ที่ลานดินตรงหน้าวิหารนั่น มีชายฉกรรจ์จำนวนมากยืนอยู่ตรงนั้น คนที่ยืนตรงกลางสุดคือ คนที่กัณหาไม่นึกอยากเจออีกในชีวิต นั่นคือ เศรษฐีทองใบ พุงพลุ้ยของเศรษฐีทองใบเห็นได้ชัดแม้จะแวดล้อมด้วยชายหนุ่มมากมาย ข้างกายเขาคือ หญิงวัยกลางคนในชุดมอซอ สีหน้าหวาดกลัวสุดขีด นางนิ่มนั่นเอง หล่อนถูกมัดมือมัดเท้าด้วยเชือก และมัดปากด้วยผ้าผืนใหญ่

“แม่!!!” เสียงแหวนอุทาน ดังขึ้นข้างตัวกัณหา แหวนกำลังจะวิ่งไปหานางนิ่ม แต่ช่วงยกมือเข้ามาขวาง นางนิ่มดิ้นรน ส่ายหน้าห้ามไม่ให้แหวนเข้าไปหางนาง

“ข้าว่าละเชียว ว่าพวกมันต้องมารวมหัวกันที่นี่” เศรษฐีทองใบหัวเราะชอบใจ เสียงหัวเราะที่ฟังเหมือนเสียงฟ้าร้องอย่างไรชอบกล “อีนังขี้ขโมย คุณหนูกำมะลอ และทหารขี้กาก ช่างเป็นก๊วนที่เหมาะสมกันดีเสียจริง ฮ่ะฮ่า ข้าว่าแล้วเชียว ว่าท่าทีพวกเจ้าแต่ละคนมันแปลกๆ สุดท้ายมันก็พวกเดียวกัน ริอ่านจะมาต้มตุ๋นข้ารึ รู้จักข้าน้อยเกินไป”

“ปล่อยแม่ข้านะ” แหวนตะโกนอย่างโกรธแค้น “แม่ข้าเกี่ยวอะไรด้วย” 

“เกี่ยวอะไรด้วยงั้นรึ ข้าจะว่าอย่างไรดีละ…” เศรษฐีทองใบว่า แล้วแกล้งทำเป็นเดินรอบๆนางนิ่ม

“พวกมันมียี่สิบ เรามีสาม” ช่วงกระซิบกับ “ไม่มีทางสู้ได้แน่ ต้องเบี่ยงเบนความสนใจพวกมันแล้วหนี”

“ยังไง” กัณหาถามด้วยเสียงเบายิ่งกว่า ตั้งแต่เกิดมาเธอเคยเบี่ยงเบนความสนใจซะที่ไหนเล่า 

ช่วงยังไม่ทันพูดอะไร แต่เศรษฐีทองใบเหมือนรู้ว่าเขาเตรียมหลบหนี เขาพยักพเยิดให้ชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง เขาชักดาบออกมาและพาดอยู่ที่คอของนางนิ่ม 

“ใครขยับแม้แต่แอ๊ะเดียว นางนี่ตาย” ทองใบว่า ยิ้มอย่างเลือดเย็น “โดยเฉพาะเอ็ง อีแหวน” 

พวกเขาไม่มีใครกล้าขยับ เศรษฐีทองใบพยักพเยิดให้ชายหลายคนเอาเชือกมามัดที่ข้อมือของกัณหา แหวน และช่วง พร้อมบังคับให้พวกเขาคุกเข่าลง ส่วนตัวเขาเองก็มาคว้ากรงนกสีทองไปจากมือกัณหา

“ข้าชักอยากรู้แล้วเหมือนกันนะ ว่าเอ็งใช่ลูกสาว ขุนครามจริงรึเปล่า” เขาหัวเราะแถมท้าย เมื่อได้กรงนกไปไว้ในมือ “สงสัยคงต้องเชิญขุนครามมาจัดการลูกสาวเสียแล้ว”

 

