“รอแป๊บนะ” กัณหาบอก รีบวิ่งตึงตังออกจากห้องพักของเธอ ในเรือนของเธอเงียบกริบ ไม่มีวี่แววใครสักคน ดึกขนาดนี้จะไปหาน้ำมะม่วงที่ไหนละ 

          โรงครัว คำตอบแล่นวาปในใจ เมื่อนึกได้ดังนั้นร่างเล็กก็ผลุนผลันวิ่งไปที่โรงครัว เสียงหัวเราะและเสียงคุยกันยังดังออกมาจากโรงครัว นั่นหมายความว่า เหล่าบรรดาแม่ครัววิเสททั้งหลายยังทำความสะอาดโรงครัวไม่เสร็จ กัณหาวิ่งทะลุเข้าไปกลางวงล้อมของนางกำนัลที่กำลังทำสะอาดครัว

          “คุณ” พวกนางอุทานหันมามองร่างเล็กที่ยืนหอบแฮ่กกลางโรงครัว ก่อนที่หญิงที่ดูมีอายุมากสุดในนั้นที่น่าจะเป็นหัวหน้าวิเสทเอ่ยขึ้นว่า     “คุณมีกระไรให้รับใช้หรือเจ้าคะ”

          “ฉันอยากกินมะม่วงน้ำดอกไม้” กัณหาตอบไปด้วยหอบไปด้วย “ขอมะม่วงสักสองสามลูก”

          “ตอนนี้หรือเจ้าคะ” หัวหน้าวิเสทมองอย่างสงสัย 

          “ใช่ตอนนี้ ด่วนมาก” กัณหาเร่ง

          เหล่าพวกวิเสทมองอย่างประหลาดใจ ดูเหมือนมีคำถามมากมายในใจพวกนางแต่ไม่กล้าถามความมากนัก หัวหน้าวิเสทพยักพเยิดให้หญิงวิเสทผู้หนึ่ง หล่อนลุกไปสักพักก็ถือจานใส่มะม่วงสีเหลืองทองสามลูกกลับมา ก่อนเอ่ยว่า “รออิฉันปลอกสักครู่เจ้าค่ะ” 

          “ไม่ต้องฉันปลอกเอง” หลังพูดจบกัณหาก็ดึงจานนั้นจากมือนาง “ขอบใจมากนะ” แล้วก็วิ่งออกจากโรงครัวรวดเดียวจนถึงห้องพักของตน โดยไม่แม้แต่จะหันไปมองสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของพวกวิเสท เมื่อมาถึงห้องพักเธอจะรีบไปยังเตียงที่นกยังนอนฟุบอยู่ 

          “เธอกินได้ไหม กินยังไง” เธอถามยื่นมะม่วงให้นก นกพยายามยกจะงอยปากขึ้นมาจิกที่มะม่วงที่เธอถืออยู่ สักพักน้ำมะม่วงก็ไหลเข้าสู่จะงอยปากของมันจนหมด เมื่อน้ำหมด เธอก็พลิกด้านอื่นๆให้นกจิกต่อจนครบสามทั้งสามลูก หลังจากได้น้ำมะม่วงไปสักพัก นกก็ดูมีเรี่ยวมีแรงขึ้น มันค่อยขยับตัวลุกขึ้น

          “ขอบคุณท่านมากที่เมตตาข้า” นกบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ถ้าไม่ได้ท่าน ข้าคงตายเพราะความหิวโหยเป็นแน่ ขอบคุณท่านเหลือเกิน มนุษย์ตัวน้อย”

          “มนุษย์ตัวน้อย” กัณหาทวนคำอย่างขบขำกับวลีที่ฟังดูแปลกประหลาดจากนกตัวนั้น “เรียกฉันว่ากัณหาดีกว่าเรียกมนุษย์ฟังดูแปลกๆ” กัณหายิ้มให้นก “แล้วเธอล่ะเธอเป็นใคร มาจากไหนกัน มาทำอะไรที่นี่”

          “ข้าเป็นนกการเวก จากป่าหิมพานต์” นกตอบช้าๆ แม้น้ำเสียงจะดูอ่อนเพลีย แต่มันก็ยังพูดจาได้ชัดถ้อยชัดคำ และนั่งทรงตัวได้ “ข้าบินพลัดหลงเข้ามาที่นี่ ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร”

          “ป่าหิมพานต์งั้นเหรอ” กัณหาทวนคำ มองนกอย่างประหลาดใจ “ป่าหินพานต์มีจริงๆหรือ ไหนบรรดานางกำนัลบอกว่าเป็นนิทานหลอกเด็กไม่มีอยู่จริง”

