“ยังไม่นอนหรือ” กัณหาถามขึ้นมา หลังจากกลับไปที่ห้องนอนแต่ไม่พบแหวน เธอจึงต้องเดินออกมาตามหาแหวนที่ดาดฟ้าเรือเหาะ โดยมีจี้ดตามมาด้วย บนดาดฟ้าเรือเหาะยามนี้เงียบสงบมีเพียงสายลมอ่อนๆ พัดผ่านตัดกับแสงจันทร์ที่ส่องประกายอยู่บนฟ้า

“นอนไม่หลับ” แหวนตอบ

“เจ้านะหรือ นอนไม่หลับ” จี้ดขำ “เหตุใดเล่าคนหลับอุตุอย่างเจ้าจึงนอนไม่หลับ”

“จุ๊ๆ” แหวนจุ๊ปากใส่เจ้านก แล้วชี้มือไปเบื้องล่าง “ดูนั่น”

กัณหามองตามสายตาแหวน ที่ลานหินเบื้องล่างหมอหยูนั่งก้มหน้าอยู่ที่ริมลานหิน สักพักช่วงเดินมาจากไหนไม่รู้ ตรงไปคุยกับเขา

“ไปกัน” แหวนว่า

“ไปไหน”

“ไปแอบฟังนะสิว่าเขาคุยอะไรกัน” แหวนตอบทันที

“ห๊า?! จะดีหรือแหวน”

“แล้วท่านไม่อยากรู้เหรอ ว่าอะไรทำให้หมอที่เก่งกาจถึงได้หมดอาลัยตายอยากขนาดนั้นล่ะ” แหวนย้อนถามกัณหา

“ฉันก็อยากรู้ แต่มันฟังดูเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะ” อีกฝ่ายแย้งทันที แหวนไม่ฟังลากกัณหาไปด้วย ทั้งคู่ออกจากเรือเหาะไปแอบอยู่ที่พุ่มไม้เตี้ยๆ ไม่ไกลจากที่ที่ช่วงและหมอหยูนั่งนัก

“อ้าว ชวนกันไปแอบฟังซะงั้น เสียมารยาทจริง” เจ้านกน้อยถอนใจ ไม่ยอมบินตามไปด้วย

“ท่านต้องการอะไร” น้ำเสียงหมอหยูบ่งบอกว่าเขาไม่อยากคุยกับช่วงมากนัก

“ข้านะ เคยเป็นทหารเอกแห่งเสียนหลัว” ช่วงพูดด้วยเสียงต่ำๆ ไม่สนใจความหงุดหงิดของผู้ฟัง “ข้าฝึกฝนตนเองสารพัด ทั้งฟันดาบ ยิงธนู ขี่ช้าง ขี่ม้า เคยถึงขั้นพยายามจะฝึกวิชาอาคมด้วยเผื่อจะเป็นประโยชน์ในการออกศึก”

หมอหยูเงียบไม่ตอบว่าอะไรกับคำพูดเหล่านั้น

“ข้าฝึกฝนตนเองตั้งแต่เล็ก ด้วยความหวังว่าจะได้มีโอกาสรับราชการเป็นถึงแม่ทัพ เป็นถึงพระยาเช่นเดียวกับบิดาของข้า ข้ารับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อมีสงครามก็อาสาออกรบ เสี่ยงชีวิตเพื่อเอาชัยให้แผ่นดิน แต่แล้ววันหนึ่งความฝันของข้าก็สูญสลายลงจากคนที่ไว้ใจสองคน

คนหนึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เป็นเจ้านายที่ข้ารักและเชื่อมั่น วันหนึ่งข้าไปพบความจริงว่าเขาทุจริต เขาแอบลักลอบยักยอกสมบัติอันเป็นของหลวงไปไว้ใช้สอยเอง ขูดรีดประชาชนและโยนความผิดให้ขุนนางคนอื่น ข้าตกตะลึงมากเมื่อพบความจริง ตอนนั้นราวกับว่าโลกของข้ากำลังจะถล่มทลายลงในทันที

