1 ตอน บทที่ 1 เมื่อแรกพบคือการตกหลุมรัก
โดย T.mines
เมื่อแรกพบคือการตกหลุมรัก
(ยิปโซ ดอกแห่งรักแรกพบ)
ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าขาวแถบยาว ปลดแว่นกันแว่นที่สวมใส่มาเสียบไว้ปกเสื้อตรงหน้าอก ดึงดูดความสนใจภายในร้านกระเป๋าแบรนด์เนมของห้างชื่อดังกลางเมืองเชียงใหม่ เขาได้รับการไหว้วานจากมารดาให้มารับกระเป๋าถือรุ่นลิมิตอิดิชันที่มีไม่กี่ใบในโลกนี้
“สวัสดีค่ะคุณหนึ่ง มารับกระเป๋าที่คุณดาหลาสั่งไว้ใช่ไหมคะ” เสียงทักทายจากพนักงานประจำร้านส่งยิ้มหวานให้กับชายหนุ่ม
“ครับ” เขายิ้มตอบให้พนักงานสาวที่คุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้าง ก็ห้างขนาดใหญ่ในนี้มีอยู่ไม่กี่แห่งในตัวเมืองเชียงใหม่ แถมเขาเองก็มีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง
พนักงานหายไปด้านในก่อนจะหยิบสิ่งของที่เขาต้องการออกมา “เรียบร้อยแล้วนะคะ ทางร้านขอขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ”
เขารับถุงมาแล้วมองดูพนักงานที่โค้งตัวขอบคุณก้มหัวเกือบเก้าสิบองศา เขาได้แค่ยิ้มตอบรับเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือดังมาขัดจังหวะการตอบกลับพอดี
Rrrrrrr เสียงเรียกเข้าจากมารดา
“ครับแม่”
[พี่หนึ่งอยู่ไหนแล้วลูก มารับกระเป๋าแม่แล้วใช่ไหมครับ]
“ครับ เรียบร้อยแล้วครับ”
[นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วแวะไปทานข้าวหน่อยไหมลูก?]
“...” เขานิ่งเงียบไม่โต้ตอบ พอจะเดาได้แล้วว่าแม่จะบอกล่าวอะไรต่อจากนี้
[แม่จองโต๊ะที่โรงแรมของเราไว้แล้วนะลูก แม่นัดหนูนาเดียร์ให้มาเจอกับพี่หนึ่ง และเราไปรอน้องก่อนเวลานิดหน่อยจะได้ไม่ดูน่าเกลียดนะครับ] เสียงปลายสายบอกเป็นชุดกะไว้เป็นขั้นเป็นตอนอย่างดิบดี เขานึกแล้วว่าทำไมแม่สั่งว่าต้องเอากระเป๋าวันนี้ให้ได้
“แม่ครับ...” น้ำเสียงร้องเรียกมารดาด้วยความเหนื่อยหน่าย ขยันจังเลยนะเรื่องหาคู่ให้เขา
[นะลูก น้องน่ารักมาก ตัวเล็กนิดเดียวเอง แม่ลองคุยแล้วนิสัยคล้าย...]
“แม่ครับ เลิกพูดถึงคนนั้นได้แล้ว” เสียงพูดขัดขึ้นมาก่อนที่มารดาจะพูดจบ เขากลอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่ายไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี แม่เขายังไม่เลิกจะพูดถึงอีกคน ทั้งที่เรื่องราวระหว่างเขากับคนนั้นไม่มีทางกลับมาคบกันแบบนั้นได้อีกแล้ว
[แต่ว่าหนึ่งจะไปใช่ไหมลูก แม่รับปากน้องไว้นะครับ] น้ำเสียงที่อ่อนลงของมารดาชายหนุ่ม
“ครับ แต่นี่จะเป็นคนสุดท้ายแล้วนะครับที่หนึ่งจะไปดูตัว” น้ำเสียงบอกแบบจริงจังส่งไปยังปลายสาย แต่เขาไม่รู้ว่าจะเข้าหูมารดาเขามากน้อยเพียงใด จำได้ว่าเคยพูดเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้ว แต่แม่เขาก็ยังพามาอีก ถ้าจะให้นับเอาแค่เดือนนี้คือรายที่สามแล้ว
[ขอบคุณครับพี่หนึ่ง ลูกชายแสนดีของแม่]
“งั้นแค่นี้นะครับแม่”
[ครับพี่หนึ่ง แล้วแม่จะโทรหาอีกทีนะครับ บายครับ]
แม่เขาตัดสายไปแล้ว เขายังคงยืนมองโทรศัพท์ต่อ กำลังคิดว่าจะบล็อกหรือปิดแจ้งเตือนของมารดาดีนะ แม่เขาเห็นว่าอายุใกล้จะสามสิบแล้วยังไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตนสักที ด้วยความหวังดีจึงจัดการคู่ให้ลูกชายจากบรรดาเพื่อนสนิทรวมถึงคนรู้จัก เขาน่ะเคยบอกไปแล้วว่าถ้าเจอคนที่ถูกใจแล้ว เขาจะเดินหน้าจีบเอง แต่กลับกลายว่าหามาให้เผื่อเขาจะถูกใจก็เป็นสะอย่างงั้น
