3 ตอน บทที่ 3 เพื่อนบ้านตัวร้าย
โดย T.mines
บทที่ 3
เพื่อนบ้านตัวร้าย
(ดอกคาเนชั่น ยินดีที่ได้พบคุณ)
เช้าวันหยุดแรกของสัปดาห์ ชายหนุ่มนักธุรกิจเจ้าของไร่ดอกไม้ส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศ หลังจากตื่นเขาได้ยินเสียงลากและย้ายข้าวของอันดังมาจากห้องตรงข้าม เขาลุกขึ้นบิดตัวเสยผมที่จัดไม่เป็นทรง จากนั้นเดินเข้าไปจัดการอาบน้ำและเตรียมตัวทำบางอย่างต้อนรับเพื่อนบ้านคนใหม่ในวันนี้
ชายหนุ่มสวมเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม และกางเกงขาสามส่วน และหยิบผ้ากันเปื้อนสีดำสีขาวลายทางมาสวมทับ เดินไปยังส่วนห้องครัวอันเล็กกะทัดรัดสำหรับเจ้าคอนโดสองชั้นพื้นที่ 200 ตารางเมตร ห้องนี้เท่าแมวดิ้นตาย ตู้เย็นสองประตูขนาด 15 คิวอัดแน่นไปด้วยของสด เขาหยิบกะทิออกมาหนึ่งกล่อง และเปิดชั้นด้านบนหยิบผงวุ้น น้ำตาลทราย เกลือและสิ่งสุดท้ายคือแม่พิมพ์มาจัดเตรียม จัดการตวงส่วนผสมตามสัดส่วนที่ต้องการ น้ำเปล่าและกะทิอย่างล่ะ 250 ml. น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ ผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ
เทน้ำและตักผงวุ้นลงไปคนให้ละลายและตั้งทิ้งไว้ให้อิ่มตัว ยกขึ้นตั้งไฟและเติมน้ำตาลทราย และเพิ่มเกลือลงไปอีกหยิบมือ คนจนส่วนผสมละลายจนหมด จากนั้นเติมกะทิลงไป เคี้ยวให้เข้ากันจนเดือดอีกเล็กน้อย แบ่งออกมาเล็กน้อยหยดสีผสมอาหารสีแดงลงไปหนึ่งหยด เทใส่ขวดสำหรับบีบลงในแม่พิมพ์ช่วงปลายกลีบดอกเอาไปแช่ในช่องฟรีซเบื่อให้วุ้นเซตตัวอย่างเร็วและนำที่เป็นกะทิเทใส่จนเต็มพิมพ์ เอาไปแช่ในตู้เย็นที่เหลือรอแค่เซตตัวและแกะออกเท่านั้น
เสร็จแล้วหันมาจัดการอาหารเช้าให้ตัวเองแบบง่าย เปิดเครื่องชงกาแฟใส่แคปซูลลงไป หันไปยัดขนมปังมาปิ้งตระหว่างรอเครื่องชงกาแฟ ชายหนุ่มเดินไปหยิบเครื่องมือสื่อสารทั้งหมดมายังโต๊ะกินข้าว จิบกาแฟ จัดการอาหารจนหมดและเริ่มทำความสะอาดล้างอุปกรณ์ต่างๆ จัดเก็บเข้าที่ รองประธานบริหารหนุ่มหยิบไอแพดมาดูแผนงานไตรมาสหน้าที่มีการผลิตและประเมินการขายดอกไม้รายปี
ลูกค้ารายหลักของเขาคือโรงแรมในเครือศิริกิจวัชรโชติทั้งหมด การซื้อขายแบบอัฐยายกินขนมยาย บ้านของเขาทำธุรกิจส่งออกดอกไม้นานาหลากหลายสายพันธุ์ ด้วยคุณแม่ชื่นชอบดอกไม้และประสบกับทางบ้านทำสวนกล้วยไม้เล็ก แต่พอท่านได้พบรักกับคุณพ่อเท่านั้น จากการปลูกสวนดอกไม้ขนาดเล็ก พ่อเขาจัดการเนรมิตขยายกิจการเอาใจภรรยาจนกลายมาเป็นโรงปลูกดอกไม้นับพันไร่อย่างปัจจุบันนี้
