“หากแม่นมไม่อยู่แล้ว คุณจะอยู่คนเดียวได้ไหมเจ้าค่ะ” 

               คำถามที่จนถึงบัดนี้ก็ยังคงไม่มีคำตอบจากกัณหา เด็กหญิงผู้นั่งสะอื้นเบาๆอยู่เพียงลำพังด้านหน้าศาลาวัดเล็กๆแห่งหนึ่ง คำถามนี้ออกมาจากปากของแม่นมเจ้าของร่างไร้วิญญาณที่นอนเหยียดยาวอยู่ภายในศาลา ในวันสุดท้ายของชีวิต บัดนี้ร่างของท่านรายล้อมไปด้วยหญิงสาวที่กำลังจัดแต่งเสื้อผ้าและแต่งหน้าให้กับร่างนั้นอย่างสวยงามเป็นครั้งสุดท้าย กัณหาได้แต่นั่งมองร่างนั้นอย่างอาลัย ไม่อาจทำใจได้ที่ต่อไปนี้เธอไม่อาจคุยหรือกอดกับเจ้าของร่างนั้นอีกแล้ว เธอนั่งมองร่างนั้นนานนับชั่วโมงโดยไม่พูดอะไรจนกระทั่งเสียงหนึ่งดังแหวกความเงียบมา


              “ใกล้ถึงเวลาต้องกลับวังแล้วค่ะ คุณ” เสียงนางกำนัลมาเร่งรัดอยู่ไม่ห่างจากตัวเธอนัก


              “ขอเวลาอีกสักประเดี๋ยวไม่ได้เหรอ” กัณหาถามนางกำนัลคนนั้น


              “มิได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวประตูวังจะปิดเสียก่อน” หล่อนขึ้นเสียงขึ้นเล็กน้อย “ถ้าคุณมัวแต่ชักช้าเราจะได้นอนที่ท่าเรือนะเจ้าค่ะ”


               กัณหาหันไปมองร่างนั้นเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสีหน้าเศร้าหมอง แม้แต่จะขอเวลาอยู่กับร่างของแม่นมสักพักก็ยังถูกขัดขวาง แต่อย่างที่นางกำนัลว่าถ้าขืนชักช้าเธอกับหล่อนคงต้องนอนเฝ้าท่าน้ำเป็นแน่ เพราะคนในวังคงจะปิดประตูไม่ให้เข้าไปในเขตวัง คงไม่มีใครใจดียืนรอจนกระทั่งเธอกลับถึงวังหรอก


               “เร็วเจ้าค่ะ รอไม่ได้แล้ว” นางกำนัลเร่ง


                เมื่อคิดได้ดังนั้น กัณหาหันหลังออกจากศาลาวัด ก่อนจะลงเรือเพื่อเดินทางกลับมาวังหน้าของพระอุปราชคนสำคัญแห่งอยุธยา เรือพายมาหยุดที่ท่าน้ำของวัง โดยธรรมดาหากพระอุปราช พระชายา หรือพระโอรสและธิดาทั้งสองเสด็จกลับมาถึงท่านี้จะมีคนถือโคมไฟมารับ แต่กัณหาไม่ถูกนับรวมในกรณีนี้ เมื่อมาถึงท่า เธอรีบลุกขึ้นและเดินผ่านกำแพงประตูวังต่อไปถึงเรือนผ่านทาง “ทางลัด” ที่พวกนางกำนัลชอบใช้โดยไม่รอใครแม้แต่เหล่านางกำนัลที่ตามมา เธอรู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องรอพวกนาง เพราะยังไงพวกนางก็คงไม่เดินไปส่งเธอเหมือนที่เดินไปส่งโอรสและธิดาทั้งสองของพระอุปราชหรอก


                 คนภายนอกวังเมื่อเห็นสภาพของกัณหาคงไม่มีใครเชื่อว่าเธอคือ พระธิดาองค์หนึ่งของพระอุปราชผู้เป็นเจ้าของวังอันงดงามแห่งนี้ แต่นั่นเป็นเรื่องจริง เรื่องจริงที่คนในวังพยายามปกปิด พยายามทำเหมือนว่าเด็กคนนี้ไม่มีตัวตน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะกำเนิดของเด็กคนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องการ แม้แต่พระอุปราชผู้เป็นบิดาของเธอ


                 พระอุปราชแห่งอยุธยา บุรุษผู้เพียบพร้อมในทุกด้าน มีพระชายาทั้งคู่ควร โอรสและธิดาที่น่ารัก แต่ความโชคร้ายก็มาเยือน เมื่อพระอุปราชโดนนางทาสคนหนึ่งในวังทำเสน่ห์จนพระองค์หลงนางอย่างไม่ลืมหูลืมตา ถึงขั้นสั่งขังพระชายา พระโอรส และพระธิดา กษัตริย์แห่งอยุธยาต้องวุ่นวายหาคนมาแก้มนต์เสน่ห์จนสำเร็จ และสั่งให้จับนางทาสไปขังไว้ เมื่อพระอุปราชทรงฟื้นคืนพระสติ พระองค์รีบเสด็จกลับไปหาพระชายาทันที เหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะจบลงด้วยดี คนผิดควรถูกลงโทษอย่างสาสม เสียเพียงแต่ว่า นางทาสผู้นั้นได้ตายไปเสียก่อนจะได้รับโทษอันใด ก่อนตายนางได้ให้กำเนิดเด็กทารกในห้องขัง ทิ้งเด็กน้อยไว้ให้นอนรอรับโทษทัณฑ์แทน
นั่นเองคือจุดเริ่มต้นชีวิตของกัณหา เด็กหญิงที่ไม่ได้มีใครอยากได้ แม้แต่บิดาของเธอ ผู้ตั้งชื่อนี้ให้กับเธอ ชื่อที่มีความหมายว่า “ดำ” ไม่มีใครกล้าออกความเห็นว่าเพราะเหตุใดเธอจึงได้ชื่อนี้ ผู้เดียวที่คอยเลี้ยงดูและเอาใจใส่เด็กน้อยผู้นี้มาตลอดคือแม่นมจัน แม่หม้ายผัวตายที่พระอุปราชหามาเลี้ยงดูเธอ นอกจากแม่นมจันแล้ว ไม่มีผู้ใดอยากเข้ามาใกล้ชิดหรือมาดูแลเด็กน้อยผู้นี้เลย ทุกคนในวังเรียกเธอว่า “คุณหรือคุณท่าน” ไม่เรียกพระธิดาและปฏิบัติต่อเธอก้ำกึ่งระหว่างนางกำนัลและพระธิดาของอุปราช ทั้งชีวิตของกัณหามีเพียงแม่นมจันคอยเป็นห่วงเป็นใย มีแม่นมจันใส่ใจดูแลเธอทุกอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า มีแม่นมจันเป็นโลกทั้งใบของเธอ แล้วบัดนี้ท่านจากกัณหาไปแล้ว เด็กน้อยรู้สึกว่า โลกทั้งใบของเธอได้ถล่มทลายลง


                “แล้วฉันจะอยู่ได้อย่างไรนะ” กัณหาเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน


                “คุณต้องอยู่ต่อให้ได้ อยู่ต่อไปเพื่อแม่นม” คำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของนางก่อนจะหมดลมหายใจ


                แล้วจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไรเล่า หากเธอต้องอยู่เพียงลำพังในโลกใบนี้  


               กัณหายกมือซับน้ำตาขณะเดินกลับเรือน ร่างเล็กๆผอมบางของเธอสั่นสะท้านตามแรงสะอื้น ผิวขาวราวกระดาษต้องแสงไฟจากคบไฟข้างทาง ผมสีดำของเธอถูกมัดเป็นจุกอยู่บนกระหม่อม จุกที่แม่นมเคยมัดให้เธอทุกวัน


              “ต่อไปคุณต้องหัดมัดเองแล้วนะเจ้าค่ะ” เสียงของแม่นมยังลอยมาตามสายลม ราวกับท่านอยู่แถวนี้ระหว่างที่เธอเดินผ่าน


               กัณหาเดินมาจนถึงเรือนทรงไทยหลังเล็กที่แวดล้อมไปด้วยสวนต้นไม้และดอกไม้ ทุกคนที่นี่เรียกมันว่าเรือนแม้ว่ามันจะเป็นที่ประทับของพระธิดาอีกองค์ของพระอุปราชก็ตาม แต่ก็อย่างว่าแหละ ก็ใช่ว่าทุกคนจะคิดว่าเธอเป็นพระธิดาของพระอุปราชนี่นา ที่เรือนนี้มีคนอยู่อาศัยเพียงสองคนคือเธอกับแม่นมจัน จะมีนางกำนัลขึ้นมาทำความสะอาดบ้างในตอนกลางวันหรือยกสำรับอาหารมาให้เมื่อถึงเวลาอาหาร นอกนั้นก็แทบไม่มีใครผ่านมารอบเรือนนี้ ทุกคนดูเว้นว่างจากเรือนนี้ราวกับคนที่อยู่ที่เรือนนี้นั้นเป็นตัวเชื้อโรคร้ายที่ต้องรักษาระยะห่าง แม้ในวังจะมีเด็กอีกหลายคน แต่กัณหากับไม่มีเพื่อนเลย เหตุเพราะคนในวังไม่ยอมให้ลูกหลานของตนมาเล่นกับเธอ รวมถึงพี่น้องต่างมารดาของเธอด้วย กัณหาจึงเล่นกับแม่นม ต้นไม้ ใบหญ้า ในวังเป็นส่วนใหญ่ อันที่จริงแล้วในวังนี้มีเพียงแม่นมคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ชะงักเมื่อเห็นเธอ

 

                พระอุปราช พระชายา และโอรสธิดาประทับอยู่ที่ตำหนักไม้หลังใหญ่ที่กลางวัง ที่นั่นมีนางกำนัลมากมายแถมยังตกแต่งอย่างสวยงาม กัณหาไม่เคยขึ้นไปนอนที่นั่น เคยแต่ขึ้นไปเวลามีรับสั่งของพระอุปราชให้ไปหาเป็นครั้งคราว เมื่อหมดธุระเธอจะรีบกลับลงมาทันที ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ เธอจะไม่กล้าย่างกายไปที่นั่นเด็ดขาด เพราะเมื่อเธอไปที่นั่นทีไรมักจะเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ของพระชายาผู้ที่ประทับอยู่ที่นั่นตลอดวัน 
นอกจากท่าทีที่ไม่เป็นมิตรของพระชายาแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่เธอไม่อยากไปที่ตำหนักใหญ่ก็คือ ไม่อยากพบกับพี่สาวต่างมารดาของเธอ พระศิริกัลยา พระธิดาอีกองค์ของพระอุปราชซึ่งอายุมากกว่ากัณหาราวปีเศษ แม้พระชายาจะมีสายตารังเกียจเดียดฉันท์กัณหา แต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีออกมาชัดเจน และโปรดมากกว่าถ้าเธออยู่ให้ห่างจากสายตา ต่างกับพระศิริกัลยา ที่คอยหาทางกลั่นแกล้งล้อเลียนหรือเย้ยหยันทุกครั้งที่มีโอกาส แม้ว่าพระชายาจะห้ามปรามและไม่อนุญาตให้มาเล่นแถวๆเรือนของกัณหาก็ตาม แต่บ่อยครั้งกัณหาก็ยังเห็นหล่อนมาด้อมๆมองๆรอบเรือนของเธออยู่เสมอ
วันนี้ก็เช่นกัน กัณหานึกเหนื่อยใจเมื่อเห็นใบหน้าล้อเลียนเย้ยหยันของพระศิริกัลยาอยู่ที่บันไดทางขึ้นเรือนของเธอ แวดล้อมไปด้วยเหล่าบรรดานางกำนัลที่ถือโคมไฟจุดส่องสว่างทางเดิน


               “จุดไฟมากๆ ระวังพระชายาจะรู้ว่าท่านลงมาวนเวียนอยู่แถวนี้” กัณหาบอกเดินผ่านไปไม่อยากแม้แต่ทักทายอีกฝ่าย


               “เสด็จแม่ไม่ทรงรู้หรอก” น้ำเสียงเยาะๆตอบกลับมา “ว่าแต่เจ้าไปไหนมาละกัณหา กลับมาเสียค่ำเชียว”


               “งานศพ แม่นมไง ไม่รู้รึ” กัณหาบอก “หลีก!!!” 


               เหล่านางกำนัลที่แวดล้อมอยู่นั่นพากันยิ้มเย้ยหยัน เช่นดียวกับพระศิริกัลยาที่ยังคงยืนยิ้มอยู่ที่กลางบันไดขั้นแรก ไม่มีใครสักคนโศกเศร้าหรือเห็นใจในความสูญเสียของเธอ ไม่มีใครสักคนเข้ามาปลอบเธอบอกว่าเธอต้องเข้มแข็ง


               “โถๆ น่าสงสารเสียจริง แม่คุณ” ศิริกัลยาทำหน้าสงสารแบบจอมปลอม “น่าสงสารเธอเหลือเกินนะ แม่ตายไม่ทันไร แม่นมก็มาตายจากไปเสียอีก โถโถ”


               “จะสงสาร เห็นใจ หรืออะไรก็ช่าง ฉันจะขึ้นเรือน หลีก!!! ถ้าไม่หลีก ฉันขึ้นเรือนไม่ได้ ฉันจะเดินไปตำหนักใหญ่ทูลพระชายานะว่าท่านมาที่เรือนนี้” 


               อีกฝ่ายชะงัก มีสีหน้าไม่พอใจหน่อยๆ ก่อนยอมขยับตัวออกจากกลางบันได ยังไม่วายแซะต่อว่า “แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อละ แม่คุณ นอนคนเดียวแบบนี้ ไม่กลัวผีตายห่ามาหลอกรึ โถโถน่ากลัวจริง”


               นางกำนัลที่แวดล้อมพากันหัวเราะเบาๆ  กัณหาเดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่สนใจ หากแม่นมยังอยู่ อย่าว่าแต่มายืนออกันหน้าเรือนเลย แค่พวกนางเห็นแม่นมมองมา พวกนางก็ตัวสั่นงันงกเสียแล้ว แต่ในเวลานี้ในเมื่อกัณหาเหลือตัวคนเดียว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปต่อล้อต่อเถียงกับพวกนาง แต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมหยุดและหันไปพูดกับเหล่านางกำนัลว่า “โถ ต่อไปคงต้องอยู่คนเดียว น่าสงสารยิ่งนัก เสด็จพ่อพยายามหาคนมาอยู่กับเธอ แต่จะไปใช้ใคร ก็ไม่มีใครยอมมาอยู่ด้วย โถโถ”


               “ขนาดพระอุปราชบอกว่าจะแถมรางวัลให้อย่างงามก็ยังไม่มีใครยอมมาเลยเพคะ” พวกนายว่าขี้ข้าพลอยเริ่มเสริมด้วย


               “อู้ น่าสงสารจริง ยังงี้คงต้องอยู่เรือนคนเดียวอีกนาน” ไม่ว่าเปล่ายังแบะปากเสริมให้เธออีก


               “ฉันอยู่คนเดียวได้” กัณหาหันไปตวาด รู้สึกหงุดหงิดนัก แม้รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามยั่วให้เธอโกรธก็ตาม แต่มันก็อดไม่ได้ 


               “ก็คงงั้นแหละ อยู่ไม่ได้ ก็คงต้องอยู่ให้ได้ ไม่งั้นก็คงต้องตรอมใจตายตามแม่นมไป” ศิริกัลยาพูดเยาะๆ “อ้าว แม่เธอก็เป็นพวกใช้พวกมนต์ดำไม่ใช้เหรอ ทำไมเธอไม่ลองใช้มนต์ดำปลุกแม่นมเธอขึ้นมารับใช้ต่อละ หรือไปตามหาน้ำอมฤตมาชุบชีวิตดีไหม จะได้ฟื้น”


                “ไร้สาระ” กัณหาว่า เดินขึ้นไปถึงชานเรือนด้านบนแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังอุตส่าห์เดินตามขึ้นมาเยาะเย้ยต่อ 


                “อ้าว เรื่องจริงนะ ไม่เคยได้ยินตำนานรึ เขาเล่าลือกันว่ามีน้ำอมฤตวิเศษอยู่บนเทือกเขาห่างไกล สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นกลับมาได้ ไม่เคยได้ยินรึ แน่ละ คนไม่อ่านตำรับตำราอย่างเธอ คงไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้ จะบอกให้เอาบุญนะ มีหลายตำนานแล้วกล่าวถึงน้ำอมฤตนี้ เคยมีคนได้ดื่มน้ำอมฤตนี้แล้วฟื้นขึ้นมาด้วย” ศิริกัลยาพูดด้วยท่าทีที่เหนือกว่า


                “แบบเดียวกับที่มีคนพูดว่าได้ไปเยือนป่าหิมพานต์มาสินะ” กัณหาพูดเยาะๆ เธอรู้ดีหรอกว่าศิริกัลยาแค่หาทางมาหลอกเธอเล่น พร้อมด่าเธอต่อว่าโง่เสียเต็มประดาที่เชื่อ เธอเคยเจอมุกนี้มาหลายครั้งแล้ว จนไม่นึกสนใจคำพูดของอีกฝ่าย 


               “ไม่เชื่อก็ตามใจ อยากโง่ก็เชิญ แต่จะว่าไปก็ดีนะ สงสารแม่นมถ้าต้องตื่นมารับใช้กาฝากอย่างเธอ แม่นมคงอยากไปสวรรค์มากกว่า” พูดจบก็สะบัดก้นหนีลงเรือนไป กัณหาได้แต่มองตาม เห็นขบวนสาวสรรกำนัลที่แวดล้อมเดินตามศิริกัลยาไป แสงไฟค่อยๆหรี่ลงตามพวกเขาก่อนจะหายลับไป


               ใครเชื่อคำพูดหล่อนก็โง่เต็มทน คิดในใจแล้วก็เดินเข้าไปในห้องพักของเธอ เธอเหนื่อยจนอยากจะล้มตัวลงนอนแล้วไม่ตื่นอีกเลย


               เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องพัก กัณหาก็ต้องตกลึงเมื่อมีนกประหลาดตัวใหญ่น่าจะขนาดพอๆกับไก่ตัวเล็กกำลังบินวนไปวนมาอยู่ในห้องของเธอ นกตัวนี้มีสีสันสวยงามมาก ลำตัวเป็นสีน้ำตาลแดงสลับเหลืองทอง ตัดกับจะงอยปากสีฟ้าสดใส แต่คางสีเขียวอย่างลงตัว มันคงดูงดงามมากถ้าเจอมันบินวนในสวนไม่ใช่บินวนในห้องอย่างสับสนงงงวยเช่นนี้  กัณหาทอดมองมันอย่างตกตะลึงไม่รู้จะทำอย่างไรสักพัก แล้วจู่ๆนกก็ทิ้งตัวลงบนเตียง 


              “เห้ย อย่าพึ่งตายนะ” กัณหาร้อง วิ่งเข้าไปดูมันอย่างตกใจ นกที่ทิ้งตัวลงบนเตียงลืมตาขึ้นมองเธอด้วยดวงตาที่ดูอ่อนล้า ก่อนเอ่ยขึ้นว่าเบาๆว่า “มนุษย์”
              “นกพูดได้” กัณหาชะงัก “ทำไมนกพูดได้ละ”


               นกตัวนั้นมองเธออย่างอ่อนล้าก่อนเอ่ยขึ้นเบาๆว่า “เมตตาข้าด้วยเถิด ข้าหลงทางมา ข้าขอน้ำมะม่วงน้ำดอกไม้กินสักหน่อยเถิด ข้าไม่ไหวแล้ว”