หนึ่งขับรถสปอร์ตสีดำมุ่งไปยังโรงแรมในเครือ หนึ่งในกิจการของศิริกิจวัชรโชติกรุ๊ปที่ปรกบด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คอมโดมีเนียมระดับหรูและโรมแรมระดับห้าดาวอยู่ในการดูแลของเจ้าสัวชัชหรือปู่ของเขาเอง สองกิจการส่งดอกไม้ไปยังต่างประเทศของบุตรชายคนโตบิดาของชายหนุ่ม สามธุรกิจร้านอาหารภัตตาคารหรูชื่อดังที่ตั้งทั่วทุกมุมโลกของบุตรชายคนรอง สี่ธุรกิจการบินและโลจิสติกทั้งในและนอกประเทศของบุตรชายคนที่สาม และอันสุดท้ายธุรกิจผับ กาสิโน สนามแข่งรถ (ธุรกิจสีเทา) อยู่ภายใต้การดูแลของบุตรชายคนที่สี่ ส่วนบุตรสาวคนสุดท้องของประสบอุบติเหตุเสียชีวิตไปพร้อมกับสามีที่ปู่เขาตั้งใจจะยกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ดูแลต่อ
เมื่อรถจอดสนิทและก้าวลงมาจากรถ พนักงานที่คุ้นเคยมาเปิดประตูและรับกุญแจ ลิฟต์พาเขาไปยังชั้นบนสุดเห็นวิวทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่ พนักงานต้อนรับพาเขาไปยังโต๊ะอย่างรู้หน้าที่โดยไม่ต้องบอกแม้แต่คำเดียว
“คุณหนึ่งจะรับอะไรก่อนไหมครับ” บริกรหนุ่มถาม
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวก็คงมาแล้วมั่ง”
“ครับ” บริกรตอบรับแล้วถอยหลังไปรอรับบริการอยู่ทางด้านหลัง
เขารอไม่นานหญิงสาวร่างบางตัวเล็กน่าทะนุถนอมของแม่เขาเดินมาในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน เขาก้มลงมองเสื้อตัวเองทันที สีคล้ายกันเลยอะไรดลใจให้ใส่สีนี้มาเปลี่ยนทันไหม หญิงสาวพูดคุยกับพนักงานก่อนจะผายมือและพาเดินมาส่งยังโต๊ะที่เขานั่งรออยู่ เขาเปรยตาขึ้นมามองเล็กน้อยระหว่างหญิงสาวเลื่อนเก้าอี้และนั่งลง
“สวัสดีค่ะ พี่หนึ่ง” น้ำเสียงเล็กสดใสกล่าวทักทายพร้อมกับยกมือไหว้ รอยยิ้มหวานพร้อมกับท่าทางเขินอาย
“สวัสดีเช่นกันครับ น้องเรนเดียร์” เขาแสร้งเรียกชื่อผิดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“เอ่อ...นาเดียร์ค่ะ” น้ำเสียงตอบกลับมาพร้อมกับใบหน้าเจื่อนลง
“เอ่อ ชื่อคล้ายกับคนก่อนหน้านี้ครับ ขอโทษด้วยครับ” เขารีบกล่าวคำขอโทษดูเหมือนจริงใจพร้อมด้วยใบหน้ารู้สึกผิด ดวงตาหรี่มองไปยังคนตรงหน้า
“ไม่เป็นอะไรคะ นี่พรหมลิขิตหรือเปล่าคะเนี่ยใส่เสื้อสีเดียวกันเลย บังเอิญจังเลยนะคะ” หญิงสาวพูดคุยราวกับว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรที่เขาจะจำชื่อผิดเพราะเพิ่งจะเจอกันเป็นครั้งแรก
“บังเอิญจริงๆ ด้วยครับ” เขาตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคออีกเล็กน้อย “ทานอาหารกันดีกว่า” เขายกมือให้สัญญาณกับพนักงานให้นำอาหารมาเสิร์ฟ
สเต๊กปลาเสิร์ฟและไวน์ขาวถูกวางตรงหน้าหญิงสาว ส่วนของเขาคือสเต๊กขาแกะกับไวน์แดง
“พี่หนึ่งรู้ได้ไงคะว่านาเดียร์ชอบทานสเต๊กปลา”
“จริงเหรอครับ แสดงว่าผมเดาใจคนเก่งนะเนี่ย ถ้าชอบก็ทานเยอะๆ เลยนะครับ” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางยกยิ้มที่มุมปาก
บรรยากาศการประทานอาหารเต็มไปด้วยการพูดคุยของนาเดียร์ คอยถามนู้ถามนี่ อยากจะใคร่รู้เกี่ยวกับตัวเขา เขาแค่ขานรับในบทสนทนาบางครั้ง ส่วนบ้างเรื่องที่บอกกล่าวได้เขาก็ตอบไปเพียงสั้นๆ
“พี่หนึ่งค่ะ ถ้านาเดียร์จะขออนุญาตไปดูดอกไม้ที่ไร่ได้ไหมคะ?”