หนึ่งเองไม่ได้จบสาขาที่เกี่ยวกับพืชแต่พ่อส่งเข้าไปเรียนทางด้านบริหาร หลังจากเรียนจบโทมาก็ลงมาทำอย่างเต็มตัว ถึงแม้จะไม่ต่างจากก่อนหน้านี้เท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขามีอำนาจตัดสินใจเองเต็มตัว ยิ่งตอนนี้เขาพยายามผลักดันกล้วยไม้ไทยและดอกไม้พื้นถิ่นให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากขึ้น
วีย้ายออกจากบ้านมาอยู่คนเดียวยังคอนโดใกล้มหาลัยเพียงลำพัง ถึงแม้สามารถเดินทางไปกลับระหว่างบ้านได้แต่เพราะกลัวลูกชายคนเดียวจะเหนื่อยล้า แต่จะให้เข้าไปอยู่หอในกลัวว่าอึดอัดเพราะต้องอยู่รวมกับคนอื่น เพื่อความสบายใจของทั้งพ่อและแม่ เขาจึงยอมให้แม่ซื้อคอนโดตรงนี้ให้ เลือกแค่อยู่ใกล้และการเดินทางสะดวกสบาย
หลังจากช่วยกันยกของขึ้นมาจนหมด คนงานรวมถึงพ่อและแม่เขาช่วยทำความสะอาดห้องและพยายามช่วยจัดของแต่เขากลัวว่าทุกคนจะเหนื่อยเลยให้กลับบ้านไป และบอกเองว่าจะค่อยๆ ทยอยจัดไปไม่รีบเพราะว่ากว่าจะเปิดเทอมตั้งอีกหนึ่งสัปดาห์ เขาเตรียมเปิดกล่องหยิบหนังสือจัดเข้าใจ เป็นอันต้องวางลงกับพื้นก่อน เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เขามุ่นคิ้วระหว่างเดินไปเปิดประตู
ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะซ้ำรอบสอง เจ้าของห้องเปิดประตูออกมา จ้องหน้าคนยืนอยู่ตรงด้านหน้า คนที่เขาไม่คิดว่าจะเจอกลับมาเจอ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับชายหนุ่มเพื่อนสนิทเขา
“สวัสดีครับคุณเพื่อนบ้าน น้อง...วี” หนึ่งแสร้งทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าตามมาด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้มออกมาพร้อมคำทักทาย
“ครับ? สวัสดีครับ?” กว่าเจ้าตัวจะหาคำทักทายตอบกลับก็ผ่านไปเกือบครึ่งนาที
“พี่ทำวุ้นกะทิมาฝากให้เพื่อนบ้าน แต่ดูเหมือนเพื่อนบ้านเราจะพร้อมใจกันไม่อยู่นะครับ เหลือแค่ห้องเราสองห้องเองครับ” แน่นอนแหละก็เจ้าของที่เหลือยืนพูดอยู่ตรงหน้านี่ไง
หนึ่งยื่นกล่องพลาสติกใสสำหรับบรรจุอาหาร ภายในมีวุ้นกะทิรูปทรงดอกคาร์เนชันที่ทำเอาไว้ และเขายังเลือกที่ประดับดอกคาร์เนชั่นดอกเล็กๆ อีกสี่ดอกบนวุ้นด้วย ชายหนุ่มจ้องหน้าคนรับเขาหวังคำชอบว่า สวยจังเลยครับ น่ากินจังเลยครับ
“ขอบคุณครับ” คนรับวุ้นกะทิกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจสำหรับความมีน้ำใจในครั้งนี้
“...” หนึ่งยังไม่ละความพยายามทั้งถลึงตา ทั้งพยักพเยิดหน้าใส่กล่องวุ้นและไม่ยอมปล่อยมือออกมาบานประตู