ข้ารู้สึกผิดหวังมาก ข้าจนปัญญาไม่รู้จะทำอะไร จึงได้ไปปรึกษานายทหารที่เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งว่าจะทำอย่างไร ควรจะแจ้งเรื่องนี้แก่ใคร เพื่อนของข้าแนะนำให้เงียบไว้ แต่ข้าเห็นว่าไม่สมควร ข้ายืนยันจะเดินหน้าต่อ สุดท้ายเพื่อนรักของข้าก็หักหลังข้า เขาเอาเรื่องของข้าไปแจ้งแก่ขุนนางคนนั้นเพื่อหวังความดีความชอบ ขุนนางคนนั้นเลยได้โอกาสใส่ความข้าให้กลายเป็นแพะรับบาปต้องถูกปลดออกจากราชการ ราชการที่ข้ามุ่งหวังทุ่มเทมานับสิบปีเพื่อจะได้เจริญก้าวหน้า

เมื่อข้าถูกปลด ข้ารู้สึกหมดสิ้นทุกอย่าง รู้สึกหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ข้ากลับมาที่บ้านทำตัวเสเพลอยู่ไปวันๆ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ข้าได้พบกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เธอประสบปัญหาในชีวิตและตัดสินใจออกเดินทางเพียงลำพัง ฝ่าอันตรายมากมาย เพื่อตามหาสิ่งที่ดูเหมือนจะมีแค่ในตำนานลมๆ แล้งๆ ข้าฟังทีแรกยังนึกหัวเราะเยาะเย้ยเธอด้วยซ้ำ ข้าตามเธอมาเพียงเพราะแค่เห็นว่าเป็นเด็ก เดินทางคนเดียวคงจะลำบาก เธอเป็นลูกหลานผู้ดีมีตระกูลเคยอยู่สุขสบายมาก่อน ข้าเชื่อว่า พอเจอความยากลำบากมากๆ เธอคงจะถอดใจ ขอกลับไปเอง แต่เรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้น ข้าได้ยินว่าเธออดทนทำงานเป็นสาวรับใช้เป็นเดือนๆ อดทนเรียนอาคมเพื่อการเดินทางครั้งนี้ แม้ในวินาทีที่เราสิ้นหวัง เธอก็ยังมุ่งมั่นและมีความหวังเสมอ เธอยังยืนยันที่จะไปให้สุดทาง นั่นทำให้ข้าคิดว่า ตนเองช่างโง่เขลายิ่งนักที่คิดว่าตนเองมีปัญหาและสิ้นหวังอยู่คนเดียวในโลกนี้ ข้าได้รู้ว่าหลายคนก็มีปัญหามากมายแตกต่างกัน แต่สิ่งที่ต่างกันคือ เราเลือกที่จะแก้ปัญหานั้นอย่างไร สำหรับข้าที่มัวแต่สิ้นหวังไม่ยอมทำอะไร แต่สำหรับเด็กคนนั้น เธอเลือกที่จะสู้กับปัญหาเหล่านั้นอย่างอดทนและมุ่งมั่น นั่นคือสาเหตุที่ทำให้พวกเราทุกคนได้เดินทางมาไกลถึงที่นี่ ถ้านับเป็นลี้ก็คงหลายพันลี้จากบ้านของเรา” ช่วงจบเรื่องที่เขาเล่าอย่างสงบ “และทำให้ข้ารู้ว่าควรจะทำอะไรบ้างหลังจากกลับไปเสียนหลัวอีก”

“ท่านต้องการจะบอกอะไรข้า” หมอหยูยังก้มหน้า

“ข้าแค่จะบอกว่า ข้าไม่รู้ว่าท่านพบเจอปัญหาใดมา แต่จงอย่าสิ้นหวังเด็ดขาด จงอดทนเพียรพยายามมันต้องมีสักวันที่เป็นวันของเรา” ช่วงตบบ่าหมอหยูเบาๆ “หากท่านยังยืนหยัดไม่ลดล่ะ ข้าเชื่อว่าสักวันท่านจะต้องหาทางออกจากปัญหาเหล่านั้นได้” ช่วงพูดจบก็ลุกขึ้นยืนกำลังจะเดินออกไป

“แล้วท่านไม่อยากรู้หรือ ว่าข้ามีปัญหาอะไร” จู่ๆ หมอหยูเอ่ยขึ้น ช่วงหันมามองเขาอย่างประหลาดใจ

“เอ่อ ก็แล้วแต่ท่าน หากท่านจะเล่า ข้าก็ยินดีฟัง” เขากลับลงมานั่งที่เดิม แหวนรีบเอียงหูเข้าไปฟังเพิ่มขึ้นอีก