“หื้อ...อยากไปดูดอกไม้ที่ไร่พี่เหรอครับ?” เขากล่าวถาม ดวงตาที่เรียวยาวนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหรี่มองไปยังหญิงสาว รอยยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มที่ไม่ค่อยพอใจนัก เหมือนเธอพยายามจะเข้ามาใกล้ตัวเขามากเกินไป ชายหนุ่มยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบดื่มด่ำกับรสชาติ เขาวางแก้วลงไล้นิ้วไปขอบปากแก้ว เสมองใบหน้าที่ส่งยิ้มหวาน “คงไม่ได้ครับ ช่วงนี้เชื้อรากำลังระบาดเลยต้องกันคนนอกไม่ให้เข้าไปน่ะครับ” เขาหยุดมองดูสีหน้าเสียดายของหญิงสาว ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าไปวันหลังน่าจะได้ครับ”
“จริงเหรอคะ จริงๆนะคะ” สีหน้าเปลี่ยนจากผิดหวังกลายเป็นดีใจและดูตื่นเต้นทันตา
“ครับ” เขาแค่พยักหน้าเบาๆ ตอบกลับ
“กลับกันเลยไหมครับ นาเดียร์พักที่ไหนครับ” เขาพยักหน้าให้บริกรที่คอยบริการโต๊ะของเขา สื่อความหมายว่าการกินข้าวมื้อนี้จบลงแล้ว บริกรก้าวเข้ามารับบัตรเครดิต
“นาเดียร์พักที่นี่ค่ะ”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาเท้าคาง วางสายตาไปยังคนตรงหน้าสื่อสายตาที่เย้ายั่วเสน่ห์ ยกยิ้มร้ายๆ ให้ หญิงสาวตรงหน้าปะทะกับสายตาแบบนี้ ต่อให้มีแรงต้านทานแค่ไหนต้องเขินอาย หนึ่งมั่นใจในหน้าตาที่ดี หุ่นเป็นนายแบบ รวมถึงความรวยและนามสกุลดัง
หญิงสาวดังกล่าวรู้สึกใบหน้าเห่อร้อน ริมฝีปากบางเคลือบด้วยสีชมพูโอรสเม้มเข้าหากันอย่างเขินอาย เธอช้อนตาเงยหน้าขึ้นมาสบตาพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนยั่วตอบกลับ
หนึ่งแสยะยิ้มในใจ ดูท่าทางจะไม่ใสและน่าทะนุถนอมแบบที่แม่เขาว่าแล้วนะ เขายกไวน์ที่เหลือมาจิบจนหมด เท้าอยู่ใต้โต๊ะยกขึ้นมาถูไถหน้าขาชายหนุ่ม เขาแลบลิ้นเลียปากตอบกลับ บริกรกลับมาพร้อมกับบัตรที่เขาส่งให้ไปจัดการ ชายหนุ่มหยุดการกระทำทุกอย่างพร้อมกับชักขากลับมา
เขาแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ “ไปแล้วนะครับ ใช้ช่วงเวลาวันหยุดให้สนุกนะครับ ลาก่อนครับ”
สิ้นคำบอกกล่าวเขาลุกไปจากเก้าอี้ ทิ้งให้หญิงสาวหน้าเหวอ อ้าปากค้างกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น และเขาคิดว่ากว่าอีกคนจะนึกอะไรได้เขาก็เดินไปยังลิฟต์แล้ว เขาไม่คิดที่ทิ้งช่องทางติดต่อแม้แต่นิดเดียว และคำชวนไปดูไร่ในวันหลัง คำว่า วันหลัง ไม่มีความหมายสำหรับเขาเลย แต่ถ้าคำว่า วันหน้า นั่นคือสำหรับคนที่เขาคิดจะสานต่อ และตอนนี้เขาคิดว่าได้ทิ้งระเบิดตูมใหญ่ให้แม่แล้ว
บ๊าย บายเชียงใหม่
วันต่อมา