วีที่เห็นท่าทางก็ร้อง อ๋อในใจ พลางคิดว่าสงสัยเมื่อกี้คงไม่ได้ยินที่เขาขอบคุณ เขาถึงกล่าวย้ำซ้ำด้วยเสียงดังขึ้นมาอีกนิด “ขอบคุณมากๆ ครับ” และออกแรงดันประตูให้ปิดเพื่อเข้าไปจัดข้าวของภายในห้องต่อ
“จะไม่ชวนเข้าไปดื่มน้ำในห้องบ้างเหรอ” เมื่อจนปัญญาการยื้อด้วยท่าทางจึงต้องใช้คำพูดหว่านล้อมต่อ คนร่างสูงต้องอาศัยความหน้าด้านเข้าหาแทน ออกแรงรั้งประตูไม่ให้ปิดลง
“คือห้องผมรกครับ ไว้วันหลังได้ไหมครับ” เสียงตอบแบบขอไปที เพื่อหลีกเลี่ยงการสนทนาต่อ แต่ไม่มีผลต่อคนอย่างหนึ่ง
หนึ่งคือคนที่ไม่ชอบใช้ คำว่า วันหลัง พอเจอเข้ากับตัวเองเขาถึงกับชักสีหน้าไม่พอใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มในฉับพลัน ยื้อยุดฉุดประตูกัน จนคนขนาดตัวโตกว่าอย่างเขาออกแรงกระชากประตูและแทรกตัวเองเข้าไปในห้องจนสำเร็จ
“ผมว่างมาก...เดี๋ยวช่วยจัดครับ” เสียงลากยาวเน้นย้ำเข้าไปอีก
เจ้าห้องมุ่ยหน้าอย่างไม่พอใจ มีใครที่ไหนก็ไม่รู้บุกจู่โจมเข้าห้อง เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างหนัก เขาไม่ได้กลัวว่าเพื่อนบ้านจะเข้ามาทำร้ายหรือทำอันตราย เพราะด้วยท่าทางไม่มีอะไรน่ากลัว และยังเป็นผู้ชายเหมือนกันและอย่างน้อยเขาก็ยังไว้ใจได้อยู่บ้างเพราะคนนี้คือญาติไนน์เพื่อนของเขานั่นเอง
เขาเดินเอาของขวัญต้อนรับเพื่อนบ้านไปแช่ในตู้เย็น ก่อนจะหันมามองแขกไม่ได้เชิญรื้อค้นข้าวของออกจากกล่องอย่างถือวิสาสะราวกับตัวเองเป็นเจ้าของ วีกลอกตามองขึ้นบนอย่างอดทนที่สุด
“คุณกลับห้องไปเถอะ ผมเกรงใจ” น้ำเสียงปรับให้นุ่มนวลผ่านการกัดฟันกรามแทบแตกละเอียด
“ก็บอกแล้วไงว่าว่าง ผมยินดีช่วยไม่ต้องเกรงใจเลยเพื่อนบ้านกัน ว่าแต่จะเอาหนังสือพวกนี้ไว้ตรงไหนครับ” แขกผู้ไม่รับเชิญเปิดกล่องหยิบหนังสือออกมาจากกล่อง กันไปถามเจ้าของทันทีอย่างกระวีกระวาดพร้อมออกแรงแข็งขัน
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว เจ้าของห้องเลยยอมปล่อยเลยตามเลยดีกว่ามานั่งเถียงให้เสียเวลา มีแรงงานมาช่วยเพิ่มอีกคนจะได้ไม่ต้องเหนื่อย นิ้วมือเล็กๆ ชี้ไปยังชั้นที่ตั้งอยู่ข้างทีวี “วางไว้ตรงชั้นนั้นครับ”
“ทั้งหมดนี่เลยไหมครับน้องวี”
“ครับหมดนั่นเลย”
เขาทั้งสองช่วยกันจัดห้องไปเรื่อย ๆ คนพี่หันมาถามเจ้าของห้องตลอดว่าของเอาว่าไว้ส่วนไหนบ้าง จัดไว้ตรงไหน
เสียงเปิดกระเป๋าเดินทางอย่างเบามือ หนึ่งมองไปทางเจ้าของที่ไม่สนใจเสียงดังกล่าว เขาเปิดออกพร้อมกับหยิบเสื้อผ้าส่วนของสงวนขึ้นมา กางเกงบ็อกเซอร์ลายเป็นน้อยสีเหลืองขอบเอวย้วย