“ข้าเองก็ถูกขับไล่จากสำนักโม่ฝ่าช่านเพราะถูกใส่ร้าย” หมอหยูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขมขื่น “ข้าถูกกล่าวหาว่าพยายามจะขโมยคัมภีร์ต้าจินหลง คัมภีร์โบราณที่มีมานานนับศตวรรษ ข้าถูกเฉิงอี้ใส่ร้ายจนต้องออกจากสำนัก มาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้”

“เฉิงอี้ ศิษย์เอก นะหรือ” ช่วงทวนคำอย่างครุ่นคิด “ข้ากับพรรคพวกเพิ่งพบเขา เราได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ของข้า อาจารย์จวงแห่งเขาริมอ่าว ให้นำต้นหยกมังกร ของขวัญล้ำค่า มาให้อาจารย์จางหมิ่น แต่มีโจรมาขโมยต้นหยกมังกรไป อาติสู้กับโจรจนถูกพวกนั้นทำร้าย แต่เขากลับหาเรื่องสงสัยพวกเรา จนเราจึงต้องรีบพากันออกมา”

“เฉิงอี้เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง มีสองสิ่งที่เขาอยากได้ หนึ่งคือเป็นเจ้าสำนักต่อจากท่านอาจารย์ สองคือได้ศึกษาคัมภีร์ต้าจินหลง คัมภีร์โบราณที่เชื่อกันว่าจะทำให้มีอาคมเหนือกว่าใครและทำให้เขายิ่งใหญ่กว่าทุกคนรวมถึงท่านอาจารย์ เขาจะได้เป็นเจ้าสำนักอันเกรียงไกร เขาอยากได้คัมภีร์ต้าจินหลงมาก ถึงขั้นขนาดพยายามขโมยคัมภีร์ แต่เขาฉลาด และเจ้าเล่ห์ แทนที่จะขโมยเอง เขาหลอกใช้ข้ากับศิษย์ผู้พี่อีกคนในสำนัก ด้วยเหตุผลว่าตนเองเจ็บหนัก เขาร่วมมือกับหมอหวงใช้วิธีการบางอย่างทำให้ข้าตรวจร่างกายเขาพบชีพจรผิดปกติตลอดเวลา แม้พยายามให้กินยาตัวใดก็ไม่ได้ผล สุดท้ายเขาเลยบอกว่า เขาคิดว่า ยาที่จะรักษาเขาได้ มีแต่ยาที่บันทึกในคัมภีร์ต้าจินหลง ข้ากับศิษย์ผู้พี่พยายามไปขอร้องท่านอาจารย์ว่าต้องการอ่านคัมภีร์นี้ แต่ท่านปฏิเสธ สุดท้ายเขาก็แกล้งทำเป็นเจ็บปางตาย ข้ากับศิษย์พี่สงสารจึงแอบเข้าไปในห้องที่คิดว่าเก็บคัมภีร์ไว้ แต่พวกเรากลับไม่เจออะไร พอเราถูกจับได้ เขาก็ปรากฏกายมาพร้อมศิษย์คนอื่น บอกว่าตนเองไม่เป็นอะไร ข้ากับศิษย์พี่ต่างหากที่หาข้ออ้างจะขโมยคัมภีร์ไปศึกษาเอง สุดท้ายท่านอาจารย์จำต้องไล่ข้ากับศิษย์พี่ออก ช่างเป็นแผนที่ดีจริงๆ ถ้าข้ากับศิษย์พี่ทำสำเร็จเขาก็จะได้คัมภีร์ไปโดยไม่ต้องทำอะไร ถ้าไม่สำเร็จข้า เขาก็จะได้กำจัดศิษย์รุ่นพี่ออกไป ทำให้ในตอนนี้มีเพียงเขาที่อาวุโสที่สุดในสำนักรองจากท่านอาจารย์”

“เลวมาก” ช่วงดูมีอารมณ์ร่วมมากเกินพอดี แล้วเขาก็ชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้นมาว่า “แต่พยายามกำจัดท่านกับศิษย์พี่ของท่าน ข้าเข้าใจ แต่ทำไมต้องพยายามกำจัดข้ากับพรรคพวก เราเพิ่งมาถึง ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับเขา เหตุใดเขาต้องพยายามใส่ร้ายพวกเรา”

“ข้าได้ยินว่า ท่านนำของขวัญจากท่านอาจารย์แห่งเขาริมอ่าวมามอบให้ท่านอาจารย์ไม่ใช่หรือ” หมอหยูเอ่ยช้าๆ