          “มีจริงสำหรับบางคน ไม่จริงสำหรับบางคน” นกตอบอย่างมีความนัย “ผู้ที่แสวงหามันย่อมพบมันได้เมื่อเวลาเหมาะสม”

          “แล้วเธอชื่ออะไรละ” เด็กน้อยซักต่อ

          “ข้าเคยมีชื่อ แต่ไม่อาจใช้ชื่อนั้นได้อีกต่อไป” นกตอบอย่างด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย 

          “ทำไมละ” คนร่างเล็กถาม “ทำไมใช้ชื่อเดิมไม่ได้”

          “เพราะข้าถูกขับออกจากป่าหิมพานต์” นกบอกหัวตกลู่ลง “เพราะไปกินน้ำจากผลมะม่วงของฤษีตนหนึ่งในป่า ทำให้ฤษีโกรธมากจึงลงโทษสาปแช่งพวกพ้องของข้า พวกพ้องของข้าในป่าจึงขับข้าออกจากป่าเนื่องจากเป็นตัวต้นเหตุ ข้าเดินทางรอนแรมโดยไร้จุดหมายมาหลายวัน อดน้ำอดอาหาร จนหลงเข้ามายังที่นี่ โชคดีที่เจอท่านเมตตา”  

          “แล้วนกในป่าหิมพานต์พูดได้ทุกตัวไหม” กัณหาถามอย่างตื่นเต้น

          “ถ้าท่านหมายถึง พูดภาษามนุษย์ ก็มีบางตัวพูดได้ บางตัวพูดไม่ได้” นกรับคำ “แต่พูดภาษาของเรา ทุกตัวก็พูดได้ ส่วนข้าพอพูดภาษามนุษย์ได้สี่ห้าภาษาและเลียนเสียงได้นับไม่ถ้วน”

          กัณหาหัวเราะอย่างขบขันในถ้อยคำที่ไม่แน่ใจว่านกประชดเธอรึเปล่า นกมองเธอสักพักก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเป็นหนี้ชีวิตท่าน หากมีส่งใดที่ข้าช่วยท่านได้ จงบอกมาเถิด ข้ายินดีช่วยท่านเป็นการตอบแทนไมตรีจิตของท่าน”

          “ไม่มีหรอก ฉันไม่อยากได้อะไร” เธอบอกนก “ไม่รู้จะเอาอะไร”

          “หรือเอาขนของข้าไหม” นกเสนอ เอาปีกจับปลายขนหางให้ดู “ขนของข้าสามารถกลายเป็นทองคำได้” 

          “ฉันไม่รู้จะเอาทองคำไปทำไม” กัณหาส่ายหน้า “เก็บหางของเจ้าไว้บินเถอะ แม่นมของฉันบอกว่า ขนนกจะสวยสุดเมื่ออยู่บนตัวนก” 

          “งั้นหรือ” นกโยกหัวไปมา “ไม่มีอะไรที่ท่านอยากได้เลยหรือ ข้ารู้สึกไม่สบายใจที่ไม่ได้ตอบแทนอะไรท่านเลย”

          “อ้อ มีอย่างหนึ่งที่ฉันอยากได้” กัณหาเอ่ยขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ “เธอบอกว่า ป่าหิมพานต์มีจริงใช่ไหม  ถ้างั้นเธอรู้ไหมว่าน้ำอมฤตมีจริงรึเปล่า ฉันอยากรู้แค่นั้นแหละ”

         “น้ำอมฤต” นกทวนคำ มองเธออย่างประหลาดใจ “ไม่เคยได้ยิน มันเป็นยังไงรึ”

          “น้ำที่สามารถชุบชีวิตคนตายขึ้นมาได้นะ” กัณหาเริ่มเล่า “เขาว่ากันว่าอยู่บนเทือกเขาห่างไกล”

          “ท่านจะเอามันมาทำไม” นกโยกหัวไปมาดวงตาจับจ้องที่เธออย่างสงสัย

          “แม่นมของฉัน คนที่เลี้ยงฉันมาพึ่งตายจากไป พวกเขาจะนำร่างท่านไปเผาคืนนี้ ฉันได้ยินว่ามีตำนานว่าถ้าได้ดื่มน้ำอมฤต จะสามารถชุบชีวิตคนตายไปแล้วให้ฟื้นขึ้นมาได้ ถ้าตำนานป่าหิมพานต์มีจริง ตำนานเรื่องน้ำอมฤตนี่ก็น่าจะมีจริงด้วยใช่ไหม” กัณหาถามอย่างมีความหวัง นกมองเธออย่างไม่สบายใจก่อนพูดช้าๆว่า “ไม่น่าจะมีอะไรทำให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาได้นะท่าน” 