“วีครับ เสื้อผ้านี่ให้พี่เอาไว้ในตู้ให้เลยไหมครับ” พร้อมกับหยิบขึ้นมาโบกโชว์กับเจ้าตัว
“พี่!! เก็บลงไปเลยนะ” เสียงร้องตะโกนโวยวายใส่คนไร้มารยาทรื้อข้าวของส่วนตัวแบบนี้
หนึ่งรู้ว่าเด็กตัวน้อยต้องเข้าแย่งแน่นอน ดูจากขนาดตัวแล้วน้อยมีท่าทีจะแย่งไปได้แต่โดยดี เขาคิดว่าแค่ยกขึ้นไปเหนือหัวน้องก็แค่กระโดดแย่ง แต่ถ้าดันมือไปทางหลัง น้องต้องเข้ามาโอบอย่างแน่นอน
เจ้าจอมร้ายกาจรีบลุกขึ้นอย่างเร็ว ย้ายมือที่ถือกางเกงอันบอบบางของน้องวีไปไว้ทางด้านหลังตัวเอง วีเองไม่ทันระวังตัวและไม่เฉลียวใจว่าโดนหลอกให้แต๊ะอั๋ง คนตัวเล็กเพียงแค่คิดว่าต้องการแย่งของคืนมาเท่านั้น เข้าโอบร่างสูงใหญ่กว่าทันทีแรงปะทะเบาร่างกับปุยเมฆ
“เอาคืนมานะ!” เสียงบ่งบอกอย่างไม่พอใจ และสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ในการกลั่นแกล้ง
คนที่กำลังสนุกกับแกล้งคนอื่น พอได้ยินน้ำเสียงของน้อง ใจของคนพี่อ่อนยวบลงไปทันที เขาไม่รู้ตัวว่าเล่นแรงเกินไป ตัวแข็งทื่อปล่อยให้คนตัวเล็กแย่งไป ก่อนที่เจ้าตัวจะผละตัวออก หนึ่งรวบโอบเอวเอาหน้าซุกแผ่นหลังเล็ก “วีพี่ขอโทษนะ พี่เล่นแรงไปครับ” น้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างมาก
“ปล่อยวีครับ” เสียงอันเรียบนิ่งจนคนโอบเอวต้องปล่อยออกมาทัน และคนไม่พอใจหมุนตัวเดินเข้าไปยังห้องและปิดประตู
หนึ่งลนลานกลัวคนน้องจะโกรธ ยิ่งมีภาพลักษณ์ไม่ได้ดูดีเท่าไหร่ วันนี้ตั้งใจจะมาสร้างภาพพี่ชายที่แสนดี แต่พอมาถึงก็ไม่สนใจเลย เผลอแกล้งไปจนได้
ก๊อกๆ ๆ
“น้องวีครับ พี่ขอโทษ” มือหนาเคาะประตูพร้อมกับพร่ำบอกขอโทษ
“...”
“พี่ขอโทษจริง พี่จะไม่แกล้งวีอีกแล้ว ยกโทษให้พี่นะครับ” น้ำเสียงอ่อยๆ ออดอ้อนคนด้านใน
“ไม่ครับ คุณกลับไปเลย” น้ำเสียงจริงจังดังออกมาจากด้านใน
“น้องวีครับ...พี่ขอโทษ” หนึ่งพยายามคิดหาวิธีง้อคนด้านใน คงมีวิธีเดียวนี้แหละน่าจะได้ผล “นี่เริ่มเย็นมากแล้ว เดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าวไถ่โทษ พร้อมกับเล่าเรื่องของไนน์ให้ฟังเอาไหม” หนึ่งเงี่ยหูแนบกับประตูรอฟังผล
“...”
วีหยุดชะงักเมื่อได้ยินชื่อของไนน์ เขาไม่พอใจอย่างมาก ตั้งใจว่าจะฝังตัวอยู่ในห้องจนกว่าอีกคนจะถอดใจหนีกลับห้องตัวเอง และในตอนนี้กำลังมีวีตัวน้อยสวมปีกสองตัวบินมาเกาะบนไหล่ซ้ายและไหล่ขวา
ตัวบนไหล่ซ้าย : โอกาสมาถึงแล้วนะ ถ้าพลาดที่รู้เรื่องคนที่เราชอบก็ไม่รู้ว่าจะมีอีกเมื่อไหร่
ตัวบนไหล่ขวา : จะไปถามเอง กล้าถามด้วยเหรอ?