วันนี้คือวันสัมภาษณ์สำหรับนักศึกษาใหม่ในปีการศึกษานี้ ชายหนุ่มร่างบางตัวเล็กกว่ามาตรฐานชายไทยในชุดนักเรียนมัธยมปลาย หลายคนบอกว่าเขาตัวเท่ากับผู้หญิงเลย เขาเดินทางมาคนเดียวด้วยรถขนส่งสาธารณะ คุณแม่สุดที่รักของเขาพยายามให้พี่สาวขับมาส่งท่าเดียวแต่เขาทั้งออดทั้งอ้อนอยู่หลายวันว่าอยากทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง เพราะต้องไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยคนเดียว แต่แม่เขาก็ยังมิวายพาไปซื้อคอนโดใกล้เตรียมเอาไว้ บอกว่าแม่อยากให้อยู่แบบสบายๆไม่ต้องไปทนอึดกันอยู่ร่วมห้องกับคนอื่น
เขาออกจะตื่นเต้นกับการต้องทำอะไรเองในหลายอย่าง เขานั่งรถออกมาจากบ้านแต่เช้าเพื่อให้ทันนัดสัมภาษณ์ในตอนเก้าโมงเช้า มหาวิทยาลัยที่เขาเลือกคือมหาวิทยาลัยอันดับต้นของประเทศ คณะวิศวกรรมยานยนต์ ถามว่าทำไมเลือกคณะนี้ด้วยความที่ชอบคำนวณล่ะมั่งบอกกับว่าถ้าเรียนกับเพื่อนผู้ชายเยอะเขาจะได้แข็งแกร่งขึ้นมาบ้างและด้วยธุรกิจของที่บ้านขายอะไหล่รถยนต์ด้วยแหละ
คนร่างบางตัวเล็กยืนงงอยู่ท่ามกลางตึกที่หน้าตาคล้ายกันไปหมด เขารู้ว่านี่คือคณะวิศวกรรมศาสตร์แต่ไม่รู้ว่าภาควิชาเขาไปตรงไหน กลุ่มคนใส่เสื้อชอปนั่งอยู่บริเวณใกล้ เขาเดาว่าคงเป็นรุ่นพี่ร่วมคณะ
“พี่ครับ ภาควิชาวิศวกรรมยานยนต์ไปทางไหนครับ” เสียงหวานเอ่ยถามไปยังกลุ่มคนดังกล่าว
“หื้ม น่ารักว่ะ” หนึ่งในนั้นร้องทักขึ้นมาพร้อมกับสายตาที่วิบวับ
“โคตรน่ารักเลยว่ะ น้องเรียกวิดวะ?”
วีคุ้นเคยชินกับการที่มีคนบอกเขาว่าน่ารัก เขาเข้าใจว่าคำว่าน่ารักที่หลายคนบอกไม่ว่าจะแม่หรือเพื่อนเขาหมายถึงความเอ็นดูเท่านั้น แต่น้ำเสียงกับสายตาที่ส่งมาจากรุ่นพี่พวกนี้ เขารู้สึกว่าคำนี้อาจจะไม่ได้สื่อความหมายแบบที่เขาเข้าใจมาตลอด
“ครับ?”
“เดี๋ยวพี่พาไปส่งครับ แต่ขอไลน์เป็นการตอบแทนนะครับ” รุ่นพี่เสนอตัวพาไปส่ง รวมถึงคนอื่นต่างลุกและเดินเข้ามารุมล้อมคนร่างบางตัวเล็ก ด้วยที่ไม่ค่อยเจอเหตุการณ์แบบนี้ เขารู้สึกกลัวและตื่นตกใจจนหน้าถอดสี
“พวกมึงอย่าแกล้งน้องเขาสิวะ แล้วน้องคนน่ารักจะให้พวกพี่ไปส่งไหมครับ” รุ่นพี่อีกคนเดินเข้ามาห้ามปรามเพื่อนและดึงตัวเพื่อนอีกคนออกไป
“เอ่อ...”
ชายหนุ่มร่างโปร่งกำลังจอดรถอยู่ไม่ไกล จับจ้องมองคนตัวเล็กตั้งแต่เดินผ่านหน้าเขาไป จนไปเจอกับกลุ่มรุ่นพี่ด้านหน้า เหมือนจะถามอะไรสักอย่าง เขาหรี่ตามองกลุ่มคนเดินเข้ามาประชิดคนตัวเล็กที่มองดูก็รู้ว่าเริ่มกลัว เขาเองไม่ค่อยยุ่งเรื่องของใครเพราะนิสัยขี้หงุดหงิดรำคาญง่าย แต่ก็อดสงสารในท่าทีไม่ได้จึงเดินเข้ามาและได้ฟังบทสนทนา
หมับ! เขายกแขนไปพาดของคนตัวเล็ก ที่สะดุ้งสุดตัวด้วยความตื่นกลัว
“รอนานไหมครับ...วี” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามจากชายหนุ่มแปลกหน้าใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียนมอปลายเฉกเช่นเดียวกันก่อนจะก้มลงมามองป้ายชื่อและเรียกชื่อเขาตรงท้ายประโยค
“รอ รอ...” ชายหนุ่มยังงุนงงในการกระทำของอีกฝ่าย หันไปมองดูใบหน้าอันหล่อเหลา ดวงตากลมโตจมูกเป็นสันได้รูป และจ้องมองกลับพร้อมยักคิ้วให้เขาหนึ่งที