 

เปลวไฟลุกโชติช่วงอยู่บนคบเพลิงที่หน้าเล้าไก่ที่กลายเป็นคุกสำหรับกักขังพวกเขาในคืนนี้ กัณหา แหวน และนางนิ่ม ถูกขังไว้ในเล้าไก่ที่แยกออกมาจากเรือน ส่วนช่วงถูกแยกออกไปขังอีกที่หนึ่ง ซึ่งกัณหาก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด หญิงที่เป็นทาสในเรือนของเศรษฐีทองใบแอบเข้ามาส่งอาหารให้พวกเขาผ่านทางลูกกรงเล้าไก่ นางดูรู้จักคุ้นเคยกับนางนิ่มเป็นอย่างดี

“รีบๆกินนะ กินเสร็จ เอาฟางกลบใบตองพวกนี้ไว้ สักประเดี๋ยวข้าจะมาเก็บเอง”

“ขอบใจมากนะพี่” นางนิ่มยกมือไหว้ท่วมหัว “ไม่งั้นข้ากับลูกคงแย่แน่”

“อือ” หล่อนว่าแล้วรีบลุกจากไป และแอบส่งห่อใบตองอีกห่อให้ชายหนุ่มผู้คุมหน้าเล้าไก่เป็นสินบน

 

“รีบกินเถอะเจ้าค่ะ คุณหนู” นางนิ่มว่า ส่งห่อใบตองที่เดาว่าน่าจะมีข้าวอยู่ข้างในให้กัณหา “ถ้าท่านเศรษฐีลงมาเห็น เราจะลำบาก” พูดเสร็จก็หันไปส่งข้าวอีกห่อให้กับแหวน

“ไหนท่านว่า ท่านเป็นลูกสาวของขุนครามไง” แหวนเอ่ยขึ้นมา หลังจากรับห่อข้าวมากิน “ไหงเป็นแบบนี้ สรุปคือ ท่านเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาแถวนี้เรอะ เห็นท่าทีนึกว่าผู้ดีเสียอีก”

“ฉันไม่ใช่ลูกสาวของขุนครามหรอก” กัณหายอมรับสารภาพ “ช่วงแต่งเรื่องขึ้นมา เพื่อแอบอ้างให้เศรษฐีเกรงใจ จะได้ทำอะไรได้ง่ายๆ”

“โธ่ แล้วก็ไม่บอกกันก่อน” แหวนว่าให้อย่างหงุดหงิด “ไอ้เราก็หลงเชื่อไปซะละ”

“ถึงท่านจะไม่ใช่ลูกของคุณคราม แต่ก็น่าจะเป็นลูกของผู้ดีมีตระกูล” นางนิ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยน

“อะไรทำให้แม่นิ่มเชื่ออย่างนั้น” ร่างเล็กๆถามอย่างแปลกใจ 

“กิริยาท่าทางของท่านมันบอก ท่านอายุน้อยว่าอีแหวนมาก แต่กิริยาดูสุภาพ ไม่กระโตกกระตาก แม้ในเวลายากเข็ญเช่นนี้ ท่านก็ยังดูสงบนิ่ง บ่งบอกว่าได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี”

“โถ่ แม่ นี่แม่ด่าข้าทำไมเนี่ย” แหวนว่าให้อย่างหงุดหงิด

“ข้าไม่ได้ด่า ข้าเพียงแต่บอกเอ็ง ไม่เคยได้ยินรึ สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ทั้งคำพูดคำจาและท่าทีของท่านบอกชัดว่าเป็นลูกผู้ดี”

“สำนวนบ้าบออะไร เก็บไว้เถอะ” แหวนมองมาทางกัณหาอย่างหงุดหงิด “แล้วทีนี้ทำไง จะแอบอ้างอะไรไม่แอบ ไปแอบอ้างเป็นลูกสาวขุนนาง ถ้าตาแก่นั่นตามขุนนางนั่นมาจริง พวกเราได้..” แหวนทำท่ายกมือขึ้นมาปาดคอ