ตัวบนไหล่ซ้าย : เขาออกปากว่าจะเล่าแล้ว เราไม่ได้เสนอสักหน่อย
ตัวบนไหล่ขวา : รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งนะ บางทีอาจจะเอาชนะใจได้ด้วยนะ
วีเอียงฟังทั้งด้านซ้ายและขวา เขาโบกมือไล่ความเจ้าวีตัวน้อยทั้งสองฝั่ง “เดี๋ยวนะปกติต้องเป็นฝ่ายขาวและดำขัดแย้งกัน แต่ทำไมชักนำไปทางเดียวกันได้เนี่ย”
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูเรียกสติกลับมา
“น้องวีครับ พี่จะรออยู่หน้าห้องจนกว่าวีจะให้อภัยพี่นะครับ” เสียงอ่อนร้องขออย่างสำนึกผิด
หนึ่งเอาหูแนบประตูได้ยินเสียงเดินเข้ามายังหน้าประตูตามด้วยเสียงถอนหายใจ “ก็ได้ครับ” สำหรับคนตัวเล็กแล้วเรื่องนี้เขาไม่โกรธแต่เขาอายมากกว่า ถ้าเอาไปเล่าให้เพื่อนเขาฟังภาพลักษณ์จะเสียหายขนาดไหน “แต่คุณห้ามเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คนอื่นฟังนะ โดยเฉพาะไนน์” เขาถามก่อนเปิดและรอฟังคำตอบอยู่หลังประตู
“ครับ พี่รับปาก” เสียงที่ดูขึงขังขึ้นมาทันที
มุมปากคนเจ้าเล่ห์ยกขึ้น ก่อนจะลดลงให้อยู่ในระดับปกติ แสร้งทำให้เศร้าให้ดูน่าสงสาร ถอยออกจากประตูรอให้เจ้าของห้องเปิดออกมาเอง
“รับปากแล้วนะ แล้วทำอย่างที่พูดด้วยนะครับ”
“เรื่องที่รับปาก รวมถึงก่อนหน้านี้ด้วยไหมครับ ที่จะให้เลี้ยงข้าวรวมถึงเล่าเรื่องของ...ไนน์ให้ฟังด้วย” หนึ่งถามพร้อมกับโน้มตัวจ้องใบหน้าเล็กโพล่งออกจากประตูและหรี่ตามองอย่างสงสัย
“ทะ ทั้งหมดแหละครับ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ตะ ต้องรักษาคำพูด”
ถึงจะพยายามแก้ตัวยังก็มองออกว่าสนใจในตัวเพื่อนของเจ้าตัว แต่ว่าน้องวีดูล่ก ในสายตาเขาแล้วยังน่ารัก แต่ถึงแม้จะตงิดใจเล็กน้อยอีกคนอยากรู้เรื่องคนเก่งของเขามากกว่าตัวเขาเอง
หนึ่งยิ้มกว้างพร้อมกับแววตาที่อ่อนโยน “ครับ แต่ว่าจะเก็บของให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปกินหรือว่า ไปกินข้าวก่อนแล้วมาทำกันต่อ”
คนตัวเล็กร่างบางกวาดสายตาไปมองข้าวของเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ใจจริงเขาอยากรู้ใจจะขาดแต่จะแสดงออกมาไม่ได้กลัวจะโดนจับพิรุธว่าแอบชอบอยู่
“เก็บให้เสร็จก่อนได้ไหมอ่ะ ทนหิวอีกนิดก็ได้” เจ้าคนตัวเล็กเผลอช้อนตาอ้อนไปยังคนตรงหน้า
“ครับ งั้นน้องวีไปจัดเสื้อผ้าเข้าตู้แล้วกัน ส่วนที่เหลือพี่จัดการให้” หนึ่งรีบดึงสติตัวเองโดยการตั้งตัวตรง พร้อมกับออกคำสั่งให้เจ้าตัวไปเสื้อผ้า และเขาเองมาจัดการของด้านนอก ขืนอยู่ด้วย....
