“ท่านมีธุระอะไรกับข้าอีกหรือ คุณหนู” เศรษฐีเอ่ยเมื่อพบพวกเขาอีกครั้งที่ใต้ถุนบ้านไม้สักทองหลังใหญ่

“คุณหนูได้ยินว่าเจ้าจับนกได้ตัวหนึ่งไม่ใช่รึ” ช่วงถามอย่างมีมาด “ใช่นกสีน้ำตาลทองตัวเท่าแม่ไก่รึเปล่า”

ชายหัวล้านเลิกคิ้วมองพวกเขาอย่างระแวดระวัง “ใช่ ข้าจับได้ มีอะไรรึ”

“ตอนนี้มันอยู่ไหนละ” ช่วงถามต่อ “นกตัวนั้นเป็นนกของคุณหนู ท่านนำมาด้วย แต่มันหลุดหายตอนที่โดนอีแหวนปล้น คุณหนูตามหามันอยู่หลายวัน พอรู้ว่านกอยู่ที่นี่เลยจะมาขอมันคืน”

เศรษฐีทองใบหัวเราะ น้ำเสียงของเขาก้องกังวานไปทั้งใต้ถุนบ้าน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “นกตัวนั้นไม่ใช่ของคุณหนูหรอก ลูกน้องข้าจับได้ในตลาดน้ำ ตอนนี้มันก็เป็นของข้า มันจะนำโชคมาให้ข้า ข้าจะเลี้ยงมันเอง”

“มันเป็นนกของฉัน ฉันนำมันมาด้วย” กัณหาเถียง เริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย “ตัวนกมีสีเหลืองทองสลับน้ำตาลแดงที่ท้อง จะงอยปากสีฟ้าสดใส ใต้คางสีเขียว ฉันจำลักษณะมันได้หมด เพราะฉันเลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็ก”

“จะเป็นนกของคุณหนูได้อย่างไร ไหนละหลักฐาน แค่ท่านบอกรูปพรรณได้ไม่ได้แปลว่ามันเป็นของท่านหรอกนะ ท่านคงได้ยินคนอื่นๆในตลาดคุยกันเรื่องนกตัวนี้แล้วก็อยากได้ละสิ” 

“เจ้าหาว่าคุณหนูโกหกเรอะ” ช่วงขึ้นเสียงแกล้งทำเป็นโกรธ “อยากให้ขุนครามตามมาเอาเรื่องหรือไง ขุนครามเป็นคนซื้อนกนั่นให้คุณหนู ถ้าท่านรู้ว่าเจ้าจับนกของคุณหนูมาละก็…”

“เหอะ ขุนครามซื้อนกให้คุณหนู” เศรษฐีทวนคำแล้วหัวเราะอย่างมีเล่ศนัย “ประหลาดใจไหมละ ข้าเพิ่งได้ยินมาเมื่อวานว่าขุนครามไม่มีลูกสาว”

ใบหน้าของช่วงเผือดซีดลง กัณหาคิดว่าหน้าเธอเองก็ไม่ต่างกัน จริงสินะ เธอเคยได้ยินแม่นมบอกว่าขุนครามมีลูกชายสองคน อาศัยอยู่กับแม่ที่เรือนเล็กไม่ไกลจากวังของพระอุปราชมากนัก

“เจ้าพูดอะไร ก็เห็นอยู่นี่ไง นี่ลูกสาวท่าน” ช่วงเถียง แม้น้ำเสียงจะเริ่มสั่นน้อยๆ กัณหานึกกุมขมับอยู่ในใจ 

ไม่รอดแน่ เขารู้แล้วว่าพวกเราโกหก

“งั้นรึ งั้นรออยู่นี่ไหมละ ข้าจะไปเชิญขุนครามมารับคุณหนูกลับบ้านด้วยเสียเลย” เศรษฐีทองใบหยอดด้วยท่าทีที่เหนือกว่า “ข้าก็นึกสงสัยตั้งแต่มาครั้งที่แล้ว ว่าลูกสาวผู้ลากมากดีจะมาทำอะไรในตลาดน้ำเพียงลำพัง โดยไม่มีคณะสาวๆแวดล้อม กับทหารชั้นต่ำอย่างเจ้า จริงสินะ ข้าเองก็เพิ่งได้ยินเมื่อวานว่าเจ้าไม่ได้ทำงานในวังแล้วไม่ใช่เรอะ หมู่นี้ถึงเห็นที่ตลาดน้ำบ่อยเชียว ไอ้ทหารกำมะลอ ออกไปให้พ้นบ้านข้าเชียว ไม่งั้นข้าจะไปแจ้งขุนครามให้มาจับเจ้าด้วยอีกคน”

