แสงอาทิตย์ลอดผ่านเงาใบไม้ลงมาแยงตา กัณหาค่อยๆลืมตาขึ้นในวันใหม่ เธอยังคงนอนอยู่บนเนินดินริมท้องนา แต่ตอนนี้เป็นช่วงสายๆ พระอาทิตย์ขึ้นสูงเหนือขอบท้องฟ้าแล้ว กัณหามองไปรอบๆเพื่อมองหาแหวน คนที่เธอพาหนีมาด้วยกันเมื่อวาน

           “มองหาเพื่อนนักขโมยของท่านอยู่รึ” เสียงนุ่มหูดังขึ้น กัณหาหันไปมองชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง ในชุดเสื้อผ้าและโจงกระเบนกระทัดรัดเหมาะแก่การบุกป่าผ่าดง นั่งอยู่บนคบไม้ไม่ห่างจากบริเวณที่เธอนอนมากนัก เมื่อเธอมองขึ้นไปเห็นเขา เขาก็กระโดดลงมาบนพื้นดิน

           “ท่านเป็นใคร” กัณหาถาม

           “ผู้หวังดีกับท่านนะสิ” ชายคนนั้นตอบ ยิ้มน้อยๆ กระโดดลงมายืนข้างๆเธอ

          “ผู้หวังดี” กัณหาทวนคำ พูดซะจนคนฟังนึกสงสัยว่าดูท่าจะเป็นพวกหวังไม่ค่อยดีมากกว่า “ท่านชื่ออะไรรึ”

          “เรียกข้าว่า ช่วง ก็แล้วกัน” เขาตอบแล้วก็พูดต่อทันทีว่า “ไม่ต้องแนะนำตัวหรอกว่าท่านเป็นใคร ข้ารู้ดี ท่านคือพระธิดาอีกองค์ของพระอุปราช ที่เกิดจากทาสในวังถูกรึไม่”

          “ทำไมท่านรู้” กัณหาถามอย่างตกตะลึง แล้วรีบผุดลุกขึ้นมาในทันทีทันใด “พระอุปราชให้ท่านมาจับฉันรึ”

          “จับ?” เขาทวนคำ ทำหน้าฉงนน้อยๆ “พระอุปราชเป็นบิดาของท่านไม่ใช่รึ ไม่น่าจะใช้คำว่าจับนะ แต่อย่างไรก็ตามท่านหญิงน้อย ข้าไม่ได้มาเพื่อจับท่าน”

         “แล้วท่านรู้จักฉันได้อย่างไรละ”

          “ข้าเป็นเคยเป็นทหารในวังหลวง ข้าเคยได้ยินเรื่องของท่านและเคยเห็นท่านมาก่อน ข้าจึงรู้ว่าท่านเป็นใคร และข้าคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะกับท่าน ท่านจงกลับไปอยู่ที่วังของท่านจะดีกว่า ข้าเชื่อว่าพวกเขาคงกำลังวุ่นวายตามหาท่านด้วยความเป็นห่วง ไม่ใช่คิดจะจับท่านหรอก” ช่วงบอกแล้วก็ยิ้มน้อยๆ “ท่านไร้เดียงสาเกินกว่าจะออกมาอยู่ในโลกแบบนี้”

          “ใช้คำว่าอะไรก็ความหมายเหมือนกันนั่นแหละ ก็คือตามฉันกลับไปขังที่วังสินะ” กัณหาตอบ มองไปรอบๆอย่างเศร้าใจที่แผนของเธอต้องทลายลงในเวลาไม่กี่วัน

          “ท่านไม่อยากกลับวังงั้นหรือ ทำไมละ มาหลบซ่อนในย่านตลาดน้ำจะสบายกว่าอยู่ในวังงั้นหรือ” ช่วงทอดมองเธออย่างสงสัย “กลับวังของท่านไปเถอะ ไม่พอใจอะไรก็ไปบอกพระบิดาของท่าน ต่อรองคุยกันดีๆประเดี๋ยวก็ได้ การหนีมาไม่ช่วยอะไร”