หนึ่งอาสาพาวีออกไปทานข้าวยังร้านอาหารแถวที่พัก เป็นร้านทั่วไปเพราะว่าเขาไม่อยากเป็นจุดสนใจมากนักหากไปร้านดัง และด้วยพวกเขามาช่วงเย็นและยังไม่ถึงเวลาเลิกงานรถจึงไม่ติดมากและมาถึงร้านโดยเร็ว
“น้องวีจะทานอะไรสั่งเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” ร่างบางเปิดเมนูอ่านไปสักพักปิดลง ด้วยความที่เขาเป็นเด็กและส่วนใหญ่เวลาไปไหนแม่เขาเองจะเป็นคนจัดแจงให้ทุกอย่าง
“พี่หนึ่งสั่งให้ได้ไหม วีไม่รู้จะสั่งอะไร”
“ได้ครับ แล้ววีแพ้อะไรไหมครับ กินเผ็ดได้ขนาดไหนครับ” หนึ่งเงยหน้ามาถามหลังกวาดตาอ่านเมนูพร้อมกับรอยยิ้ม
“ไม่แพ้อะไรครับ ทานเผ็ดได้บ้าง” เขาตอบกลับ
“ขอผัดผัก ไข่เจียวปู ต้มยำกุ้งน้ำข้นใส่แค่พริกเผามาแค่อย่างเดียวก่อน พริกสดยังไม่ต้องใส่ผมขอแยกใส่ถ้วยมาครับ เอาปลากะพงสามรสไม่ต้องเผ็ดมากนะครับ ข้าวเปล่าด้วยสองจาน แค่นี้ก่อนครับ” ชายหนุ่มสั่งอาหารเสร็จ
ไม่นานอาหารทุกอย่างพร้อมเสิร์ฟตรงหน้า กลิ่นอันหอมเย้ายวนใจอย่างมาก หนึ่งนั่งมองดูคนตรงหน้ายื่นจมูกสูดกลิ่น ยิ่งทำให้เอ็นดูเข้าไปอีก เขาหยิบช้อนมาส่งให้คนหิว พร้อมกับตักไข่เจียวไปวางบนจานก่อนอย่างแรก และตามด้วยผัดผักเป็นอย่างที่สอง ส่วนต้มยำเขาตักน้ำใส่ถ้วยเพียงเล็กน้อย
“วีชิมน้ำต้มยำให้พี่หน่อยสิครับ ว่าเผ็ดขนาดนี้พอกินได้ไหม” หนึ่งยื่นถ้วยแบ่งให้แก่คนตัวเล็ก
“พอได้ครับ ใส่พริกอีกนิดก็ได้วีว่ายังไม่เผ็ดเลย”
พริกสดสีแดงโขกหยาบแบ่งใส่ลงไปถ้วยต้มยำแค่หนึ่งส่วนสี่ หนึ่งลองชิมดูก่อนและยื่นมือขอถ้วยแบ่งคืนจากคนตรงหน้า ร่างสูงเทน้ำต้มยำที่วีกินเหลือเมื่อกี้ลงในชามตัวเอง เจ้าตัวน้อยเห็นเหตุการณ์ได้อ้าปากร้องทัก
“คุณ น้ำต้มยำเมื่อกี้อ่ะ” นิ้วเล็กชี้ไปยังชามของหนึ่ง
“ไม่เป็นไร ถ้าตักใส่เลยเดี๋ยววีจะไม่รู้ว่าระดับความเผ็ดครับที่แท้จริง” วีมองดูหนึ่งราวกับว่าสิ่งพูดและทำเป็นเรื่องปกติทั่วไป ราวกับว่าทำแบบนี้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว
“โอเคครับ อร่อยแล้วครับ ทานแล้วนะครับ” วียิ้มตาหยีตอบกลับมา
หนึ่งตักกับข้าวเอาไปใส่จานของวีให้ตลอด ปลาสามรสเขาตักมาแกะก้างออกแล้วย้ายไปไว้ในจานน้อง เจ้าคนเล็กเอาแต่กินข้าวเคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มปล่อง ส่งอะไรไปให้กินหมดเรียบ
วีกินข้าวใกล้จุดอิ่มตัวแล้ว ยังไม่ลืมจุดประสงค์การมานั่งร่วมโต๊ะในครั้งนี้ เอ่ยปากเกิ่นขึ้นมา
“ที่บอกว่าจะเล่าเรื่อง เกี่ยวกับเพื่อนของผม จะเล่าตอนไหนเหรอครับ” วีช้อนสายตาขึ้นมามองจากจานข้าว ถามด้วยเสียงเกร็งๆ
“ครับ แต่ก่อนอื่นพี่ขอถามเราหน่อย วีจะจีบไนน์เหรอ?” เขาถามอย่างจริงจังไม่มีแววล้อเล่น