          “ไม่มีจริงหรือ” กัณหามองสายตาของนกอย่างผิดหวัง “แต่ถ้ายังไม่ไปตามหา จะรู้ได้ไงว่าไม่มีจริง ดูอย่างป่าหิมพานต์สิ ก่อนหน้านี้มีแต่คนบอกว่าเป็นนิทานปรัมปรา แต่ดูนี่อยู่ๆก็มีนกจากป่าหิมพานต์มาที่นี่ได้เลย”

          “ท่านจะไปตามหาน้ำอมฤตหรือ” นกเอ่ยอย่างระมัดระวังคำพูดอย่างที่สุด “แล้วจะไปตามได้อย่างไร ท่านรู้หรือว่าน้ำนั่นอยู่ที่ใด”

          “ฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันว่าลองไปถามดูก็ไม่เสียหายใช่ไหม ถ้าเกิดมันมีจริง ฉันจะได้นำมันมาให้แม่นมของฉันดื่ม ฉันจะได้เห็นนางอีกครั้ง ฉันอยากเจอแม่นมอีกครั้ง” เธอจบท้ายอย่างเศร้าสร้อย 

          นกโยกตัวไปมาอีกครั้งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ในหมู่พวกพ้องของข้า มีตำนานเรื่องน้ำทิพย์วิเศษ ที่สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ใครได้กินก็จะหายจากโรคที่เป็นอยู่ ข้าเคยได้ยินว่าน้ำทิพย์นี้อยู่บนเทือกเขาที่ห่างไกล มีกำเนิดมาจากน้ำพุที่อยู่ในเทือกเขานั้น ข้าว่านิทานเรื่องน้ำอมฤตที่ท่านได้ยินมาอาจแต่งมาจากเรื่องนี้ก็ได้กระมั้ง” 

          “น้ำทิพย์รักษาโรคนะหรือ” กัณหาทวน “ฟังๆดูคล้ายกับน้ำอมฤตเลย” 

          “ข้าเคยได้ยินว่ามันมีสรรพคุณวิเศษรักษาโรคเท่านั้น แต่เรื่องชุบชีวิตคนตายไม่น่าจะทำได้นะ” นกเน้นเสียง “ต่อให้ท่านคิดจะไปตามหาจริง การตามหาต้องใช้เวลา แต่แม่นมของท่านตายแล้ว และจะเผาร่างในคืนนี้ไม่ใช่หรือ จะไปทันได้อย่างไรละ ต่อให้น้ำนั่นมีจริงๆ ร่างแม่นมของท่านก็เป็นจุณไปแล้ว”

           กัณหาดีดตัวขึ้นจากที่นอนของเธออย่างตกตะลึง ใช่สิ พวกทนายหน้าหอบอกแก่เธอว่าจะเผาร่างแม่นมในคืนนี้  ถ้าร่างแม่นมถูกเผาไปแล้ว ต่อให้มีกี่น้ำอมฤตก็ไม่มีประโยชน์

           “เราต้องไปห้ามพวกเขาก่อน บอกให้พวกเขาเก็บร่างแม่นมไว้” กัณหาว่า มองไปรอบๆอย่างร้อนรน จะเอายังไงดีถ้ารอประตูวังเปิดพรุ่งนี้เช้าไม่ทันแน่ กว่าจะนั่งเรือไปถึงวัดที่ไว้ร่างแม่นมอีกก็ต้องใช้เวลาแต่พวกสัปเหร่อจะเผาร่างแม่นมคืนนี้ ถ้าจะไปให้ทันก็ต้องไปคืนนี้”

          “ท่านจะไปไหน” นกร้องถาม มีแววตาตกใจเมื่อเห็นเธอรีบผลุนผลันลุกขึ้น ตรวจดูใหม่ว่านุ่งโจงกระเบนแน่นหนาแล้วหรือยัง และเอาผ้ายาวพันรอบศีรษะ เพื่อบดบังไม่ให้ใครเห็นใบหน้า 

          “ฉันจะไปวัด ให้ทันก่อนพวกสัปเหร่อจะเผาร่างแม่นม” 

           “ไปยังไง นี่มืดแล้ว” นกร้องอย่างหวั่นวิตก “ท่านกัณหา ท่านอาจถูกทำร้ายได้ ตอนกลางคืนไม่ปลอดภัย”

