกออกให้ด้วยและตามไปสมทบกับหญิงสาวหนึ่งเดียวตรงหน้าร้าน

ร้านที่เพื่อนสาวพามา เป็นร้านคาเฟ่ เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ต้อนรับบรรดานักศึกษาใหม่ บรรยากาศดูไม่หวานมากไป เหมาะสำหรับจะพาแฟนหรือกลุ่มเพื่อนมานั่งกินในแบบน่ารักได้สบาย ๆ ทั้งสามเดินเข้าไปในร้าน และตรงไปนั่งยังกลางร้านยังมีที่โต๊ะว่างอยู่ ไม่นานพนักงานร้องบอกว่าสั่งอาหารเชิญตรงเคาน์เตอร์เลย พวกเขาทั้งสามเข้าใจว่าเป็นร้านต้องบริการด้วยตัวเอง

“กินไร จะได้ไปสั่งให้” เมเปิ้ลขันอาสาไปทำแทนหนุ่มๆ แต่ใจจริงเจ้าหล่อนจะไปสั่งของตัวเองได้เต็มที่มากกว่า เพราะไม่มีใครสั่งได้ถูกใจสักคน

“อเมริกาโนกับเค้กชาเขียว” ไนน์บอกขณะอ่านเมนูบนผนังหลังเคาน์เตอร์

“วีเอาฮันนีโทสต์ผลไม้รวม กับนมชมพูนะ”

“โอเคเดี๋ยวสั่งให้เลยจ้าเพื่อน รอเลยนะคะ”

หญิงสาวคนเดียวออกไปทำหน้าที่สั่งอาหาร ไม่นานก็กลับมานั่งโต๊ะรวมกับพวกเขาทั้งสอง และเจ้าแม่โซเชียลหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปในร้าน รวมถึงเพื่อนทั้งสองเป็นแบล็คกราวด์ด้านหลังร่วมด้วย

เสียงดังจากเครื่องบอกให้พวกเขาออกไปรับเครื่องดื่ม ไนน์อาสาเดินไปรับมาแทน ในระหว่างไปรับก็มีหญิงสาวเดินไปรับพร้อมกับเขาด้วย ชายหนุ่มเดินกลับพร้อมถาดมีเครื่องดื่มสามแก้ววางด้านบน แต่สิ่งที่แปลกปลอมมาเพิ่มคือกระดาษชิ้นเล็ก ๆ มีตัวเลข 10 ตัวบนนั้น พร้อมทั้งไอดีไลน์

“ได้มาอีกแล้วเหรอวะ มาแบบครบเลยนะมึง” เมเปิ้ลถามระหว่างรับแก้วแอปเปิลโซดาของตัวเอง

“...” ไนน์ไม่ตอบอะไร แค่ไหวไหล่และหยิบกระดาษนั้นลงใส่ในกระเป๋าเสื้อ

เมเปิ้ลเห็นการกระทำของเพื่อนหนุ่ม ถึงกับยื่นหน้าและเบะปากใส่ “สนใจล่ะสิมึง เก็บอย่างเร็ว ไหนบอกไม่ชอบคนที่เข้าหาวะ”

ชายหนุ่มได้กลั้วยิ้มตอบกลับ “อืม...ก็น่ารักดี”

หญิงสาวย้ายสายตาไปมองหน้าเพื่อนตัวเล็กด้านข้างเงียบลงไป ยกเท้าถีบไปต้นขาชายหนุ่มตรงข้าม พร้อมบุ้ยปากไปยังเจ้าตัวเล็กของกลุ่ม

“เออ พวกมึงงานของอาจารย์กิตทำกันหรือยังวะ กูยังไม่เสร็จเลย” เมเปิ้ลเปลี่ยนเรื่องทันควัน

“กูเสร็จแล้ว วีล่ะเสร็จหรือยังให้ไนน์ช่วยไหม” ไนน์หันไปถามเพื่อให้เพื่อนอีกคนมีส่วนร่วมในการสนทนาบ้าง

“เสร็จแล้วล่ะ” วีปรับน้ำเสียงให้ร่าเริงเพื่อคนอื่นจะไม่สงสัย

“งั้นมึงเอาของมึงมาให้ลอกสิ กูเหลืออีกนิดหน่อย ของหวานมาแล้ว”