“ขอโทษด้วยครับ ผมขออนุญาตพาเพื่อนสนิทของผมไปสัมภาษณ์ก่อนนะครับ” คนแปลกหน้าพูดและโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงถึงความสุภาพ
“...” ร่างบางยังมีสีหน้างุนงงปนสงสัยอย่างมาก
“บอกแล้วไง ว่าถึงแล้วให้โทรหา ดื้อจริงๆเลย” ชายหนุ่มแสดงท่าทีสนิทสนมกับเพื่อนสนิทด้วยการหยอกล้อ นิ้วชี้เรียวยาวเคาะหน้าผากคนตัวเล็กอย่างเบาหนึ่งที รอยยิ้มขี้เล่นส่งมาให้กับวีและยังแจกไปยังรุ่นพี่กลุ่มดังกล่าวด้วย “ไปก่อนนะครับพี่”
คนแปลกหน้าล็อกคอเขาและลากพาออกด้วยแรงพอสมควรด้วยรูปร่างของเขาแล้วจึงปลิวออกมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหู “ผมก็เรียนยานยนต์เหมือนกันครับไปด้วยกันก่อนจะโดนไปรุ่นพี่ตามจีบเอา” ด้วยความกายแนบชิด เขาได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ จากร่างโปร่งจนแอบเผลอสูดดม สัมผัสถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่แรงขึ้น
“...” เขาได้แต่พยักหน้าตอบรับ
หลังจากเดินเลี่ยงออกมาไกล ชายหนุ่มแปลกหน้าเอาแขนจากการพาดคอเขาออก
“ขอโทษด้วยนะที่ต้องทำแบบนี้ เห็นยืนโดนรุมจีบอยู่ตั้งนาน ลืมแนะนำตัว เราชื่อไนน์ กำลังจะไปสัมภาษณ์ที่เดียวกัน” ชายหนุ่มรูปร่างสูงผอมบาง มองหน้าเขาพร้อมกล่าวคำขอโทษส่งรอยยิ้มแสนหวานและสดใสอย่างมากตอบกลับมา
“ระ เราชื่อวี วีรภัทร์ สันติภิภักดิ์ จะมาสัมภาษณ์คณะวิศวะ ภาควิชายานยนต์” เขาตอบไปแบบตะกุตะกักพร้อมกับใบหน้าร้อนผ่าว มือไม้ที่มีเพียงแค่สองข้างมันดูเกะกะไปหมดเขาเองไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ตรงไหนดีทั้งที่มันก็อยู่แบบนี้มาตั้งนานนมแล้ว
“เฮ้ย...แนะนำตัวสะละเอียดเลย งั้นวีคือเพื่อนคนแรกเลยนะ” เสียงร้องทักอย่างตกใจพร้อมกับคิ้วเลิกขึ้น ไนน์อดยิ้มด้วยท่าทีเหมือนกระต่ายตื่นตกใจทำอะไรไม่ถูก พร้อมส่ายหน้าไปมา
“อืม...ไนน์ก็เป็นเพื่อนคนแรกของเราเหมือนกัน” เขาตอบรับด้วยเสียงอู้อี้ ก่อนจะเงยหน้าช้อนสายตาขึ้นมาสบตากับคนพูด ใจที่เต้นตึกตักอย่างแรง จนกลัวอีกคนจะได้ยินเสียงหัวใจด้วยว่าเขาทั้งสองยืนห่างกันไม่มาก
“ปะ เดี๋ยวจะสาย” ด้วยความมันเขี้ยวปนเอ็นดูกับท่าทางเหมือนเจ้ากระต่ายขนฟู ไนน์ทำสิ่งที่ทำให้ใจของวีเต้นแรงเข้าไปอีกด้วยเอื้อมมือมาขยี้ผมบนหัวเขา
“อืม” เขาต้องเม้มปากกลั้นยิ้มจนแก้มแทบจะระเบิด ยกมือขึ้นมาลูบหัวเขาสัมผัสสิ่งที่อีกคนทิ้งค้างเอาไว้
ขาที่ยาวกว่าเดินออกไปทางด้านหน้ามุ่งตรงไปยังจุดหมาย ชายหนุ่มร่างบางเริ่มขยับตัวกระชับกระเป๋าเป้สะพายอยู่ด้านหลังและออกแรงวิ่งอีกนิดหน่อยให้เดินทันและเคียงข้างกัน ส่วนอีกคนรู้ว่าเพื่อนใหม่วิ่งตามมาเขาลดขนาดก้าวให้สั้นลง เขาเอียงหน้าไปมองอีกคนและคนนั้นตอบกลับมาด้วยยิ้มบาง นี่หรือเปล่านะกับการที่เรียกว่า ตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ
เขาทั้งสองเดินเข้ามาในตึกก็มีนักเรียนนั่งจับกลุ่มอยู่มากมาย เขาเดินตรงไปยังกลุ่มรุ่นปีสองกำลังทำหน้าที่ต้อนรับอยู่ตรงทางเดินก่อนเข้าไปนั่งรอสัมภาษณ์ ส่วนด้านนอกมีบุคคลสูงวัยเป็นผู้กลุ่มปกครอง ไนน์และวีเดินไปพื้นที่รับลงทะเบียน
“ชื่ออะไรคะ”
“ทวิชากานต์ นันทพิวัฒน์ครับ”
“ชื่อเล่นน้องไนน์ใช่ไหมคะ นี่ป้ายชื่อค่ะใส่ไว้เลยนะคะ” ร่างโปร่งรับป้ายชื่อและลงบรรจงสวมใส่ลงในคอ เขาก้าวถอยหลังไปยืนด้านข้าง ก่อนที่จะมีรุ่นพี่เดินเข้าไปพูดคุย
“ชื่ออะไรคะ น้องคะ”
“คะ ครับ ชื่อวีรภัทร์ สันติภิภักดิ์ครับ” เสียงเรียกพร้อมกับแรงสะกิดดึงสติของคนตัวเล็กร่างบางให้กลับมาจดจ่อตรงหน้า เขามองด้วยปลายหางตาว่า แค่เวลาเพียงไม่นานก็รุ่นพี่สาวสวยเดินเข้ามาคุยกับเพื่อนเขาและจากไปด้วยสีหน้าผิดหวังปนเสียดาย
“ป้ายชื่อค่ะน้องวี ของต้อนรับเข้าสู่วิศกรรมยานยนต์นะคะ”
“ขอบคุณครับ” เขายิ้มหวานและกล่าวขอบคุณรุ่นพี่ พร้อมกับหยิบป้ายมาคล้องคอ
ไนน์ยืนห่างออกไปพยักหน้าเรียกให้เขาเดินไปหา นี่คือรอเขาอยู่เหรอ อิ่มเอมใจจังเลย เขาพยักหน้าและส่งยิ้มกลับไป ขาเรียวเล็กขยับก้าวไปประชิด วีรับรู้ถึงสัมผัสแผ่วเบาจากมืออันเรียวยาวแตะลงบนบ่าพร้อมกับพาเดินไปยังด้านใน
“ไนน์เมื่อกี้พี่เขามาคุยอะไรเหรอ?” ความอยากรู้จนข่มไว้ในใจไม่ได้ เขาจึงเอ่ยถามไปถึงแม้จะรู้สึกละลาบละล้วงเกินไป “อุ๋ย! วีขอโทษที่เสียมารยาทถาม”
“หื้ม...” เสียงร้องในลำคอตามเสียงหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มหรี่ตามองเขาอย่างสงสัย มือย้ายจากบ่ามาวางบนหัว “ไม่มีไรแค่มาชวนไปประกวดเดือนคณะ”
“แล้ว?”
“ไม่ง่ะ ไม่ชอบ” ไนน์หรี่ตาโน้มตัวลงจ้องมองมายังคนร่างบางตัวเล็กอีกครั้ง ดวงตากลมโตคล้ายกับจับผิดในสิ่งที่เขาถาม
“วีขอโทษที่อยากรู้เกินไปนะ” เขาตอบไปเสียงอันเบาบาง
“เด็กน้อยจริงๆ” ไนน์เลิกคิ้วมองด้วยความเอ็นดู
“น้องสองคนนั้นหยุดจีบกันได้แล้ว มานั่งรวมกับเพื่อน เพื่อนรออยู่ครับ”
เสียงตะโกนแซวของรุ่นพี่เรียกให้ทุกคนหันไปมองพร้อมสายตาจับจ้องพวกเขาสองคนที่หยุดยืนคุยกัน ร่างโปร่งไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนในสิ่งนั้น เขาไหวไหล่และเดินตรงไปยังคนพูด ส่วนคนตัวเล็กร่างบางที่โดนมอง ใบหน้าเริ่มเห่อแดงและร้อนผ่าวอย่างแรง เดินก้มหน้าหลบเลี่ยงสายตา
“น้องไนน์กับน้องวีนะครับ นั่งตรงนั้นเลย น้องวีนั่งข้างหน้าครับ” รุ่นพี่คนดังกล่าวผายมือไปยังตรงที่ว่าง พวกเขาเดินลงนั่ง ใบหน้าอันเรียบเฉยของไนน์
“พวกนายสองคนเป็นแฟนกันเหรอ? หรือว่าอยู่ระหว่างจีบกันอยู่” รอยยิ้มกระลิ้มกระลี่แพรวพร่าว “ลืมแนะนำตัวเราคิว”
“เราไนน์ ส่วนนี่วีเราสองไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น เพิ่งจะรู้จักกันเอง” น้ำเสียงที่ตอบช่างเรียบง่าย