           “รอจนเช้าไม่ได้ พวกสัปเหร่อจะเผาร่างแม่นมไปก่อน ต้องไปคืนนี้ ไปห้ามให้ทัน” กัณหาตอบ เมื่อตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่านุ่งผ้าเรียบร้อยดี เธอก็เปิดประตูค่อยก้าวออกจากห้อง 

          “ข้าไปด้วย” นกบินตามมาเกาะที่ไหล่ของเธอ แม้มันยังดูอ่อนระโหยโรยแรงมากก็ตาม กัณหาคว้าผ้าอีกผืนที่ใกล้ประตูพันรอบลำตัวของนกเว้นไว้แต่ใบหน้า แล้วผูกกับตัวเธอก่อนออกจากห้องไป

          ที่เรือนชานด้านนอกเงียบสงัด มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องกระทบกับพื้นเรือน ทำให้คืนนี้ไม่มืดมากอย่างที่คิด อากาศรอบข้างเย็นฉ่ำ เมื่อเธอก้าวไปถึงบันไดขันแรกจู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นว่า “คุณกำลังจะไปไหนค่ะ”

          กัณหาสะดุ้งหันไปมองเห็นนางกำนัลสองสามคนนั่งจับกลุ่มกันอยู่ที่ชานใต้เงาหลังคาเนื่องจากบริเวณนั้นมืดจากเงาหลังคา กัณหาจึงไม่เห็นพวกเขาตั้งแต่แรก

          “ฉันสิต้องถามว่าพวกหล่อนมาทำอะไรที่นี่” เด็กน้อยย้อนถาม 

          “พระอุปราชให้พวกข้าน้อยมาคอยเฝ้ารับใช้คุณค่ะ” หนึ่งในนั้นบอก “คุณกำลังจะไปไหนหรือค่ะ” 

          “ฉัน เอ่อ หิว” กัณหาหาเหตุมาอ้าง “ไปหาอะไรมาให้กินหน่อยสิ” 

พวกนางมองกันอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีใครเถียงว่ากระไร สองนางในนั้นลุกขึ้นกระวีกระวาดลงจากเรือนไป แต่ยังเหลืออีกหนึ่งนั่งอยู่ที่เดิม 

          “ส่วนเธอ นั่งว่างๆไปทำความสะอาดในห้องให้ฉันหน่อย”  เธอสั่ง “มีนกมาขี้เลอะเทอะเต็มห้องฉันไปหมด” 

           นกที่ถูกกล่าวอ้าง ขยับตัวอย่างอึดอัดในห่อผ้าของเธอ 

           “เจ้าค่ะ” นางกำนัลรับ รีบคลานไปที่ห้องของกัณหา

           เมื่อนางทั้งสามขยับตัวจากไป กัณหาชำเลืองมองจนแน่ใจว่าพวกนางไปจนลับสายตาแล้วจึงรีบย่องลงบันไดเรือนมา  เมื่อลงมาถึงพื้นก็เห็นเหล่าพวกทหารราชองค์รักษ์กำลังเดินมาทางเรือน กัณหาขยับตัวไปซ่อนในพุ่มไม้เล็กๆไม่ไกลจากใต้ถุนเรือนนัก พวกทหารองค์รักษ์เดินผ่านไป เมื่อมองจนแน่ใจแล้วว่าพวกเขาไปแล้ว เด็กน้อยจึงค่อยๆย่องออกจากพุ่มไม้มา

          “ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาเดินกลางคืนหรือ” เสียงมาจากนกที่คาดเอาไว้ที่ลำตัว 

          “ไม่เชิง พวกเขากลัวว่าฉันจะแอบขึ้นไปขโมยของตอนกลางคืนมั้ง” กัณหาว่าอย่างไม่ใส่ใจ พยายามสอดส่ายสายตามองไปรอบๆเพื่อหานางกำนัลหรือเหล่าราชองค์รักษ์ที่อาจมาปรากฏตัว ก่อนจะเดินไปตามทางที่ไปท่าน้ำหลังวัง เมื่อไม่เจอใครเลยทำให้กัณหานึกยิ้มกระย่องในใจ 

          ง่ายกว่าที่คิด

          กัณหายังไม่ทันได้แสดงความยินดีที่ออกมาตามทางได้ง่ายอย่างนี้ จู่ๆก็ได้ยินเสียงดังขึ้นข้างหลังว่า “คุณมาทำกระไรที่นี่ขอรับ” 