 

 

พระภิกษุในวัดกับแม่ชีทั้งสองต้องประหลาดใจมากที่มาเจอช่วงกับกัณหาที่วัดในตอนบ่ายวันนั้นอีกครั้ง สีหน้าทั้งสองไม่สู้ดีนัก กัณหาไม่มีกะจิตกะใจจะไปขึ้นเรือตามคำชวนของช่วงเลย ช่วงเห็นว่านกการเวกนั้นอยู่กับเศรษฐี และดูท่าทางเศรษฐีทองใบก็ดูหวงมันมาก

“เขาคงไม่ปล่อยให้มันตายหรอก เขาคงต้องดูแลมันเป็นอย่างดี เพราะเขาเชื่อว่ามันเป็นนกนำโชคนี่ ต่อให้มันบาดเจ็บแค่ไหน เขาก็จะต้องหาทางชุบชีวิตมันขึ้นมาได้น่า”

“ท่านพูดแบบนี้แปลว่าจะให้ฉันทิ้งมันเหรอ” กัณหาถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เธอออกจากวังมาพร้อมกับเจ้านก ตอนนี้เธอรู้ว่ามันน่าจะบาดเจ็บ จะให้เธอทิ้งมันได้อย่างไร “ต่อให้เศรษฐีเลี้ยงดูมันดีเพียงไร แต่นกเกิดมาเพื่อบินบนท้องฟ้าไม่ใช่อยู่ในกรง แม่นมเคยบอกฉัน” 

“ใครจะไปรู้นกนั่นอาจจะชอบอยู่กับเศรษฐีก็ได้ แม้ไม่ได้บินไกล แต่ก็มีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์”

“ถ้าฉันให้ท่านไปเป็นทาสเศรษฐี มีอาหารอุดมสมบูรณ์แต่ไม่มีอิสระจะไปที่ใด ท่านจะเอาไหมละ” กัณหาย้อนถาม 

ช่วงชะงักนิ่งไปสักพัก เขาถอนใจแล้วไพล่พูดไปอีกเรื่องว่า “แล้วท่านไม่ออกตามหาน้ำอมฤตแล้วหรือ คนเรือรออยู่นะ ถ้ามัวแต่ชักช้า เกิดพรุ่งนี้เขาไม่ว่างจะทำอย่างไร ท่านมัวแต่รอช่วยนก แล้วเป้าหมายในการเดินทางของท่านละ ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าเศรษฐีนั่นไปฟ้องขุนครามแล้วหรือยัง ถ้าเขาไปฟ้อง ขุนครามอาจมาตามหาท่านในเร็วๆนี้ก็ได้ แผนการเดินทางของท่านก็จะล่มสลายหมด” 

กัณหาไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้น แต่เธอรู้สึกว่าเธอไม่อาจไปจากที่นี่ได้ ถ้าทิ้งนกน้อยไว้ที่นี่ เธอรู้ดีว่าต้องรีบไปตามหาน้ำอมฤตก่อนพวกเขาจะเผาร่างแม่นม แต่เธอไม่แน่ใจว่าจะใช้เวลาอีกแค่ไหนกว่าจะกลับมาพบมัน แล้วกว่าเธอจะกลับมาที่นี่เจ้านกน้อยจะยังมีชีวิตอยู่ไหมนะ 

เสียงดังโครมครามมาจากประตูวิหารด้านนอก เสียงฝีเท้าหนักๆวิ่งขึ้นมาจนถึงบริเวณวิหารที่พวกเขาอยู่ กัณหาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนั้น ช่วงรีบรั้งตัวเธอไว้ด้านหลังเขา แล้วจับด้ามดาบประจำกายที่ยังอยู่ในฝักเตรียมพร้อมต่อสู้

ขุนครามมาหรือ กัณหาคิดในใจ เธอรู้ว่าขุนครามไม่ทำอะไรเธอหรอก แต่โอกาสที่เธอจะได้ไปตามหาน้ำอมฤตคงเป็นศูนย์ถ้าเธอเจอเขา หรือเป็นนครบาล ถ้าเป็นอย่างหลัง เธอคงโดนนครบาลส่งไปให้กรมวังลงโทษ โทษฐานหลบออกจากเขตวังโดยพละการ