“ฉันเป็นลูกสาวของพระอุปราชแห่งอยุธยา” กัณหาตอบ “ขุนครามเป็นราชองครักษ์ ฉันหมายถึงเป็นทหารของพระอุปราช เขาไม่ทำร้ายฉันหรอก”

“ลูกสาวพระอุปราชรึ” แหวนว่าตั้งต้นหัวเราะจนตัวงอ “ถ้าเจ้าเป็นลูกสาวพระอุปราชจริง ข้าก็คงเป็นลูกขุนนางสินะ เวลาแบบนี้ยังจะมาโกหกอีก”

กัณหานิ่งไปไม่ตอบ แหวนหัวเราะไปสักพัก เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของเด็กหญิง หล่อนก็เริ่มนิ่งแล้วลุกขึ้นนั่งคุกเข่า มองเธอด้วยดวงตาสีน้ำตาลกลมโต

“พูดจริงเหรอ ท่านเป็น… จริงๆเหรอ”

“ใช่” กัณหารับคำ

“แล้วทำไมไม่บอกไอ้แก่นั้นไปละ ว่าท่านเป็นลูกอุปราช ดีไม่ดีได้ขึ้นเสลี่ยงส่งถึงวังแน่”

“เมื่อเริ่มต้นด้วยคำโป้ปดมดเท็จ คำพูดต่อจากนั้นก็หมดความน่าเชื่อถือ” กัณหาส่ายหน้า “แม้แต่เธอเองตอนแรกก็ไม่เชื่อไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าท่านเป็นลูกอุปราชจริง แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่ละ ท่านไม่ต้องอยู่ในวังเหรอ จะซื้อของอะไรไม่มีคนใช้เหรอ ทำไมต้องมาซื้อเอง”  หญิงสาวได้ทีก็ซักไม่หยุดปาก หล่อนยังคงมองกัณหาไม่วางตา

“ก็อย่างที่ฉันเคยบอกไปไง แม่นมฉันตาย ฉันจึงหนีออกจากวังมาตามหาน้ำอมฤทธิ์ เพื่อไปชุบชีวิตแม่นมกลับมา” กัณหาทวนเรื่องที่เธอเคยเล่าให้ฟังไป “และถ้าเราเจอขุนคราม เราอาจไม่ถูกลงโทษก็จริง แต่ฉันก็ถูกจับกลับเข้าวังเหมือนเดิม และคงไม่อาจหนีออกมาตามหาน้ำอมฤทธิ์ได้อีก”

“ท่านเป็นห่วงแต่คนตาย แล้วพ่อแม่ท่านละ” นางนิ่มแย้งขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน “พระอุปราชจะไม่เป็นห่วงท่านแย่เหรอ ลูกสาวหายไปตั้งหลายวัน ท่านจะกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือไม่ มัวแต่ตามหาท่านอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้ ทำไมท่านไม่คิดถึงจุดนี้เลย”

“แม่ฉันตายแล้ว ส่วนพระอุปราชคงไม่ใส่ใจฉันหรอก” กัณหาตอบนางนิ่มอย่างใจเย็น “ฉันเป็นลูกเมียน้อย ที่เขาก็ไม่ได้อยากให้เกิดมาซะหน่อย มีแต่คนบอกว่าฉันเกิดมาเป็นรอยด่างพร้อยในชีวิตเขา ถึงฉันจะเป็นจะตายยังไงเขาคงไม่สนใจหรอก เขาสนใจแต่จะขังฉันไว้ในวัง ไม่ให้ไปก่อเรื่องไว้ที่ไหน”

“เวลาท่านอยู่กับพระอุปราช ท่านเรียกพระอุปราชว่าไง” นางนิ่มถามแทรกขึ้นมาอย่างสนใจ

“เรียกเสด็จพ่อไง” อีกฝ่ายตอบอย่างงุนงง จะถามทำไม จู่ๆเกิดอยากรู้ราชาศัพท์ขึ้นมางั้นหรือ