ขณะกำลังพูดคุยกับเสียงแจ้งเตือนให้ไปรับอาหารก็ดังขึ้นคราวนี้เป็นวีกับเมเปิ้ลออกไปช่วยกันยกกลับมา จานของหวานวางตรงกลางโต๊ะ และลงมือกินร่วมกัน ของหวานที่เพื่อนสาวสั่งมีมาเพิ่มจากที่ไนน์และวีสั่งไปก่อนหน้านี้ คือ บิงซูเมล่อน เครปเค้กเรนโบว์ ข้าวเหนียวมะม่วง และวากาซิ* ขนมที่เป็นจุดขายของที่นี่ จัดเรียงมาในกล่องไม้สไตล์ญี่ปุ่นอย่างสวยงาม

ทั้งสามต่างพากันกินของหวานทั้งหมด เมเปิ้ลรู้สึกโชคดีอย่างน้อยเพื่อนในกลุ่มก็มีคนชอบกินของหวานอยู่ในกลุ่มถึงสามคน จัสมิน วีและไนน์ ส่วนอีกสองหนุ่มพอกินได้แต่ไม่ถึงกับไม่ชอบเลยสะทีเดียว พวกเขานั่งกินกันจนหมดเวลาล่วงเลยไปชั่วโมงกว่า และได้เวลาแยกย้าย

“วีลูก...หนูปีนขึ้นรถได้ไหมเนี่ย” เมเปิ้ลถามด้วยความเป็นห่วงจากสภาพรถที่สูงพอสมควร

“ได้อยู่แล้ว เมื่อกี้ยังขึ้นมาเลย นี่ดูนะ ฮึบ!!”

วีสวมหมวกเรียบร้อยแล้วเปิดกระจกมาคุยกับคนถาม รอจังหวะที่ไนน์ขึ้นไปคร่อมและปีนตามขึ้นไปด้วยท่าทางที่เริ่มคุ้นเคย ตามด้วยคนด้านหน้าส่งเสื้อแขนยาวมาให้

“วีใส่เสื้อด้วย เดี๋ยวขับไปลมมันแรง”

“ขอบคุณนะ”

ชายหนุ่มยิ้มรับในความเอาใจใส่ของเพื่อนคนนี้เสมอ และไนน์ยังดูแลเขาทุกครั้งที่ทำได้

เมเปิ้ลรอเพื่อนทั้งสองจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ก่อนจะโบกมือลา “ขับรถดีๆ ล่ะ เจอกันพรุ่งนี้” วีโบกมือลาตอบและไนน์ขับรถตามออกไป โดยมีบิ๊กไบค์อีกคันขับมาประกบคู่ ก่อนจะพยักหน้าและขับรั้งท้ายตามพวกเขาไป

วีขึ้นบิ๊กไบค์มาแล้วโอบเอวเพื่อนที่ความรู้สึกมากกว่าเพื่อน กลิ่นน้ำหอมอ่อนจากตัวคนขับปลิวตามสายลมในช่วงแรก ใจเต้นระส่ำระสายแทบจะหลุดออกจากอกอย่างสงบในตอนอยู่ในร้าน เขาอยากให้ถนนยาวไปอย่างไม่มีสิ้นสุด ถ้าเขาจะคิดเข้าข้างตัวเองสักอีกนิดได้ไหม ไนน์เคยบ่นว่าไม่ชอบให้ใครมาซ้อนรถแต่กลับเคยชวนเขารวมรอบนี้แล้วสองครั้ง จะผิดไหมที่ตัวเขาเองแอบหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ

หนึ่งนั่งรออย่างร้อนใจตรงหน้าทางเข้า เอาแต่มองไปยังลานจอดรถ ไม่นานคนที่เขาเฝ้ารอก็มาถึงและยังมีอีกคันจอดถัดไปอีกมุม ชายหนุ่มรีบวิ่งออกไปหาทันที เขาช่วยประคองเพื่อนน้องชายลงจากรถก่อนจะจับถอดหมวกกันน็อกและเสื้อแขนยาวและส่งคืนให้กับเจ้าของ

“มาช้าจังเนี่ย เค้านั่งรอตั้งนานเลย หิวข้าวแล้วด้วย คนเก่งกินข้าวมาหรือยังครับ แล้ววีล่ะกินมาหรือยัง” เสียงงอแงออดอ้อนจากคนตัวโต

น้องชายที่ชินชากับพฤติกรรมแบบนี้กลอกตาและตอบไปด้วยเสียงราบเรียบ “กินขนมมานิดหน่อย วีฝากมันด้วยไปล่ะนะ” ไนน์สวมอุปกรณ์ป้องกันอันตราย พร้อมโบกมือลาทั้งสองและขับรถมุ่งหน้าออกไปทันที ส่วนอีกคันออกตัวขับตีคู่ไป เจ้าตัวเล็กได้แต่อ้าปากอยากจะบอกลาสักนิดก็ไม่มีโอกาส เอาแต่มองตาละห้อยอย่างเสียดาย อย่างน้อยแค่บอกว่าขับรถกลับดีนะ