          “ฉันไม่ได้หนีมาเพื่อต่อรองพระบิดานะ” กัณหาประท้วงเสียงดัง “ฉันออกมาเพื่อจะตามหาน้ำอมฤตไปชุบชีวิตแม่นมที่ตายไปให้ได้” 

          “ตามหาน้ำอมฤต?”  ชายคนนั้นเพ่งมองเธออย่างประหลาดใจที่สุด “เพื่อชุบชีวิตคนตายงั้นหรือ”

         กัณหาบอกได้จากสายตาของเขา ว่าชายผู้นั้นคงดูสมเพชเวทนากัณหามากกว่าจะเชื่อเรื่องที่เธอพูด เขามองมาที่กัณหาด้วยสายตาที่อ่อนโยนลงก่อนเอ่ยขึ้นว่า “คนตายไปแล้ว ไม่ว่าจะใช้สิ่งใดก็ไม่อาจชุบชีวิตขึ้นมาได้หรอกท่านหญิง ของอาถรรพ์พวกนั้นมีแค่ในตำนาน ไม่ได้มีอยู่จริงๆ ความตายคือการลาจากกันอย่างถาวร”

          “แต่ถ้าฉันหาน้ำอมฤตเจอ เราก็อาจจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง” กัณหาตอบอย่างมั่นใจ

         “ถ้ามันมีจริงอย่างท่านว่า โลกก็คงไม่มีคนตายนะสิ” เขาแค่นหัวเราะ “อ้าว ถ้าท่านเชื่อว่ามันมีจริงท่านรู้รึว่ามันอยู่ที่ใด

         “ไม่รู้ ข้าถึงได้ออกมาตามหามันอย่างไรละ”

         “นั่นไง” อีกฝ่ายว่าราวกับรู้คำตอบอยู่แล้ว “เพราะมันไม่มีอยู่จริง”

         “ยังไม่ได้ออกค้นหา จะรู้ได้ไงว่าไม่มีอยู่จริง” กัณหาสวน “ท่านว่าป่าหิมพานต์ และนกการเวกที่ร้องเพลงได้ไพเราะราวกับอยู่ในสรวงสวรรค์มีอยู่จริงไหมละ”

         “นั่นก็นิทานทั้งหมด” ชายคนนั้นยืนยันอย่างหนักแน่น “มันไม่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงหรอก”

         “แต่มันมีจริงๆ และฉันเจอนกนั่นมาแล้ว นกการเวกตัวจริงท่านจะได้เห็นเอง” กัณหายืนยันด้วยท่าทีที่เหนือกว่า ฉันได้เจอกับนก นกนั้นพาฉันออกมาจากวังด้วยการร้องเพลงอันไพเราะที่ขับกล่อมให้คนทั้งวังหลับใหลได้”

         “ท่านฝันไปรึ” น้ำเสียงอีกฝ่ายดูตลกขบขัน

         “มันมีจริงๆ ไม่เช่นนั้นท่านคิดว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเช่นฉัน จะแอบออกจากวังที่มีทหารคุ้มกันอย่างหนาแน่นนั้นได้อย่างไร” 

        ช่วงทอดมองเธออย่างพินิจพิเคราะห์  กัณหาบอกได้ว่าเขาเองเริ่มไม่แน่ใจเช่นกัน เขามองเธอนิ่งนานก่อนเอ่ยขึ้นว่า “แล้วนกที่ท่านว่าอยู่ที่ใดละ ท่านหญิง”

         “มันหายไป ตอนที่ฉันวิ่งหนีมา” กัณหาบอกอย่างเศร้าสร้อย “นี่ดูสิ ฉันผูกมันไว้กับเอวนี่” กัณหาแกะผ่าที่พันรอบเอวออกให้เขาดู เธอรู้สึกแปลกๆว่าของที่พันไว้รอบเอวของเธอดูเบาลง  กันหาจึงคลำไปที่ผ้าที่ผูกไว้รอบเอวและพบว่าเงินที่ร้อยไว้เป็นพวงหายไป