“งั้นก็แปลว่า พระอุปราชก็รับว่าท่านเป็นลูกอยู่สินะ” นางนิ่มยิ้ม ตอบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยของสองสาวอย่างอ่อนโยน “ถ้าไม่รับเป็นลูก ทำไมให้เรียกเขาว่าพ่อละ นางคนอื่นๆในวัง เรียกพระอุปราชว่า เสด็จพ่อ อย่างท่านได้รึ”

“แค่ให้เรียกว่าพ่อ ก็ถือว่า ทำหน้าที่พ่อแล้วหรือไง” แหวนคัดค้าน “ดูอย่างพ่อข้าสิ นอกจากให้ข้าเรียกว่าพ่อแล้ว ไม่เคยใส่ใจ แยแสข้าสักอย่าง นับตั้งแต่วันที่ตีข้าที่ตลาดนั่น ก็หายหัวไปไหนไม่รู้”

“พ่อเอ็งมันเป็นคนธรรมดา อีแหวน” นางนิ่มมองอย่างเอือมระอา “พวกผู้มียศศักดิ์เขาค่อนข้างถือ ถ้าไม่นับเป็นลูก เขาไม่ให้เรียกหรอก จะว่าว่าเขาไม่ใส่ใจท่านเลย ข้าก็ไม่เชื่อหรอก ท่านรักแม่นมมาก ท่าทางท่านก็บ่งชัดว่าได้รับการอบรมเป็นอย่างดี ข้าเดาว่าคนที่อบรมสั่งสอนท่านน่าจะเป็นแม่นมใช่ไหม” 

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความใส่ใจของพระอุปราชด้วยละ” แหวนถามในสิ่งเดียวกับที่กัณหาสงสัยพอดี

“แกมันไม่รู้อะไร หญิงที่จะไปเป็นแม่นมได้ ต้องได้รับการเลือกเฟ้นอย่างดี ไม่ใช่แค่มีนมให้เด็กกินก็เป็นได้” นางนิ่มว่า “แม่นมคนที่ดูแลท่านมา คงจะรักและใส่ใจท่านมาก ท่านถึงยังรักยังคิดถึงนางแม้ตายจากไปแล้ว มิหนำซ้ำนางจะต้องเป็นผู้ดี  จิตใจมีเมตตา ถึงได้อบรมท่านให้เป็นผู้ดีและมีจิตใจเมตตาได้ถึงเพียงนี้ นั่นก็บ่งบอกว่า พระอุปราชท่านใส่ใจเลือกสรรคนอย่างไรให้มาดูแลลูกของท่าน ไม่ใช่แค่หาคนมาเลี้ยงทิ้งๆขว้างๆแน่นอน” 

กัณหามองอย่างไม่เข้าใจ เธอนึกไม่ออกว่าการหาแม่นมที่ดีให้เธอมันบ่งบอกว่า พระอุปราชใส่ใจเธออย่างไร ดูเหมือนแหวนก็ไม่เข้าใจเมือนกัน แต่ก็นั่นแหละ นี่ยังไม่ใช่เวลามาเถียงกันว่าพระอุปราชจะเป็นห่วงเป็นใยกัณหาแค่ไหน ตอนนี้สิ่งสำคัญคือ ต้องหาทางหนีจากที่นี่ก่อนที่เศรษฐีจะไปเชิญขุนครามหรือนครบาลมา

“เรื่องนั่นเอาไว้ก่อนเถอะ เรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะออกไปจากที่นี่ยังไง” กัณหาตัดบท “ขืนรออยู่ในนี้ ถ้าเจอขุนครามก็ดีไป แต่ถ้าเป็นนครบาลมา โดนตัดมือกันหมดแน่”