“พี่หนึ่ง ใครเหรอ?” วีชี้ไปยังอีกรถอีกคันที่ขับตามเพื่อนของเขาไปอย่างสงสัย เพราะวีเห็นตั้งแต่อยู่ในร้านขนมหวานแล้ว

“อ๋อ น่าจะไอ้คีนนะ คนดูแลของไนน์”

“...” วีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ว่าทำไมเพื่อนเขาต้องมีคนดูแลและคอยตามประกบอยู่เรื่อย แต่ยังไม่ทันถามเขาโดนจับเข้าตรงแขนและลากไปยังลิฟต์

“ขึ้นข้างบนเถอะครับพี่หิวข้าวแล้ว วีไปกินข้าวเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ พี่ไม่ชอบกินข้าวคนเดียว”

คนพี่รวบรัดตัดตอนทุกอย่างจูงพาคนตัวเล็กลากไปยังห้องของตัวเองด้วยความมึนงงของเจ้าตัว เขาจับให้นั่งลงที่เก้าอี้ในห้องครัว

“นั่งรอก่อนนะ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงกับข้าวก็เสร็จแล้ว” มือใหญ่คลายออกเหลือเพียงแค่ความอุ่นละมุนไว้กับมือของเจ้าตัวเล็ก เขารู้สึกว่าการปล่อยมือกระทันหันนั้นมันโหว่งในใจ

“ครับ แต่ว่าพี่หนึ่งทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ?” คนตัวเล็กถามด้วยความที่คนพี่นั้นหยิบจับอย่างคล่องมือ ไม่ว่าจะหันไปหุงข้าวและหยิบของออกมาจากตู้เย็น

“ก็แค่กับข้าวง่าย ๆ อะไรพวกผัด ต้ม แค่เอาตัวรอดได้ล่ะครับ” หนึ่งตอบไปพลางหยิบของจัดวางบนเคาน์เตอร์

“พี่หนึ่งจะทำอะไรเหรอครับ?” วียืดคอมองของที่รายล้อมตัวเจ้าของห้องอย่างสงสัย

“ต้มจืดวุ้นเส้น และไข่ผัดแหนมครับ วีจะลองทำไมครับ”

“อย่าเลยพี่ แค่ต้มไข่ยังเกือบทำบ้านไหม้มาแล้ว” วีตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยู่ในระดับเกรงใจ แต่อยู่ในระดับเข็ดขยาดฝีมือตัวเองมากกว่า

ประสบการณ์ต้มไข่ในครั้งนั้น ในสมัยช่วงมัธยมต้นคือตั้งใจจะกินไข่ยางมะตูม เขาเลยไปอ่านวิธีมาจากในอินเทอร์เน็ต คำนวณทุกอย่างเรียบร้อย ตั้งเวลาเรียบร้อย แต่สิ่งที่ตัวเองลืมคือต้มไข่มันต้องใส่น้ำแต่น้องวีเองลืมใส่ ผลออกมาเลยหม้อไหม้ ควันลอยเต็มบ้านเลย โชคดีที่แม่เขาเดินเข้ามาดูลูกชายว่าทำอะไรอยู่ ไม่งั้นได้สร้างบ้านใหม่แน่นอน แม่เลยสั่งห้ามทำเลย อยากกินให้บอก พูดแล้วเขายังขยาดไม่หายเลย

วีนั่งมองชายหนุ่มนักธุรกิจตอนนี้แปลงร่างมาอยู่ในคราบพ่อครัว แขนเสื้อพับแบบลวก ๆ คลุมทับด้วยผ้ากันเปื้อนลายทาง กำลังหยิบมีดหั่นไม่ว่าจะแหนมเป็นชิ้น หอมหัวใหญ่ มะเขือเทศ ต้นหอม ในระหว่างรอน้ำต้มให้เดือด

“วีมาปั้นหมูใส่ต้มจืดไหมครับ” ชายหนุ่มพยักหน้าเชื้อเชิญให้อีกคนมีส่วนร่วม

คนตัวเล็กเกาแก้มเล็กน้อย ก่อนจะลุกไปยืนเคียงข้าง “นี่ครับ เอาช้อนตักและแตะให้เป็นก้อนพอดีคำแบบนี้นะครับ ลองทำดู” หนึ่งยื่นชามหมูสับที่เขาปรุงรสเรียบร้อยแล้วให้คนตัวเล็ก