“ใช่ๆ ไนน์ช่วยเราไว้จากรุ่นพี่ง่ะ”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีน้ำเงิน ใบหน้าสวยแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางพอประมาณหันมามองพวกเขาและโบกมือทักทายเรียกความสนใจ “ไฮ เราจัสมินนะ แล้วไนน์ช่วยจากรุ่นพี่ทำไมเหรอ แต่ว่าน่ารักแบบนี้คงโดนตามจีบมาใช่ไหมล่ะ” หญิงสาวถามด้วยท่าทางมั่นใจในตัวเอง
“อืม...” ชายหนุ่มขานรับและพยักหน้าตอบ
“เราเจโอนะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” ชายหนุ่มมาดนิ่งนั่งข้างไนน์ ฟังบทสนทนาและหันมาทักทายในกลุ่มการพูดคุยด้วยเช่นกัน
หญิงสาวนั่งคั่นกลางระหว่างคิวกับเจโอถอดแอร์พอตออกจากหู ไหวไหล่หันมาแนะนำตัวเองบ้าง เพราะอยู่ท่ามกลางอย่างเลี่ยงไม่ได้ “เราเมเปิ้ลนะ”
“ถ้าไม่ใช่แฟน งั้นเราขอจีบได้ไหมวี” น้ำเสียงหยอกล้อจากคิวชายหนุ่มท่าทางเจ้าชู้
“...” เขาไม่รู้จะตอบกลับออกไปยังไง ทำเพียงยกยิ้มแหย่ ๆ
“แหม่...ยังไม่ทันไรออกลายเลยนะคะ น้องวีขา...ดูยังก็เจ้าชู้ไม่ต้องให้มันจีบนะ” จัสมินเริ่มออกอาการหวงขึ้นมาทันที “ทำไม กูสถาปนาตัวเองเป็นมัมหมีของน้องวีแล้ว” น้ำเสียงยียวนส่งไปยังคิวพร้อมเบะปากใส่ มือเล็กๆ เอื้อมมาบีบแก้มเขาสองข้าง “บอกมันไปเลยลูก”
“เราไม่ได้คิดกับคิวแบบนั้น เราอยากเป็นเพื่อนมากกว่า” คนตัวเล็กร่างบางตอบกลับไป ก่อนจะขยับตัวเอียงอายหันไปมองคนด้านหลังแบบไม่ให้โดนจับได้ว่าแอบเมียงมอง
“ว้าย...อดจร้า” เสียงแวดดังจากหญิงสาวอีกคน
“หรือเมเปิ้ลสนเค้าเหรอจ๊ะ” คิวยังมิวายหันไปตอบโต้หญิงสาวอีกคนที่แซวเขา
“ไม่ค่ะ ไม่นิยมเอาเพื่อนทำผัว” น้ำเสียงมั่นใจและพูดราวกับว่าคิวคือสิ่งที่น่าขยะแขยง
“...” ไนน์และเจโอที่ไม่มีบทสนทนาในครั้งนี้ พอฟังถึงกับยกนิ้วโป้งให้สองมือเลย
“เออ กูแซวเล่นว่ะ ไม่เอาเหมือนกัน คนที่รู้สันดานกันกูหาทางหนีทีไล่ไม่ไหววะ” น้ำเสียงปรับให้เป็นปกติไม่มีเสียงกระริมกระเรี่ยแบบก่อนหน้านี้ “เออแต่ว่าพูดคำหยาบได้ใช่ไหม”
เจโอนิ่งเงียบมาตั้งนาน เปิดปากพูดขึ้นมา “ไม่ทันแล้วมั่งมึง”
วียกมือขึ้นขออนุญาตแทรกกลางระหว่างการพูดคุย จัสมินที่ช่างเอ็นดูเอ่ยถาม “น้องวีว่าไงคะลูก”
“เราโอเคนะ แต่เราพูดไม่เป็นนะ”
จัสมินละเมเปิ้ลยกมือขึ้นทาบอกพร้อมกับใบหน้าปลื้มปริ่ม “เอ็นดู...” สองสาวพูดพร้อมกันยกยิ้มและมองหน้ากันก่อนจะตีมือเข้าด้วยกัน
“ว่าไงไนน์” เจโอถาม
“กูยังไงก็ได้ เอ่อ... แต่ว่าเสร็จนี้ไปกินข้าวกันไหม จะได้สนิทกัน พอดีกว่ากูไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่เลย” ไนน์ดูลังเลกับการชวนเพื่อนคนอื่นๆไปกินข้าวด้วย เพราะตัวเขาเองก็อยากมีเพื่อนสนิทบ้าง
ทุกคนที่เหลือตอบรับและพยักหน้าเห็นด้วยในความคิดนี้
ผ่านไปครบสองชั่วโมงแห่งการพูดคุยกับอาจารย์ประจำภาควิชา พวกเขาตกลงว่าจะไปหาอะไรกินกันที่โรงอาหารกลางของคณะ ถือว่าเป็นการสำรวจพื้นที่ไปในตัวด้วย กลุ่มของพวกเขาที่รวมตัวเรียกว่าโดดเด่นอย่างมาก เมื่อสามหนุ่มหล่อมารวมตัวกันแถมยังมีหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักและสองสาวที่สวยเปรี้ยวและสวยเท่ห์