“ใช่ ท่านอาจารย์ให้ข้าเอาต้นหยกมังกรมาให้อาจารย์ของท่าน แล้วทำไม…” ช่วงดูงุนงง “หรือเขาอยากได้ของขวัญไว้เอง เขาก็เลยชิงของขวัญไปใช่ไหม แล้วพรรคพวกของข้าดันไปเห็นเข้า เขากลัวความแตก ก็เลยพยายามใส่ร้ายพวกเรา”

“น่าจะใช่ เขาคงกำลังต้องการแพะรับบาป แต่ข้าว่าไม่ใช่ต้นหยกมังกรหรอกที่เขาอยากได้ ทรัพย์สิน เงินทองนะ เขามีอย่างล้นเหลืออยู่แล้ว สิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นต่างหาก ข้าว่า”

“มีอะไร ซ่อนอยู่ในต้นหยกมังกรงั้นหรือ” ช่วงเสียงสูงดูตกใจ “หรือว่าคัมภีร์…”

“คัมภีร์ต้าจินหลงใช่ไหม” แหวนตื่นเต้นตามช่วง เธอหันมาคุยกับกัณหา แต่ดูเหมือนว่าเสียงจะดังไปหน่อย จนช่วงกับหมอหยูพากันสะดุ้ง

“ใคร!!!” ช่วงผุดลุกทันที เขาชักดาบมาทันพาดคอแหวนที่กำลังรีบหนี “อีแหวน…”

“แหมๆ เล่นของมีคมเลยเหรอ” แหวนเสียงอ่อนหวานในทันตา รีบยกมือขึ้นว่ายอมแพ้ ช่วงเก็บดาบอย่างหงุดหงิด “ใจเย็นสิท่าน”

“เจ้านี่มันไร้มารยาทเสียจริง มาแอบฟังคนอื่นคุยกัน ท่านก็ด้วย ทำไมเป็นไปด้วยอีกคน” ช่วงหันมาตำหนิกัณหาเล็กน้อย

“ขออภัยเถิด” กัณหาค้อมศีรษะให้หมอหยู ก่อนพูดต่ออย่างไม่สนใจช่วง “ท่านบอกว่าอาจารย์ฉันซ่อนคัมภีร์บางอย่างไว้ในต้นหยกมังกรงั้นหรือ” กัณหานึกถึงพ่อฉิมขึ้นมา ชายคนที่ปลอมตัวเป็นค่อมหลายเดือน พยายามสารพัดวิธีที่ขโมยคัมภีร์มหาเวทจากอาจารย์ ทำไมเรื่องของเขาช่างเหมือนกับเรื่องของเฉิงอี้ขนาดนี้นะ แถมเขายังมาปรากฏกายที่นี่ด้วย ช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้ แล้วคำพูดที่ครั้งหนึ่งเคยได้ยินเจ้างูใบตองพูดในวันที่เขาเล่าเรื่องคัมภีร์มหาเวทให้เธอฟังก็ดังขึ้นในหัว

 

เสียงเล่าลือความยิ่งใหญ่ของคัมภีร์นี้ก็เลยทำให้มีคนแย่งชิงกัน ในประวัติศาสตร์ของเรามีคนตายจากการแย่งชิงคัมภีร์นี้มากกว่าตายจากเสกคาถาในคัมภีร์ซะอีก

 

ในโลกนี้มันมีสักกี่คัมภีร์กัน มีให้แย่งชิงแทบทุกเมืองเลยหรือ… คัมภีร์ที่จะทำให้มีอาคมยิ่งใหญ่กว่าใคร

ชาวเสียนหลัวหรือ

อะไรนะ

เสียนหลัว หมายถึง อยุธยา

 

“คัมภีร์ที่ท่านว่ามีชื่ออื่นรึเปล่า” กัณหาถาม “หรือโลกนี้มีคัมภีร์ยิ่งใหญ่มากกว่าหนึ่งไหม”

“มีคัมภีร์เดียวแหละ ข้าว่า เพียงแต่จะเรียกชื่อไหนเท่านั้น ชาวต้าชิงเรียกคัมภีร์ต้าจินหลง ชาวอารยันเรียกว่า คัมภีร์มหาเวท” หมอหยูตอบอย่างสงบ