“แบบนี้ได้ไหมพี่หนึ่ง” เจ้าตัวเล็กค่อยให้ช้อนปั้นหมูแบบที่คนตัวโตสอน ก่อนจะหย่อนลงไปในน้ำเดือด

หนึ่งชะโงกหน้ามาดู “ค่อย ๆ นะ ระวังน้ำร้อนกระเด็นด้วย เก่งมากเลยครับ” มือหนาวางบนหัวคนตัวเล็กยีเบา ๆ ในความเอ็นดู

“...” วียิ้มกว้างและเงยหน้าขึ้นมามองคนสอน ในจังหวะเดียวกันที่หนึ่งชะโงกตัวไปแต่ยังไม่ดึงกลับมา ใบหน้าเขาทั้งสองห่างกันไม่กี่เซน จนเห็นเงาสะท้อนในดวงตาคู่ใส

ร่างสูงชะงัก ก่อนจะผละตัวออก “พี่ไปทำผัดก่อนนะ วีปั้นใส่จนหมดเลยนะครับ” เขาต้องปลีกตัวออกมาให้เร็ว อย่าให้ร่างหมาป่าออกมา

วีเหลือบมองคนตัวโตกำลังควงตะหลิวผัดไข่ในกระทะ และเทแหนมที่หั่นเป็นชิ้นไปผัดจนสุก คนให้เข้ากันและปรุงรส ในระหว่างนั้นเขาเองก็ตักหมูลงจนหมดแล้ว แต่ก็ยังยืนมองดูอยู่ด้านข้าง จากนั้นใส่ผักตามลงมา หอมหัวใหญ่ มะเขือเทศ ต้นหอมและพริกสดอีกนิดหน่อย และตักใส่จาน และยื่นมาจ่อจมูกเขาพร้อมด้วยรอยยิ้ม

“หอมไหมครับ หิวยัง”

“หอม...มาก... กินด้วยได้ไหม...” เขาตอบกลับแทบจะทันทีจมูกรับกลิ่นหอมด้วยเสียงอ้อนลากยาว

“ได้สิครับลูกมือคนเก่งของผม งั้นพี่ฝากยกจานนี้ไปวางไว้บนโต๊ะ เดี๋ยวใส่ผักเครื่องต้มจืดดอกไม้จีนและวุ้นเส้นก็เสร็จแล้วจะตักต้มจืดตามไปนะครับ"

วีรับจานและยกไปวางลงบนโต๊ะ วียิ้มกับตัวเองกับสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่เนี่ย เหมือนคนเป็นแฟนกันเลย ทำกับข้าวให้กันกิน รอกินข้าวพร้อมกัน คนตัวเล็กถึงกับตาโตในความคิดนี้ เขาไม่ได้ชอบพี่หนึ่งสักหน่อย พี่หนึ่งเหมือนแค่พี่ชายเท่านั้น คนที่เขาชอบคือไนน์สิ พี่หนึ่งก็ไม่ได้ชอบเขาแค่เอ็นดูเขาเหมือน น้องชายอีกคนหนึ่งเท่านั้น คนตัวเล็กสะบัดหัวไล่ความคิดแปลก ๆ นี้ออกไป

ส่วนเจ้าของห้องควบตำแหน่งพ่อครัวกลั้วยิ้มในความเอ็นดูเจ้าคนตัวเล็กกำลังนั่งรอเขากินข้าว สำหรับหนึ่งแล้วมันคงจะดีมากถ้าได้กินข้าวด้วยกันแบบนี้ไปตลอด

หนึ่งยกชามต้มจืดมาวาง ตามด้วยข้าวสวยร้อน ๆ สองจาน และหนึ่งยังคงเป็นหนึ่งที่คอยดูแลเอาใจใส่น้อง น้องที่หมายถึงแค่น้องชายที่ชื่อไนน์และน้องวี (แต่คนนี้อาจจะพิเศษกว่า)

“วีกินนี้สิครับ ดอกไม้จีนรู้จักไหมครับ?”

“...”

“ดอกไม้จีนหรืออาจจะเรียกว่า ดอกเดย์ลิลลี่ ความหมายตรงตัวเลยครับ สวยหนึ่งวัน แต่แม่พี่เคยพูดประโยคนี้กับพี่นะ ใช้ชีวิตให้สวยเหมือนเดย์ลิลลี่ เพราะเจ้าดอกเนี่ย แม้จะสวยแค่วันเดียว แต่ก็จะมีดอกอื่นมาผลัดกันบานยาวนานถึงสามสัปดาห์เลยนะ”

“อืม แบบว่าถึงจะถึงจะหมดวันไปแล้วยังสามารถผลิบานได้ใหม่ใช่ไหมครับ”

“ใช่แล้ว เก่งนะเนี่ย” เขาชมความมองในแง่ดีของน้อง “วีครับอาทิตย์หน้าพี่จะไม่อยู่นะครับ พี่ฝากวีดูรถให้พี่หน่อยได้ไหม” พอพูดถึงอะไรแบบนี้ เขานึกขึ้นได้ว่าต้องไปทำงานให้กับปู่ร่วมกับนานะ ไม่รู้ว่าผลจะออกมาแบบไหน

“...”

“คือ พี่ไปซื้อรถมาแล้วเขาจะเอามาส่งแต่พี่ไม่มีเวลาลอง วีเอาไปขับทดสอบให้พี่หน่อย ไหน ๆ พี่ก็ไม่ได้ไปรับไปส่งวีอยู่แล้ว ลองขับรถไปเองสักอาทิตย์เดียวเองอาจจะแค่ไม่กี่ก็ได้” ชายหนุ่มพูดเป็นเรื่องเป็นราว ที่ไปรับไปส่งนั้นคือสิ่งที่ทำเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนวีที่ฟังก็แค่พยักหน้าคล้อยตามด้วยความเคยชิน

“ก็ได้ครับ”

หลังจากจบมื้อเย็นอย่างเรียบง่าย หนึ่งอาสาไปส่งเพื่อนบ้านห้องตรงข้ามยันประตูห้อง ก่อนจะกล่าวลา

"นอนหลับฝันดีนะครับเจ้ากระต่ายน้อยวี"

"ครับฝันดีเหมือนกัน" ร่างบางส่งยิ้มหวานหลังพูดจบ และปิดประตูหนีสายตามองตอบกลับมาอย่างหวานเยิ้มของคนตัวโต

เช้าวันจันทร์ในสัปดาห์ต่อมา

“พี่หนึ่งวีไม่กล้าขับ รถมันแพงไป....”

เสียงโวยวายพร้อมหน้างอง้ำของคนตัวเล็กที่เห็นรถ วันนี้เขาต้องขับไปเรียน ถึงกับปาดเหงื่อ ในตอนรับปากคนตัวโตลืมว่าคนพี่รวยแค่ไหน แต่รถที่ให้เขาขับไปเนี่ยมันกี่ล้าน เขาแทบไม่เสิร์ชดูราคา แค่โลโก้ติดหน้ารถเป็นทรงรูปโล่และมีม้ายืนยกขาสองข้าง

[รับกุญแจไปแล้ว ขับไปเรียนได้แล้วสายแล้วนะ] หนึ่งคุยโทรศัพท์กับวียกยิ้มอย่างพอใจ หนึ่งพลันนึกถึงหน้าคนตัวเล็กว่าจะตื่นตกใจแค่ไหน เขาอยากเห็นสีหน้าด้วยตัวเอง แต่ต้องมาทำงานสำคัญกับนานะน้องสาวตามที่นัดกันไว้นานแล้ว

“พี่หนึ่งง่ะ”

[ครับ ไปถึงไลน์บอกพี่ด้วย แต่วันนี้เรียนแค่ช่วงเช้าอย่างเดียวใช่ไหม ถ้ากลับถึงห้องไลน์บอกพี่อีกทีด้วยนะครับน้องวี]

“ครับ” เสียงตอบแบบอ่อนแรงจากปลายสายก่อนวางสายไป

 

“เลิกยิ้มได้แล้ว กูสยอง” เสียงยียวนกวนประสานดังมาจากคนนั่งข้าง

“ชิ ว่าแต่ทำไมนัดที่รีสอร์ตวะ?” หนึ่งส่งเสียงรำคาญใส่น้องสาวคนเล็กของบ้าน ก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัยในสถานที่พวกเขามา

“ระวังตัวไว้ด้วย กูว่ามีอะไรแน่ ๆ” นานะตอบกลับมาพร้อมแสยะยิ้มที่น่ากลัว

 

To be continued….

*วากาซิ (Wagashi) ขนมหวานญี่ปุ่นโบราณ วัตถุดิบหลักคือแป้งข้าวเหนียวและถั่วแดง มักใช้กรรมวิธีนิ่ง เผา ปิ้งหรือปั้นในการทำ โดยตัวอักษร ว่า วะ () หมายถึง ญี่ปุ่น และ กาชิ (菓子) แปลว่าขนม