“ไนน์! คนเก่งครับหนึ่งมารับแล้ว...” เสียงร้องตะโกนเรียกชื่อชายหนุ่มดังกล่าวมาจากทางด้านหลัง พวกเขาทั้งหกหยุดชะงัด ไม่ใช่แค่พวกเขารวมถึงคนบริเวณแถวนั้นพร้อมใจกันหันไปดู
“...”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างจากการออกกำลังกาย หุ่นเหมือนนายแบบสวมแว่นกันแดดสีดำ ยืนพิงรถสปอร์ตคันหรูสีน้ำเงินที่มีเพียงแค่หยิบมือในโลกใบนี้ สนราคาในหลักหลายร้อยล้านเหมือนกัน ท่วงท่าการเดินตรงมายังกลุ่มพวกเขาราวกับไอดอลเกาหลีมาเดินแบบ
ไนน์เอียงตัวบิดไปมองคนมาใหม่ เขาถอนหายใจอย่างหงุดหงิด กวาดมองไปรอบๆ วีที่ลอบสังเกตเพื่อนคนนี้ด้วยใบหน้าใคร่สงสัย เอาแค่ขบคิดว่าคนมาใหม่คือใครและมีความสำคัญอย่างไร ทำไมการเรียกถึงมีคำแทนกันด้วย จนเผลอขมวดคิ้วและจดจ้องไปยังชายหนุ่มอีกคน
“คิดถึงคนเก่งของหนึ่งที่สุด ขอกอดหน่อยได้ไหมครับ” ร่างสูงเดินเข้ามาตรงหน้ากางแขนออกพร้อมกับจะโผล่เข้ามากอดคนตรงหน้าได้ทันที สีหน้าและแววตาที่ตอบกลับไปทำให้ชายหนุ่มชักมือกลับไปทันควัน
“...!!??” คนที่เหลือในกลุ่มหันมองกลับไปมาระหว่างเพื่อนใหม่ของพวกเขากับชายหนุ่มอีกคน คิวไหวไหล่แบบไม่ใส่ใจ เจโอเหลือบตามองและหันไปดูทางอื่น จัสมินกับเมเปิ้ลจ้องมองด้วยใบหน้าสดใสเพราะมองคนหล่อแค่นั้น
“...” มีเพียงแค่คนตัวเล็กเผลอขมวดคิ้วด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“มาเพื่อ?” น้ำเสียงสั้นๆ แต่ได้ใจความเน้น
“นี่เพื่อนไนน์เหรอครับ แนะนำให้รู้จักหน่อยสิ” น้ำเสียงกระตือรือร้นอย่างชัดเจนจากคนตรงหน้า ไม่สนใจคำถามและไม่สะทกสะท้านกับสีหน้าไม่พอใจจากคนน้อง
ไนน์กลอกตาขึ้นมองแดดที่ร้อนในเมืองไทย จำใจแนะนำเพื่อนเขารายตัว “นี่จัสมิน เมเปิ้ล คิว เจโอและวี ส่วนนี่หนึ่งพี่...”
“คนรักของไนน์ครับ”
หนึ่งพูดแทรกว่า คนรัก ไม่รอให้น้องชายสุดที่รักแนะนำในฐานะพี่ชาย เพื่อให้สังเกตอากัปกิริยาของเพื่อนของเพื่อนในกลุ่มของน้องชาย เขาเพิ่งสังเกตเห็นคนตัวเล็กที่ดูตัวแล้วน่าจะเป็นเพียงเด็กมอปลายยืนหลบอยู่หลังน้องชายเขา และถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อวีนะ แก้มขาวกลายเป็นสีแดงอ่อนจากความร้อน มีสีหน้าผิดหวังแอบเบะปากไม่พอใจ มันช่างน่าเอ็นดู สายตาที่ช้อนขึ้นมามองเขาราวกับคาดโทษเอาไว้ในใจ เห็นแล้วมันเขี้ยวน่าจับมาฟัดนัก ยิ่งมองยิ่งดูเหมือนกระต่ายตัวน้อยก้อนกลมสีขาวพองขนขู่เขา
เขาเอาแต่ลอบมองคนจนลืมจุดประสงค์ในวันนี้ ว่าจะจับผิดคนที่จ้องจะจีบน้องชายเขาสิ หรือว่าเด็กน้อยคนนี้ถูกใจน้องชายตัวน้อยที่รักของเขาแล้ว แต่ใจเขากลับเต้นแรงไปด้วย ไม่ได้เต้นแรงด้วยความโกรธที่มีคนมายุ่มย่ามกับน้องชาย แต่ เต้นแรงเพราะความน่ารักของคนตัวเล็กร่างบาง
To becontinued...
Comments (0)