         “เงินฉัน หายไปได้อย่างไรกัน” กัณหาตกอกตกใจมาก เธอคลำรอบเอวดูอีกครั้งก็ไม่พบ กลับไปหาตรงที่เธอนอนก็ไม่มี ทั้งๆที่เมื่อคืนก่อนนอนยังมีอยู่ 

         “ข้าจะบอกให้ท่านว่ามันหายไปไหน” ช่วงยิ้มแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “มันก็ไปอยู่ที่มิตรสหายของท่านอย่างไรละ เมื่อเช้าตอนข้าเดินผ่าน ข้าเห็นหล่อนกำลังขโมยมันออกไป ถ้าท่านไม่เชื่อข้า ก็ตามไปดูที่บ้านเศรษฐีทองใบได้ ข้าว่านางคงกำลังจะไปที่นั่น เพื่อเอาเงินที่ขโมยมาไปไถ่ตัวมารดา”

         “ไม่จริง” กัณหารู้สึกใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เธอไม่คาดคิดว่าแหวนจะทำกับเธอเช่นนี้ได้ พวกเขามีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง เธอน่าจะเห็นใจกัณหาสิ 

        “เฮอะ ถ้าท่านไม่เชื่อก็ไปดูให้เห็นเองกับตาก็ได้ แต่เชื่อไหมละ ถ้าข้าเอาเรื่องนี้ไปพูดกับคนในตลาดน้ำพวกเขาจะเชื่อทันทีโดยไม่มีข้อสงสัย เพราะใครก็รู้ หลายคนก็โดนนังเด็กนี่ขโมยเอาข้าวของไปขาย ทั้งๆที่พวกเขาคอยยื่นมือช่วยเหลือหล่อนอยู่ตลอด ใครๆก็รู้กัน ไอ้ลูกขี้เหล้าจอมขโมยคนนี้”

          “ไม่จริง” กัณหาทวนซ้ำ 

          “ไม่เชื่อท่านตามข้ามา ท่านหญิง” ช่วงพยักหน้าไปทางตลาดน้ำ “บ้านเศรษฐีทองใบอยู่ทางนั้น”

         กัณหาเดินตามนายช่วง ลัดเลาะไปตามท้องร่องสวน ข้ามคูคลองเล็กๆที่มีสะพานไม้พาดผ่านให้เดินข้ามได้สะดวก มาจนถึงทางเดินที่โรยด้วยกรวด ริมทางเดินมีต้นไม้ปลูกในกระถางสีขาวเรียงรายไปสองข้างทาง สุดทางเดินนี้คือ บ้านไม้สักทองหลังใหญ่สวยงาม ลานบ้านถูกถมด้วยกรวดสีเดียวกับถนนที่เดินผ่านมา เมื่อพวกเขามาถึงบริเวณบ้านก็มีหญิงรับใช้คนหนึ่งออกมาต้อนรับ

         “ท่านเศรษฐีมีแขกเจ้าค่ะ” หล่อนบอก 

         “แขกที่ว่าใช่ นางแหวน หรือเปล่า” ช่วงถาม หญิงคนนั้นชะงัก “ใช่แน่” เขาตอบคำถามเอง แล้วเดินทะลุเข้าในเขตใต้ถุนเรือนอย่างไม่สนใจ กัณหารีบตามเขาไปติดๆ

         “ท่านเจ้าค่ะ เข้าไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านเศรษฐีมีแขก” หญิงรับใช้ทวนคำ วิ่งตามพวกเขามาด้วย หล่อนพยายามห้ามแต่ไม่ได้ผล

         พวกเขาเข้ามาใต้ถุนเรือนของเศรษฐี ได้ยินเสียงของแหวนเถียงกับชายคนหนึ่งดังอยู่ไม่ไกลนัก

         “หมายความว่าอย่างไรไม่พอ เงินนี่มากกว่าค่าตัวของแม่ข้าซะอีก” เสียงแหวนเอ็ดตะโรลั่น

         “ก็ข้าบอกว่าไม่พอไง เมื่อเวลาผ่านไป ดอกเบี้ยที่พ่อเอ็งติดข้าไว้มันก็มากขึ้น” เสียงชายคนนั้นตอบอย่างอารมณ์ดี  “แต่ข้าใจดี ถ้าเอ็งยอมเป็นเมียข้า ข้าจะยกหนี้ให้ทั้งหมด”

         “ไม่มีทาง!!” แหวนตะโกนดังลั่น กัณหากับช่วงเดินมาถึงตรงที่พวกเขาเถียงกัน แหวนยังคงอยู่ในชุดเดิมที่ใส่เมื่อคืน ท่าทางซอมซ่อและผอมบางของเธอช่างตรงข้ามกับชายเจ้าของบ้านที่อ้วนพุงพุ้ย หัวล้าน และแต่งตัวด้วยเสื้อสีแดงสดตัดกับโจงกระเบนสีม่วงอย่างดงาม 

        “ข้าว่าก็อาจจะไม่พอ” ช่วงแทรกเข้าไปกลางวง แหวนและชายหัวล้านต่างหันมามอง “เพราะเจ้าของเงินเขามาตามทวงเงินคืน” 

          แหวนสะดุ้ง หันมามองสายตาสบกับกัณหาที่มองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อ กัณหาทันเห็นว่าหน้าหล่อนเผือกซีดลง แม้จะอยู่ใต้เงาของตัวบ้านก็ตาม

        “หมายความว่าไง”  เศรษฐีทวนคำ หันมามองช่วง “อีแหวนไปขโมยเงินท่านมารึ มิน่าละ ข้าก็ว่าเงินเยอะขนาดนั้น อีแหวนจะไปหามาจากไหน”

         “ข้าไม่ได้ขโมย ข้าเจอมันหล่นอยู่ข้างทาง ข้าก็เลยหยิบมา” แหวนเถียง “เงินนี้เป็นของข้า”

        “สภาพโกโรโกโส อย่างเจ้านะเหรอ จะมีเงินขนาดนั้น ดูสารรูปตัวเองซะก่อน” ช่วงด่าและมองแหวนตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วผายมือมาทางกัณหาที่สภาพเสื้อผ้าก็มอมแมมไม่ต่างกัน แต่ก็ยังดูดีกว่าแหวนอยู่มาก“นี่คุณหนู เป็นบุตรสาวของขุนคราม ทหารคนสนิทของพระอุราชแห่งอยุธยา ท่านมาหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ ถูกวิ่งราวทรัพย์มา ถ้าท่านขุนครามทราบว่าบุตรสาวถูกโจรกรรมจนมีสภาพมอมแมมเช่นนี้ละก็… ข้าไม่อยากจะคิดว่าหัวของเจ้าจะมีสภาพเช่นไร”

         “บุตรสาวของท่านขุนครามรึ” ชายหัวล้านทวนคำ ทอดมองมาทางกัณหา “ข้าว่าแล้วเชียว เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายขอท่านดูเป็นผู้ดี ดูน่าจะเป็นเจ้าของเงินนั่นมากกว่าอีแหวน”

         “รู้เช่นนั้นก็รีบคืนเงินให้ท่านเร็ว ก่อนหัวเจ้าจะหลุดจากบ่า”  ช่วงตอบ แบมือมาทางแหวน

          แหวนชะงักก้าวถอยหลัง และตั้งท่าจะหนี แต่ช่วงไวกว่าหล่อนมาก เขาตะครุบตัวหล่อนได้อย่างรวดเร็ว และจับมือทั้งสองข้างของหล่อนไพล่หลังไว้ ใช้เข่าดันหลังหล่อนให้ตัวติดพื้น