          นั่นไง จนได้ นึกแล้วก็หมุนตัวกลับไปพบกับเจ้าของเสียงที่เธอจำได้ ชายร่างสูง สมส่วน ในภาพอาวุธครบมือยืนอยู่ที่ด้านหลังของเธอ แวดล้อมไปด้วยเหล่านายทหารหน้าหออีกสี่ห้าคน 

          “อ้อ ท่านขุนคราม มาตรวจเวรยามรึ” เด็กน้อยแกล้งยิ้มสู้ 

          “คุณลงมาทำกระไรที่นี่หรือขอรับ” ชายผู้นั้นย้ำถาม “ใคร่ได้อะไรหรือ แล้วนั่นห่ออะไร” ว่าเสร็จก็ชี้มาทางตัวนกที่ผูกไว้ที่เอว

          “อ้อ ฉันลืมของคิดว่าทำตกไว้ที่ท่าเรือ” กัณหาตอบ “ของสำคัญเสียด้วย แม่นมอุตส่าห์ให้มา ไม่น่าเลย”

          แววตาของนายทหารผู้นั้นดูอ่อนลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ขุนครามผู้นี้เป็นหัวหน้าราชองครักษ์ของพระอุปราช ชำนาญทั้งการยุทธและการดูคน เขาดูท่าทีลับๆล่อๆของเด็กน้อยตั้งแต่แวปแรกก็พอคาดได้ว่าแอบหลบออกมาทำอะไรสักอย่างซึ่งไม่รู้ว่าใช่เรื่องดีหรือไม่ แต่เมื่อได้ฟังเหตุผลก็พอเข้าใจได้ เพราะขุนครามเห็นพระธิดาองค์นี้มาตั้งแต่เกิด รู้ดีว่าเธอรักและผูกพันกับแม่นมเพียงใด เขาเองก็อยู่ในเหตุการณ์การเสียชีวิตของแม่นมด้วย ภาพเด็กน้อยนั่งร่ำไห้กอดร่างไร้วิญญาณของแม่นมนานนับชั่วโมงนั้น ยังสะเทือนใจอยู่ในความคิดของเขาไม่หาย เขาทราบดีว่าแม่นมเป็นโลกทั้งใบของเด็กคนนี้ เมื่อหล่อนจากไปเด็กน้อยผู้นี้ก็ดูทุกข์โศกไม่ใช่น้อย

          “คุณใคร่ออกไปตามหาของหายที่ท่าเรือหรือขอรับ” ขุนครามถาม ทรุงลงนั่งให้ระดับสายตาของเขาสูงพอๆกับเด็ก “แต่นี่มันดึกแล้ว พระอุปราชไม่โปรดให้คุณออกไปที่ท่าเรือตอนกลางคืนนะขอรับ ค่อยไปตามหาวันรุ่งพรุ่งนี้ไหมขอรับ กระผมจะให้บ่าวไปช่วย”

          “แต่ถ้าคืนนี้ฝนตก…” กัณหาเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “ฉันกลัวจะไปเก็บมันไม่ทัน มันจะเสียหาย”

          ”มันเป็นอะไรหรือขอรับ” ขุนครามถามอย่างสนใจ 

          “มันเป็น เอ่อ… ผ้าปักของแม่นม” กัณหารีบแต่งเรื่องอย่างเร่งด่วน “ถ้าคืนนี้ฝนตก มันต้องเปียกฝนแน่นอน ถ้าโดนคนเหยียบย่ำอีก ไม่รู้จะซักออกหรือไม่” 

          “กระผมจะ ให้บ่าวไปหาให้คืนนี้ขอรับ” ขุนครามสรุป “คุณกลับขึ้นเรือนก่อนจะดีกว่า ถ้าพระอุปราชหรือพระชายามาเห็นคุณมาเดินกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ กระผมจะโดนตำหนิได้”

          “แต่พวกบ่าวจะรู้ได้ไงว่าเป็นผืนไหน” กัณหาค้าน “ขอฉันออกไปหาเถิด แม่นมอุตส่าห์ทำให้ฉัน แต่ฉันกลับทำมันหาย ฉันจะมีหน้าไปบอกแม่นมได้อย่างไร”

          “แม่นมไม่มีวันหวงของมากกว่าห่วงคุณหรอกขอรับ” ขุนครามเอ่ย ส่งยิ้มให้เด็กน้อย “ท่านคงเสียใจมากกว่าถ้าผ้าผืนเดียวจะทำให้คุณเดือดร้อน เชื่อกระผมเถอะ ให้พวกบ่าวไปหาให้จะดีกว่า” 

          “เอ่อ ได้จ้ะ” กัณหารู้ว่าเถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงเดินคอตกกลับมา