แสงจันทร์ส่องต้องกระทบผืนน้ำยามดึก สายลมเย็นพัดผ่านผิวกายไปอย่างอ่อนโยน ร่างๆเล็กของเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่หัวเรือมาดประทุนมองไปยังสายน้ำที่ไหลผ่านเรือไปอย่างแผ่วเบา โดยไม่มีแม้แต่เสียงน้ำสาดกระเด็น

“ท่านควรจะนอนพัก” เสียงช่วงดังขึ้นด้านหลัง กัณหาหันหลังไปเห็นเขากำลังเดินมาหาเธอ

“ฉันยังไม่ง่วงเลย” กัณหาบอกเขาอย่างสงบ “แหวนเป็นอย่างไรบ้าง”

“ดูไม่น่ามีอะไรแล้ว คงแค่เพลียมาก” ช่วงนั่งลงข้างๆกัณหา “แม่นิ่มกำลังดูเขาอยู่ ท่านเป็นอะไรไป คิดอะไรอยู่หรือ

“ฉันแค่สงสัยอะไรบางอย่าง”

“เช่นอะไร” อีกฝ่ายถามแทบจะในทันที กัณหามีความรู้สึกลึกๆว่าเขารู้คำตอบอยู่แล้ว

“ก็เรื่องไฟที่ลุกไหม้ผ้านุ่งของเศรษฐีทองใบ” กัณหาพูดด้วยเสียงเบาลงแทบเป็นกระซิบ “ท่านรู้ไหมว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร”

บุรุษหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาทอดมองออกไปในแม่น้ำที่เรือกำลังแล่นผ่านราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ สักพักเขาจึงเอ่ยขึ้นช้าๆด้วยเสียงที่ไม่ต่างกับเสียงกระซิบ “แล้วท่านคิดยังไงกับเรื่องนี้หรือ” 

“ไม่รู้สิ บางทีฉันคิดว่า” เธอกลืนน้ำลาย “ มันอาจเกิดจากฉัน”

“ก็อาจเป็นได้” ช่วงบอกปัดๆอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเวทมนตร์ อาคม พลังจิตอะไรนี่ มีคนทำได้หลายคน แม้จะเป็นจำนวนน้อยก็ตามที ท่านอาจเป็นหนึ่งในนั้น”

“ท่านดูไม่แปลกใจอะไรเลย” กัณหาท้วง 

“มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรนี่ จริงอยู่ในอยุธยานี่มีคนที่มีพรสวรรค์ด้านนี้น้อยก็จริง แต่ก็ใช่ว่าไม่มี อาจารย์ที่ข้าจะพาท่านไปเจอก็มีวิชาพวกนี้ เอาอย่างนี้สิ ตอนที่ท่านไปเจอท่านอาจารย์ ท่านก็รวดถามเรื่องนี้เสียเลย ข้าแน่ใจว่าท่านต้องตอบได้แน่นอน”

“ท่านเป็นพวกมีวิชาอาคมหรือ” กัณหาสนใจขึ้นมา 

“ใช่แล้ว ท่านรอบรู้เรื่องต่างๆ มีวิชาอาคมรอบด้าน ข้าถึงมั่นใจว่าถ้าน้ำอมฤทธิ์ที่ท่านตามหามีอยู่จริง ท่านอาจารย์จะบอกได้อย่างแน่นอน”

“ฉันได้แต่หวังว่ามันจะมีอยู่จริง ฉันจะได้ออกไปตามหามันมาให้แม่นม”

“แล้วถ้ามันไม่มีอยู่จริงละ ท่านจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร” อีกฝ่ายย้อนถาม

กัณหานิ่งไปไม่ตอบ นึกไม่ออกเหมือนกันว่า ถ้าอาจารย์ของช่วงบอกว่ามันไม่มีอยู่จริงเธอจะทำอย่างไร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่ามันมีจริง

“ข้าอยากให้ท่านเผื่อใจเอาไว้บ้างเฉยๆ” ช่วงตอบแล้วลุกออกไป

 

 

อาการของแหวนดีขึ้นอย่างรวดเร็วในเช้าวันถัดมา ใครที่เห็นสภาพของแหวนตอนที่ช่วงอุ้มพาดบ่าพาออกจากบ้านเศรษฐีทองใบมาขึ้นเรือ ต้องคิดว่าแหวนไม่รอดแน่ๆ หล่อนหน้าซีดเซียว หายใจรวยริน และดูสลบไสลไม่ได้สติ แต่พอเช้าวัดถัดมาแหวนก็ร่าเริงแจ่มใส ลุกขึ้นมานั่งกินข้าวปลาอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อยราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน

ส่วนเจ้านกการเวกนั้น ยังคงนอนหลับอย่างอ่อนเพลียอยู่ที่ก้นกรงเหมือนเดิม กัณหาไม่ค่อยสบายใจนักที่เห็นมันนอนแผ่อยู่เหมือนตายแล้ว เธอเอาช้อนรีดน้ำมะม่วงสุกป้อนมันเช้าเย็น เจ้านกได้แต่อ้าปากรอน้ำมะม่วง ดูไร้เรี่ยวแรงไม่แม้แต่จะลุก ช่วงซึ่งเคยชำนาญการทำแผลให้ทั้งคนและนกมาก่อน คอยช่วยดูแลแผลของมัน เขาให้ความเห็นว่าแผลมันฉกรรจ์มาก แม้จะทำแผลให้มันแทบทุกวัน แต่อาการมันก็ยังไม่ดีขึ้น

“ข้าก็เคยมีนกนำสาร อาการประมาณนี้” เขาบอก “ส่วนใหญ่มักไม่รอด แต่ก็ไม่แน่ ถ้ามันเป็นนกวิเศษจริงดังท่านว่า มันน่าจะทนผิดบาดแผลได้มากกว่านกทั่วไป ถ้ามันทนได้ถึงเจออาจารย์ข้า ก็น่าจะรอด เพราะท่านมีวิชารักษามันได้”

กัณหาไม่แน่ใจนักว่านกวิเศษจากป่าหิมพานต์จะทนผิดบาดแผลฉกรรจ์ได้มากกว่านกทั่วไปรึเปล่า และไม่แน่ใจว่าต่อให้มันรอดจนเจออาจารย์ของช่วงจริง มาให้การรักษาทีหลังจะทำให้อาการมันดีได้จริงๆเหรอ

ตอนนี้พวกเขาอาศัยอยู่บนเรือมาดประทุนของเที่ยง เพื่อมุ่งหน้าสู่เขาริมอ่าว นางนิ่มกับแหวนพลอยตกกระไดพลอยโจรไปด้วย เพราะทั้งคู่ไม่อาจกลับไปอาศัยอยู่ที่ตลาดน้ำบ้านหวายได้อีกแล้วหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ทั้งคู่ก็ไม่มีที่ไป จึงจำเป็นต้องเดินทางไปกับพวกเขาด้วย เที่ยง คนเรือที่พาพวกเขาไปเป็นชายวัยกลางคน ร่างผอมสูง ผิวสีคล้ำ หน้าตาท่าทางใจดี เที่ยงเคารพนับถือช่วงมาก ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีของพวกเขา เพราะวันที่เศรษฐีจับตัวพวกเขาไป เที่ยงซึ่งรอท่าพวกเขาอยู่ที่เรือตั้งแต่เช้ายังคงไม่ออกเรือ และรอพวกเขาจนดึกดื่นด้วยเหตุผลที่ว่า “หมื่นช่วงไม่เคยผิดสัญญากันมาก่อน” เมื่อพวกเขาหลบหนีออกมาตอนกลางคืน ก็ยังเจอเที่ยงนั่งสัปหงกรออยู่ที่ท่าน้ำ พวกเขาถึงหลบหนีมาได้อย่างฉิวเฉียด คนเรือผู้นี้อัธยาศัยดีและรักเด็กมาก เมื่อเห็นกัณหา เขาก็เอาตอก ไม้สานมาทำเป็นของเล่นต่างๆให้อย่างเอ็นดู ช่วงจะท้วงก็ไม่ทัน กัณหาชอบใจมาก เพราะเธอไม่เคยมีของเล่นพื้นบ้านอย่างนี้มาก่อน เมื่อเที่ยงทำให้เธอก็รับมาเล่นอย่างสนุกสนาน แหวนได้แต่มองเรื่องนี้อย่างขบขัน แต่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไร มีครั้งหนึ่งระหว่างที่เดินทาง เที่ยงถึงกับเอ่ยถามช่วงว่ากัณหาเป็นลูกของใคร ใช่ลูกของช่วงกับแหวนรึเปล่า

“ลูกเรอะ ไม่ ไม่ ข้ายังโสด ไม่มีเมียเว้ย” ช่วงโวยวาย

“จะบ้าเหรอ ทหารปลดประจำการแก่ๆแบบนี้ข้าไม่เอาหรอก” แหวนโวยวายมั่ง

“ข้าก็ไม่เอาเอ็งเหมือนกันแหละน่า อีแหวน” ช่วงเบะปาก “ดูสิโหวกเหวกโวยวาย ความเป็นกุลสตรีหามีไม่”

“แหม ท่านก็ดูเป็นสุภาพบุรุษมากนี่” อีกฝ่ายประชดประชันกลับ

นางนิ่มได้แต่ถอนใจ อุตส่าห์ได้ออกมาจากเรือนของเศรษฐีทองใบหวังว่าจะมีชีวิตอันสงบสุขกลับกลายเป็นว่าต้องมาฟังเสียงทะเลาะกันของแหวนกับช่วงแทน

นึกอยากให้นางแหวนนอนป่วยต่ออีกสักพักเหมือนนกนั่น 

“ก็ แหม ข้าเห็นใต้เท้าทะเลาะกับนางแหวนอย่างกับคู่ผัวตัวเมีย ฮ่ะฮ่า” เที่ยงกลั้วหัวเราะในคอ แล้วก็ชะงัก “ว่าแต่เด็กน้อยนี่ก็ดูหน้าตาท่าทางจะเป็นลูกผู้ดี ท่านคงไม่ได้ไปลักพาตัวนางมาจากครอบครัวใช่ไหม”

ช่วงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนชำเลืองมาทางกัณหาอย่างไม่สบายใจ

“คุณหนูท่านกำลังจะออกเดินทางไปหาแม่ของท่านนะ” แหวนโกหกทันควัน “ข้ากับแม่เป็นบ่าวของคุณหนู เราตามมาด้วยกัน ให้นายทหารคนนี้นำทาง”

“อ่าว แล้วแม่ของคุณหนูไปทำอะไรที่เขาริมอ่าว”  เที่ยงสงสัย “แถวนั้นทั้งเปลี่ยวและห่างไกล”

“ไปเรียนอาคมกับท่านอาจารย์” ช่วงตอบทันที “ไม่ใช่สิ ท่านพาพี่ชายของคุณหนูไปฝากเรียน แล้วก็ยังไม่กลับสักที คุณหนูเลยต้องไปตาม” 

“โอ้ แล้วพ่อของคุณหนูยอมให้ออกมาตามหางั้นหรือ” เที่ยงยังคลาแคลงใจ คำอธิบายที่ฟังแปลกแสนแปลก

“ฉันเป็นลูกเมียน้อย พ่อไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอก” กัณหาตอบให้แทน เมื่อทั้งแหวนและช่วงไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร 

พวกเขาเดินทางอยู่บนเรือทั้งวันทั้งคืน มีบ้างที่แวะย่านที่เป็นตลาดเพื่อเอาปลาที่จับได้ระหว่างทางที่ล่องเรือมาไปแลกเปลี่ยนกับอาหารอย่างอื่นมาเก็บไว้กิน เที่ยงชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี เมื่อไหร่ที่ใกล้ถึงย่านที่มีตลาด เขามักจะถามว่าจะแวะลงไปเดินตลาดไหม จนถึงย่านตลาดสุดท้ายก่อนออกทะเลเขาก็แนะนำให้ลงไปหาซื้อข้าวของและอาหารตุนไว้

“หลังจากออกปากอ่าวแล้ว ใช้เวลาประมาณสัปดาห์น่าจะถึงเขาริมอ่าว” เขาบอกอย่างอารมณ์ดี “ช่วงนี้เป็นฤดูแล้ง คลื่นไม่ค่อยมี อากาศดีมาก เดินเรือไม่ยาก”

“ท่านไปเขาริมอ่าวมาบ่อยเหรอ” กัณหาถามอย่างสนใจระหว่างที่เธอกับเที่ยงนั่งรอช่วงและนิ่มไปหาแลกอาหารในตลาด 

“นานๆทีขอรับคุณหนู”  เที่ยงยิ้ม “แต่ออกทะเลเนี่ยไปบ่อย”

“ท่านล่องเรือไปมาตลอดเหรอ” กัณหายังซักต่อ

“ข้าแทบจะใช้ชีวิตบนเรือ ข้าล่องเรือไปเอาของจากเมืองนั้นไปขายเมืองโน้นทีเมืองนี้ที ได้อัฐมากอยู่ขอรับ”

“เป็นชีวิตที่ดูมีอิสระจริง” อีกฝ่ายว่าอย่างสนใจ “ฉันอยากล่องเรือไปมาบ่อยๆเหมือนบ้าง”

“ข้ามีชีวิตอิสระ แต่ก็ต้องเหนื่อย ลำบากลำบน ชีวิตท่านอาจไม่มีอิสระแต่ก็สุขสบาย” เขาส่งยิ้มให้กัณหา “แต่ไม่ว่าจะอยู่แบบไหนก็มีสิ่งที่มนุษย์เป็นเหมือนกันหมดทุกคน”

“อะไร”

“ไม่พอใจในสิ่งที่เรามีไง ขอรับ ท่านบอกว่าอยากมาล่องเรือเหมือนข้า ส่วนข้ากลับเบื่อการล่องเรือ อยากอยู่เฉยๆอย่างสุขสบายมากกว่า”

กัณหายิ้ม แล้วหันไปทอดมองนกการเวกที่ยังหลับอยู่ก้นกรง  ตอนนี้เธอได้แต่สวดภาวนาของให้พวกเขาเดินทางถึงเขาริมอ่าวได้ทันก่อนเจ้านกน้อยจะหมดแรงไปก่อน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานี้มันยังคงนอนสงบนิ่งก้นกรง