         “ขโมยของของขุนนาง รู้นะว่าจะมีจุดจบยังไง” ช่วงหัวเราะเบาๆ ขณะที่แหวนดิ้นรนพยายามจะให้หลุดพ้นจากการจับกุม “ขอเชือกให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ท่านเศรษฐี” 

         “ได้สิ” เศรษฐีว่า หันไปตะโกนเสียงดังว่า “เฮ้ย มีใครอยู่แถวนั้นมั่ง เอาเชือกป่านอันใหญ่ๆให้ข้าหน่อย”

          มีเสียงกุบกับมาทางพวกเขา สักพักหญิงรับใช้อีกคนเข้ามาหาพวกเขา เมื่อหล่อนเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าหล่อนถึงกับร้องอุทานแล้วทิ้งเชือกป่านในมือวิ่งไปทรุดนั่งลงตรงหน้าแหวนกับช่วง

          “แหวน เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้นเจ้าค่ะ ทำไมต้องมาจับแหวนมัน มันไปทำอะไรผิด” หญิงคนนั้นร้องเสียงดังอย่างตกใจ ดูจากท่าทีตกอกตกใจของหล่อนก็พอทำให้กัณหาเดาได้ว่าหล่อนเป็นใคร 

         ”มันไปขโมยของของคุณหนู บุตรสาวขุนนาง” ช่วงตอบให้ ยังคงเอาเข่ายันหลังแหวนที่พยายามดิ้นรนสุดกำลัง “ข้าจะจับมันไปส่งนครบาล”

         “โอ้ ได้โปรด โปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ ใต้เท้า” หญิงคนนั้นรีบยกมือไหว้ช่วง “อีแหวน อยู่นิ่งๆสิ เอ็งอยากตายหรือไง” ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ “เอ็งจะทำให้ข้าทุกข์ใจไปถึงไหนนะ อยู่นิ่งๆสิ” 

         แหวนหยุดดิ้นรนและมองหญิงคนนั้นแล้วก็ฟุบหน้าลงร้องไห้ ช่วงเงยหน้ามามองหญิงคนนั้นสักครู่ เศรษฐีทองใบหันไปหยิบเชือกป่านส่งให้ช่วงมัดมือแหวนได้สำเร็จ  หลังมัดมือเสร็จช่วงก็ยอมเอาปล่อยแหวน แต่ยังคงจับปลายเชือกที่มัดมือแหวนไว้แน่น หญิงรับใช้คนนั้นเข้าไปประคองร่างแหวนมากอดไว้แน่น “โธ่ อีแหวน เอ็งไปทำอะไรช่างไม่คิดเสียจริง”

         “จริง ริอ่านจะเป็นขโมย หัดดูตาม้าตาเรือมั่ง” เศรษฐีทองใบเออออด้วย แล้วก็ส่ายหน้าอย่างระอา “เอ็งไม่รู้จักสั่งสอนลูกมั่ง นางนิ่ม” 

          หญิงรับใช้คนนั้นกับแหวนได้แมองหน้ากัน มีน้ำตาไหลพรากทั้งสองฝ่าย ทั้งคู่กอดกันแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น ช่างน่าเวทนาหนัก กัณหากับช่วงได้แต่ยืนนิ่งมอง หญิงคนนั้นป้ายน้ำตาตนเองก่อนถามแหวนว่า “เอ็งขโมยอะไรของคุณหนูไป เอาคืนท่านเสียสิ เร็ว กราบขอโทษท่านเสีย” หล่อนว่า แหวนเงยหน้าขึ้นมองหล่อน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความทุกข์โศกก่อนหยิบพวงเหรียญที่ร้อยด้วยกันไว้ ยื่นส่งคืนให้กับช่วง ช่วงรับมาแล้วส่งให้กัณหา สักพักแหวนก้มลงกราบกัณหาทั้งที่น้ำตายังไหลเป็นทาง โดยมีนางนิ่มก้มลงกราบด้วย