“ใคร จะ จีบ ไม่ ไม่มี แค่ แค่อยากรู้เฉย ๆ” ท่าทีและน้ำเสียงลนลานตอบมาอย่างไม่ต้องสงสัย เสียงสูงที่เน้นประโยคยิ่งย้ำเข้าไปอีก
“ครับ ไม่จีบ ก็ไม่จีบแค่อยากรู้เฉย ๆ” เขากลั้วยิ้ม ตามด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่แบบไม่จริงจัง
“ไนน์เป็นคนขี้รำคาญง่ายมาก ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับชีวิต ไม่ชอบให้ใครเข้าหาถ้าสนใจใครเข้าหาเองประมาณนั้นแหละ”
“แค่เนี่ย ไอ้เราก็คิดว่าจะรู้เยอะกว่านี้” วีถามด้วยท่าทีเซ็งๆ พร้อมกับไหวไหล่และเบะปากตาม
หนึ่งจ้องมองปากเล็กที่เบะใส่ มันน่าดีดนักนะ “แล้วอยากรู้อะไรอีกล่ะครับ คนที่โตมากับไนน์อย่างพี่รู้ทุกเรื่อง” ทุ้มเสียงเจ้าเล่ห์ถามกลับ
“...” วีเม้มปากขบคิดเรื่องที่จะถามแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะถามอันไหนก่อน เขาอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคนคนนี้ไปทุกอย่าง
หนึ่งพยายามเรียกความสนใจไปยังตัวเอง ก่อนจะยิ้มมุมปากและขยับเล่าเรื่องราวของน้องชายตัวเองให้ฟัง
“ไนน์ตอนเด็กๆน่ะน่ารักมากนะ เป็นที่รักของทั้งบ้านโตมาก็ยังเป็นอยู่ ยิ่งเวลายิ้มนะโลกมันช่างสดใสที่สุด ปู่มักจะเรียกว่ารอยยิ้มของบ้าน สิ่งที่ชอบที่สุดตั้งแต่เด็กน่าจะเป็นพวกโมเดลรถต่างๆ พี่จำได้วันเกิดตอนประมาณสักหกเจ็ดขวบนั่นแหละ พี่ให้พ่อไปซื้อมาเป็นของขวัญวันเกิด ไนน์ดีใจจนกระโดดหอมแก้มพี่ หลังจากนั้นไอ้พวกที่เหลือมันก็หาของขวัญมาเลียนแบบ แย่งความสนใจไนน์ไปจากพี่หมดเลย ยิ่งพูดยิ่งแค้น” หนึ่งที่เล่าไปอมยิ้มไปด้วย แค่นึกถึงวันวานของน้องชายเขาเองก็อดที่จะยิ้มไปด้วย และเขาพูดต่อด้วยอีก “ถ้าว่างพี่จะเอารูปตอนเด็กมาให้ดู เหมือนจะมีเก็บไว้ที่ห้องพี่”
“มีเหรอ วีอยากดู” วีตาลุกวาวและท่าทีสนใจน้องชายมากเป็นพิเศษ มองดูจากที่ไหน ก็รู้ว่าเจ้าตัวสนใจและแอบชอบไนน์แน่นอน
“อืม ว่างๆ แวะไปเล่นที่ห้องพี่ได้ตลอดเลยนะ”
ในที่สุดมื้อเย็นสิ้นสุดลง หนึ่งขับรถพาน้องวีกลับมายังคอนโดของพวกเขา ทั้งสองขึ้นลิฟต์มายังชั้น 12 ที่พวกเขาอาศัยเพียงสองห้อง ที่ซึ่งคนน้องไม่รู้ว่ามีแค่พวกเขาสองคนทั้งชั้น หนึ่งเดินไปส่งวียังหน้าห้อง
วีทาบคีย์การ์ดเปิดประตูห้องค้างและหันมากล่าวและยกมือไหว้ ขอบคุณครับ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างจนตาหยีลงมันน่ารักน่าเอ็นดูที่สุดในโลก ใจเขาเนี่ยเหลวเป็นน้ำไปหมดแล้ว หนึ่งอดกลั้นจะไม่ยกมือไปลูบหัว พอรู้ตัวอีกทีได้มือหนาวางบนกลุ่มก้อนผมสีดำพร้อมลูบลงอย่างแผ่วเบา
“นอนหลับฝันดีครับน้องวี ถ้าจะให้ดีช่วยฝันถึงพี่ด้วยนะครับ แต่พี่คงฝันถึงเราแน่นอน”
“คะ ครับ”
หนึ่งหันตัวกลับไปยังห้องของตัวเองฝั่งตรงข้าม และวีปิดประตูห้องพร้อมกับใจที่เต้นแรง ตึกตัก ตึกตัก...
To be continued...