“กะอีแค่ เล้าไก่นี่ขังข้าไม่ได้หรอก ไม่ต้องห่วง” แหวนยิ้มอย่างมีเล่ศนัย แล้วก็ล้วงมือเข้าไปที่ผ้าผูกเอว ก่อนหยิบปิ่นปักผมสีเงินอันเล็กๆออกมา

“นี่อะไร” กัณหามองอย่างสงสัย นางนิ่มก็เช่นกัน

“ข้าเพิ่งเรียนมาไม่กี่วันมานี้ ไม่นึกว่าจะได้ใช้ เขาเรียกว่า กลเม็ดเด็ดของขโมย”รอยยิ้มกริ่มผุดพรายทั้งดวงหน้ามอมแมมนั้น ท่ามกลางสายตาแปลกใจของผู้ฟัง  “แค่เอาปิ่นนี้สอด ข้าก็เปิดกุญแจที่ปิดไว้หน้าเล้าไก่ได้ละ แล้วเดี๋ยวเราก็พากันออกไป”

“แล้วทำไมไม่ทำเลย รออะไร จะรอให้เศรษฐีไปตามพวกนครบาลมาก่อนรึ” กัณหาแปลกใจ

“โถ่ มีสมองหน่อยสิท่าน พวกมันมีคนเยอะกว่า ออกไปตอนนี้ก็โดนจับนะสิ รอดึกกว่านี้ก่อน ตอนที่ทุกคนหลับหมดค่อยออกไป” อีกฝ่ายบ่นอย่างอารมณ์ดีแล้วล้มตัวลงนอน  “พวกมันไม่กล้าไปตามนครบาลตอนนี้หรอก กว่าพวกมันจะจับเรามาได้ก็เย็นแล้ว ขืนไปตามพวกนครบาลตอนเย็นย่ำขนาดนี้  พวกมันก็ด่าเปิงกันพอดี พวกนครบาลขี้เกียจจะตาย ยิ่งจะไปตามขุนนางอื่นๆยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ มันต้องรอพรุ่งนี้เช้าถึงจะจับเราไปส่งได้”

“เอ็งไปเรียนวิชาอะไรมา เรียนจากใคร ตาเฒ่านั่นสินะ” นางนิ่มมองตาเขียวใส่ลูกสาว “ช่างหาแต่เรื่องชั่วๆมาสอนลูกข้า ข้าออกไปได้เมื่อไหร่ จะไปจัดการ”

“วิชาชั่วไม่ชั่วอยู่ที่คนนำไปใช้ ไม่ได้อยู่ที่วิชา” แหวนเถียงทันควัน “ข้าเอามาช่วยเราหลบหนี ไม่ได้เอาไปขโมยสักหน่อย”

“ถ้าแค่รอคนหลับ ไม่ต้องรอหรอก ฉันมีวิธีที่ดีกว่า” กัณหาล้วงเข้าไปที่ผ้าพันเอว หยิบตลับเล็กๆออกมาเปิด ภายในมีเมล็ดพืชแห้งเต็มไปหมด 

“นี่อะไร” สองแม่ลูกถามพร้อมกัน 

“เมล็ดของต้นลืมตื่น” กัณหาหยิบเมล็ดพืชให้คนทั้งคู่ดู “มีกลิ่นหอมมาก ใช้ดมแก้วิงเวียน ทำให้หลับง่าย แต่ถ้าเอาไปผสมน้ำดื่มจะกลายยานอนหลับชั้นดี แม่นมฉันชอบพกเอาไว้ดม เพราะท่านเวียนหัวบ่อยๆก่อนจะตาย ท่านบอกว่ามันช่วยบรรเทาอาการได้ดี”

“โห สุดยอด”

“ที่เราต้องการคือขอเพื่อนแม่นิ่ม เอามันไปผสมในน้ำแจกให้ทุกคนดื่ม รอประมาณครึ่งชั่วยามก็ได้ผล” 

“ไม่มีปัญหาเจ้าคะ” แม่นิ่มยิ้มรับคำ