“เอ่อ ข้าเอง” เสียงเล็กๆดังขึ้นที่ประตูวิหาร แล้วร่างผอมบางคลุมด้วยผ้าซอมซ่อของแหวนก็ปรากฏกายขึ้นที่ประตูวิหาร มือข้างหนึ่งหิ้วถังอะไรบางอย่างที่มีผ้าคลุมมาด้วย “ข้าเข้าไปได้ไหม” 

“เจ้า!!!” ช่วงอุทานอย่างหงุดหงิด มือที่จับด้ามดาบค่อยผ่อนลง ก่อนที่ทั้งกัณหาและช่วงจะทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอย่างโล่งอก “มาเงียบๆไม่ได้หรือไง ส่งเสียงดังแบบนี้เป็นขโมยได้ไงนะ” 

“เป็นได้สิ” แหวนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “แต๊นแตน…”

แหวนชูสิ่งที่หล่อนหิ้วไว้ในมืออีกข้าง พร้อมดึงผ้าที่คลุมมันออกด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในตัวเองมาก สิ่งที่แหวนหิ้วมาคือกรงนกขนาดใหญ่สีทอง ภายในมีนกตัวสีเหลืองทองสลับน้ำตาลนอนฟุบอยู่ที่ฐานกรง ลำตัวมันบางส่วนถูกพันด้วยผ้าสีขาว เหมือนคลุมบริเวณที่มันบาดเจ็บ 

“นกน้อย” กัณหาอุทาน วิ่งไปรับกรงนั้นมาอุ้มไว้ “นกน้อย เธอได้ยินฉันไหม” 

นกสีทองลืมตาสีทองของมันมองดูกัณหา นัยน์ตาของมันขุ่นมัว ดูเหมือนมันป่วยหนัก มันมองเธออยู่สักพักก็หลับตาลง กัณหาเอานิ้วลูบตัวมันอย่างสงสาร 

“ข้าได้ยินชาวบ้านคุยกันเรื่อง ไอ้แก่ทองใบจับนกสีทองได้” แหวนพูดอายๆ “ข้าแน่ใจว่ามันต้องเป็นนกของท่าน  ข้าแอบเห็นตอนท่านไปหามันเมื่อเช้า ข้าแน่ใจว่าท่านกำลังจะไปขอนกคืน” 

“แล้วเจ้าไปเอานกมายังไง” ช่วงถาม เพ่งมองไปที่กรงอย่างไม่สบายใจ “อย่าบอกนะว่า…”

“มันเป็นนกของคุณหนูนี่ ข้าเอามาคืนให้ ไม่เรียกว่าขโมยหรอก” แหวนคิ้วมุ่นทำท่างอน “ข้าแค่ไปเอามันมาให้ท่าน”

“แล้วมีใครเห็นไหมเนี่ย” ช่วงว่าด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ถ้าทองใบรู้…”

“ไม่มีใครรู้หรอก” แหวนบอก “ท่านได้นกแล้ว ก็รีบไปจากที่นี่เถอะ ตอนนี้ไอ้แก่ทองใบอาจจะยังไม่รู้ แต่สักพักมันต้องรู้แน่ว่านกหาย ทีนี้มันต้องออกตามล่าท่านแน่ รีบไปเร็ว ออกไปจากตลาดน้ำนี้ด่วนเลย”

“ใช่” ช่วงเห็นด้วยกับแหวนเป็นครั้งแรก “ไปตอนนี้เลย” พูดแล้วเขาก็รีบลุกขึ้นทันที

“แล้วแหวนละ” กัณหาถาม มองไปทางแหวนอย่างไม่แน่ใจ “ถ้าเศรษฐีทองใบรู้ว่านกหาย เขาจะรู้ไหมว่าแหวนเป็นคนขโมยมา”

“ไม่ต้องห่วง คุณหนู ข้าเอาตัวรอดได้ แค่ท่านช่วยไถ่ตัวแม่ของข้าก็ถือเป็นพระคุณแก่ข้าอย่างมากแล้ว” แหวนจับมือของกัณหาไว้ท้างสองข้าง “ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพนะ ขอให้ท่านพบน้ำอมฤตนั่นสมปรารถนา และนำมันมาให้แม่นมของท่านได้สำเร็จ”

“โอ้ย เร็ว ไม่ต้องร่ำลากันมากแล้ว” ช่วงเร่งอย่างหงุดหงิด กัณหายิ้มแล้วรีบตามเขาออกไป แต่ไปได้ไม่ทันไร รอยยิ้มของเธอก็หุบลงทันที

“นั่นไง ซวยแล้ว” ช่วงสรุปสถานการณ์ตรงหน้าให้ฟังได้ในหนึ่งวินาที