กัณหารู้สึกตัวชาไปทั้งตัว เมื่อนึกถึงสิ่งเลวร้ายที่ฉิมทำเพื่อชิงคัมภีร์มหาเวท เพื่อคัมภีร์อันยิ่งใหญ่เขาทำร้ายเพื่อร่วมสำนัก วางยาคนบริสุทธิ์ และตอนนี้เขาทำร้ายอาติปางตาย เพื่อชิงคัมภีร์

“แล้วทำไมมันไปอยู่กับอาจารย์ฉันล่ะ” กัณหายังไม่หายข้องใจ “ถ้ามันเป็นของสำนักโม่ฝ่าช่าน”

“คัมภีร์นี้เป็นคัมภีร์โบราณ ไม่ทราบว่าใครเป็นคนเขียน มีการแย่งชิงไปมาเป็นศตวรรษแล้ว ล่าสุดที่ข้ารู้คือสำนักโม่ฝ่าช่านชิงมันมาจากพวกอารยันเมื่อนานมาแล้ว มันถูกเก็บในหอสูงมาตลอด จนกระทั่งข้ากับศิษย์พี่ขึ้นไปหาแล้วพบว่ามันหายไป ข้าไม่แน่ใจนักว่าทำไมมันถึงไปอยู่กับอาจารย์เจ้าได้ แต่ถ้าให้เดา อาจารย์จางหมิ่นกับอาจารย์จวงเป็นเพื่อนรักกันมานาน เป็นไปได้ว่าท่านอาจให้กันยืม หรือขอให้อีกฝ่ายปกป้องรักษามันก็ได้ เพราะหลายปีมานี้สำนักโม่ฝ่าช่านมีคนต่างถิ่นเข้ามารุกรานบ่อยๆ เพราะทุกคนเชื่อกันว่า คัมภีร์อยู่ในสำนักนี้ จึงมาที่นี่เพื่อแย่งชิงคัมภีร์”

“แล้วทำไมเฉิงอี้ถึงรู้ว่า อาจารย์จะซ่อนมาในต้นหยกมังกรล่ะ” อีกฝ่ายยังไม่คลายข้อกังขา “แม้แต่เราที่แบกมันข้ามน้ำข้ามทะเลมายังไม่รู้เลย อาจารย์ก็ไม่ได้บอกพวกเรา บอกเพียงแค่ว่า มันเป็นของขวัญที่เขาต้องการส่งให้อาจารย์ของท่าน”

“หลังจากโดนขับไล่ ข้าได้ยินมาว่าเฉิงอี้หมกมุ่นกับการหาคัมภีร์นี้มาก เขาอ้างว่ามันเป็นสัญลักษณ์สำคัญของสำนัก ถ้ามันหายไปทุกคนก็ควรจะตามหามัน เป็นไปได้ว่าถ้าเขารู้ว่ามันอยู่กับอาจารย์จวง เขาอาจส่งสารอะไรบางอย่างไปขอคืนมาก็ได้ เพราะว่าตอนนี้เขาเป็นคนควบคุมสำนักโม่ฝ่าช่านทั้งหมด เขาก็คงรู้ว่าอาจารย์จวงก็คงหาวิธีส่งมาให้อย่างลับๆ ยิ่งถ้าท่านบอกว่าท่านอาจารย์ส่งของขวัญมาให้ ก็เดาไม่ยากว่าคัมภีร์น่าจะซ่อนอยู่ในนั้น”

“เขาก็เลยวางยาในน้ำชา แล้วให้คนมาขโมยต้นหยกมังกรไป” กัณหาสรุป

“น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะถ้าเขาเอาคัมภีร์เก็บไว้เองแทนที่จะเอาเข้าหอสูงตามเดิม คนอื่นๆ ในสำนักคงจะประท้วง เขาก็เลยต้องขโมยมันไป”

“แล้วท่านจะทำไงต่อ” กัณหาพูดทันที “คัมภีร์สำคัญของสำนักท่านอยู่ในมือคนชั่ว ท่านที่เป็นศิษย์อีกคนของสำนัก จะวางเฉยงั้นหรือ ทั้งๆ ที่ท่านรู้เรื่องทั้งหมดเป็นอย่างดี ท่านจะอยู่เงียบๆ เก็บรักษาตัวเองให้ปลอดภัย แล้วปล่อยให้เขาเอาความรู้ในคัมภีร์ไปทำอันธพาลตามใจชอบเช่นนั้นหรือ”

“นั่นสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากความมืด