“กระโดดงั้นหรือ ฉันกระโดดไม่พ้นหรอก” 

           “เร็ว” หญิงสาวคนนั้นย้ำ หล่อนยืนอยู่อีกฝากกระตุ้นกัณหาให้กระโดดมา กัณหามองไปที่คลองนั้น จริงอยู่ว่าเธอว่ายน้ำเป็น แต่เธอว่ายน้ำไม่เร็วเท่าไหร่ ถ้าตกลงไปในคลองนี้ ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นไปอีกฟากได้ไหมเพราะร่องน้ำนี้ดูชันทีเดียว แถมกระแสน้ำในคลองก็ดูเชี่ยวกราก

           “เร็ว” หญิงคนนั้นย้ำ กัณหามองอย่างหวาดกลัว 

          “ฮะ ฮ่า” ชายที่วิ่งตามมาหัวเราะเยาะเย้ย กัณหาหันไปดูเห็นเขาถือมีดพร้าในมือด้วยสีหน้าพร้อมฆ่าคน  เขากำลังย่างสามขุนเข้ามาหาเธอ ณ ตอนนั้นเด็กน้อยไม่คิดอะไรแล้วนอกจากทำอย่างไรก็ได้หนีชายคนนั้นให้ได้ เธอออกแรงทั้งหมดกระโดดไปฝั่งตรงข้าม…

          โครม!!! 

           ร่างของกัณหาฟาดเข้ากับตลิ่งอีกฟาก มือเธอคว้าฝั่งตลิ่งได้ทัน เท้าและขาของเธอจุ่มอยู่ในคลอง กัณหาพยายามตะเกียกตะกายขึ้นให้พ้นจากคลอง 

           “อย่านะ” หญิงสาวกรีดร้อง กัณหาหันไปเห็นชายคนนั้นกำลังจะกระโดดน้ำตามเธอมา หญิงสาวหันไปคว้ากล้วยใกล้ตัวปาไปใส่ชายคนนั้น 

          “โอ้ย นี่แกกล้าทำร้ายฉันเรอะ” ชายคนนนั้นตะโกนอย่างโกรธแค้น กระโดดตามมาอย่างโกรธจัด  แต่ระหว่างกระโดดนั้นเขาสะดุดกล้วยอีกลูกที่หญิงสาวปาไป จนล้มไถลตกลงไปในคลอง

          “เร็ว” เธอว่าและรีบหันมาช่วยดึงแขนกัณหาขึ้นไป เมื่อขึ้นมาถึงฝั่งแล้วทั้งสองไม่แม้แต่จะหยุดดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายคนนั้น ต่างคนต่างรีบวิ่งไปให้พ้นจากที่นั่นให้เร็วที่สุด

 

 

ลูกไฟประทุจากกองไฟเล็กใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ความอบอุ่นจากกองไฟส่องสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ ร่างสองร่างนั่งอยู่ข้างกองไฟนั้นเอามืออังไออุ่นที่แผ่ออกมากจากกองไฟอย่างเงียบเชียบ รอบตัวพวกเขามีเพียงเสียงลูกไฟที่ประทุมาจากกองไฟ

กัณหากับหญิงสาววิ่งหนีกันตั้งแต่เช้า จนออกพ้นเขตตลาดน้ำ และหนีเข้าไปในท้องนาของชาวบ้าน พวกเขาหยุดพักกันตอนเที่ยงๆพักดื่มน้ำเพียงเล็กน้อยที่วัดแห่งหนึ่ง หลังจากมั่นใจแล้วว่าชายคนนั้นไม่ตามมาแล้วจึงหยุดพักกันที่ลานดินริมท้องนาของชาวบ้าน กัณหาเข้าไปขอข้าวก้นบาตรจากวัดมานั่งกินกับปลาที่เหลือเมื่อเช้า หลังจากกินเสร็จพวกเขาก็ฟุบหลับกัน ตื่นมาอีกทีกัณหาก็พบว่าหญิงสาวได้ก่อกองไฟไว้เรียบร้อยแล้ว อากาศรอบตัวเย็นลง ท้องฟ้ามือสนิท กัณหานั่งมองเปลวไฟอย่างโศกเศร้าเมื่อเธอตื่นมาแล้วพบว่านกน้อยไม่อยู่กับเธอแล้ว เธอพบเพียงผ้าที่ห่อมันยังผูกอยู่ที่เอว แต่ไม่เจอตัวนกแล้ว กัณหาไม่แน่ใจว่านกหายไปตอนไหน เธอกลัวว่ามันจะหล่นไประหว่างตอนที่เธอวิ่งหนี เธอไม่แน่ใจว่ามันจะถูกชายบ้าเลือดนั่นจับไว้รึเปล่า เมื่อกัณหาถามหานกกับหญิงสาว เธอก็บอกว่าไม่เคยเห็นมัน

“ข้าขอโทษด้วยนะที่ทำให้เจ้าต้องเสียนกไป”  หญิงสาวกล่าว เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของเธอ “แล้วก็ขอบใจมากที่ช่วยข้าไว้ เจ้าช่างกล้าหาญมากจริง”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่ไม่อยากเห็นใครถูกทำร้าย” 

“ฉัน?” หญิงสาวทวนคำ “พูดจากราวกับลูกผู้ลาภมากดี” ว่าจบหล่อนก็ลอบชำเลืองมองกัณหาอย่างพินิจพิเคราะห์ “แต่ดูท่าทาง ท่าวิ่งของเจ้าก็พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นลูกผู้ดี แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่ละ ตลาดน้ำดูไม่ใช่ที่เหมาะจะเจอพวกผู้ดี”

“ฉันหนีออกจากบ้านมา” กัณหาตอบอย่างเศร้าสร้อยกว่าเดิม “ฉันเป็นเอ่อ ลูกเมียน้อย แม่ตายแต่เล็ก แม่นมเป็นคนเลี้ยงฉันมา แล้วตอนนี้ท่านก็มาตายจากไปอีก”

“แล้วทำไมต้องหนีมาละ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย  “ให้เดานะ ถูกเมียหลวงกลั่นแกล้งรึเปล่า ข้าเคยได้ยินบ่อยเรื่องพวกเมียหลวงกลั่นแกล้งเมียน้อยเนี่ย”

“ก็ทำนองนั้นแหละ” กัณหาเออออตามไปด้วย แล้วก็นึกถึงพระชายาขึ้นมา แอบขอโทษท่านในใจ จริงอยู่ว่าแต่ไหนแต่ไรมา พระชายามีทีท่าไม่ชอบใจกัณหามากนัก และมักจะมองเธอด้วยสายตารังเกียจอยู่เสมอ แต่เอาเข้าจริง นางก็ไม่เคยทำร้ายหรือกลั่นแกล้งกัณหาแต่อย่างใด กัณหาขี้เกียจจะเล่าเรื่องน้ำอมฤตให้หญิงแปลกหน้าฟัง กลัวจะโดนหาว่าบ้า จึงเออออตามนางไปก่อน

“จริงสิ ฉันชื่อกัณหานะ แล้วเธอละชื่ออะไร”

“แหวน” หญิงสาวตอบห้วนๆ  เขี่ยไฟในกองไฟให้ลุกโชน

“แล้วเธอคิดจะทำยังไงต่อละ กัณหาถาม “จะไปอยู่ที่ไหน”

”ไม่รู้” หญิงสาวตอบ มีท่าทีครุ่นคิดเช่นเดียวกัน “ถ้าข้ากลับไปต้องโดนเฆี่ยนหลังลายและต้องถูกจับไปเป็นเมียเจ้าแก่นั่นแน่ ข้าจะไม่กลับไปอีก”

         “เอาจริงนะ ถ้ามีพ่อแบบนี้ ฉันว่าหนีไปอยู่คนเดียวยังจะดีกว่า” กัณหาเสนอ เธอนึกถึงภาพเมื่อกลางวันที่ชายคนนั้นเฆี่ยนหญิงสาว “จริงสิ แผลโดนเฆี่ยนนั้นเป็นไงบ้าง เจ็บมากไหม ใส่ยารึยัง” 

          “ข้าไปหายามาใส่หลังเองแล้วละ ข้าไปหาระหว่างที่เจ้าหลับ” หญิงสาวบอกดูมีท่าทีตกใจเล็กน้อยที่เห็นกัณหาพยายามลุกขึ้นมาดูแผลของเธอ 

          “เธอก็เก่งนะ ทนอยู่กับเขามาตั้งหลายปีได้” กัณหาชวนคุย

          “เขาเคยเป็นคนที่ดีกว่านี้” หญิงสาวบอก คอตกลงเล็กน้อย “จนกระทั่งไปคบพวกเพื่อนชั่ว ชวนกินเหล้า สำมะเลเทเมาและเล่นพนันจนมีหนีสิ้นล้นพ้นตันตัวนี่ละ”

         “หนี้สินจากอะไร” กัณหาถามอย่างสงสัย 

          “ก็หนี้จากเล่นพนันไง การพนันไม่เคยช่วยให้ใครรวย มีแต่ซวยกับจนลง ไอ้คนที่รวยขึ้นก็มีแต่เจ้าของบ่อน ไอ้แก่ทองใบ ที่จะเอาข้าไปเป็นเมียไง มันนะทั้งปลิ้นปล้อน หลอกลวง มันเลี้ยงนักเลงไว้เยอะมาก เวลาใครไม่ยอมมัน มันก็ขู่ทำร้าย เวลาไม่ใช้หนี้มัน มันก็เอานักเลงไปตามทวงถึงบ้าน ถ้าไม่ได้ก็ทำร้ายลูกหนี้ แม่ข้าพยายามห้ามปรามไม่ให้ไปบ่อน แต่พ่อไม่ฟังบอกแค่ไปเล่นเพลินๆคลายเครียดเฉยๆ แล้วเป็นไงละ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นหนี้สินจนควายถูกยึด ต่อมาก็ถูกยึดที่นา ถูกยึดบ้าน แล้วสุดท้ายแม่ข้าก็ต้องยอมไปเป็นทาสมันเพื่อใช้หนี้” แหวนเล่าเรื่องด้วยสีหน้าเจ็บปวด 

           “ครั้งหนึ่งตอนมันมาตามทวงหนี้ที่บ้านข้า พอมันเจอหน้าข้า มันพยายามจะบังคับให้พ่อขายข้าเป็นทาสมันใช้หนี้ แต่แม่ข้าไม่ยอม แม่กลัวว่าถ้าข้าไปเป็นทาสมัน จะถูกมันบังคับให้ไปเป็นเมียมัน แม่จึงรับอาสาไปเป็นทาสแทนข้า ข้าได้ยินว่าพอมันรู้เรื่องเข้าก็โกรธมาก ทำร้ายทุบตีแม่ข้าประจำ แต่แม่ข้าก็ต้องยอมทนเพราะเป็นทาสมัน บ้านข้าถูกยึด ที่นา ถูกยึด วัวควายก็ไม่มีแล้ว ก็ไม่รู้จะทำมาหากินอะไร พ่อข้าก็เอาแต่โศกเศร้า กินเหล้าทุกวัน ตอนนี้เราไม่เหลือทรัพย์สมบัติอะไรสักอย่าง เพียงเพราะพ่อข้าเล่นพนัน และตอนนี้ถึงแม้จะไม่เหลืออะไรแล้ว เขาก็ยังเล่นพนันไม่เลิก เพราะหวังว่าจะคืนทุนที่เสียไป จนล่าสุดก็เป็นหนี้ไอ้แก่นั้นเพิ่ม จึงมาบังคับทุบตีข้าให้ไปเป็นเมียมัน” 

           กัณหารู้สึกแย่มากที่ได้ยินเรื่องนี้ ชีวิตของแหวนดูรันทดมากนัก ดูมากกว่าชีวิตของเธอเสียอีก กัณหานึกถึงครั้งที่ ศิริกัลยาแกล้งผลักเธอลงไปในสระจนเธอเกือบจมน้ำตอนอายุได้ราวสี่ห้าขวบ แม่นมไปทูลฟ้องหลังเกิดเหตุ  พระอุปราชกับไม่ลงโทษอะไร โดยอ้างว่าเป็นเรื่องของเด็ก “เล่นกัน” แม่นมที่ปกติไม่เคยพูดว่าอะไรพระอุปราชยังดูโกรธจัดแทนกัณหาถึงขั้นกลับมาโวยวายที่เรือนพัก และสั่งกำชับหนักหนาให้กัณหาฝึกว่ายน้ำให้จงได้ ด้วยเหตุผล “จะโดนผลักตกน้ำตายเมื่อไหร่ไม่รู้” ครานั้นกัณหารู้สึกแย่มาก เธอถึงขั้นเอ่ยถามแม่นมว่าเธอใช่ลูกของพระอุปราชจริงหรือเปล่า  กัณหาจำได้ว่าแม่นมได้แต่มองเธออย่างเศร้าๆ แล้วดึงเธอไปกอดไว้โดยไม่พูดอะไร กัณหารู้สึกว่าเรื่องนี้แย่มากแล้ว เทียบไม่ได้กับสิ่งที่แหวนได้รับ

           “แล้วเธอก็ยังทนอยู่กับพ่อขี้เหล้าอย่างนั้นหรือ” กัณหาซักต่อ “ทำไมไม่หนีไปเสีย จะอยู่ยอมให้เขาทำร้ายเธอแบบนี้ทำไม”

          “หนีไปไหน ข้าไม่มีที่ไป ทุกวันนี้ที่ซุกหัวนอนยังไม่มี ต้องไปขอนอนที่ศาลาวัด ลำพังข้า แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก ข้าทนได้ สงสารแต่แม่ต้องไปเป็นทาสไอ้แก่นั้น ข้าเคยพยายามพาแม่หนี แล้วถูกจับได้ แม่ข้าเลยโดนเฆี่ยนหนักมากและถูกใช้งานสารพัด ถูกล่ามโซ่ไว้ใต้เรือนเหมือนสัตว์เลี้ยง ข้าช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด” แหวนเล่าด้วยสายตาเจ็บปวด แล้วโยนหินลงไปในกองไฟอย่างโกรธแค้น “ข้ามันลูกอกตัญญูปล่อยให้แม่ต้องลำบากอยู่คนเดียวโดยช่วยอะไรไม่ได้”

          “ไม่ใช่ความผิดเธอหรอก พ่อเธอต่างหากที่สมควรถูกทำโทษ เขาต่างหากควรไปเป็นทาสใช้หนี้เสียเอง!”

          “พ่อข้าไม่คิดทำเช่นนั้นหรอก เขาก็ปล่อยให้แม่ข้าไปเป็นทาสอย่างไม่สนใจใยดี ข้าคิดถึงแม่มากเหลือเกิน ได้แต่หวังว่าตอนนี้แม่จะยังสบายดี และรอข้าหาเงินไปไถ่ท่านมาให้ได้”

          แหวนน้ำตาซึมออกมาไหลลงมาตามนวลแก้มที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น กัณหามองแหวนอย่างเวทนาในใจ เธอเข้าใจดีว่าแหวนรู้สึกอย่างไง เพราะตอนนี้เธอก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกคิดถึงใครบางคนที่ห่างไกล ไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้เจอกันอีกไหม ความโดดเดี่ยวอ้างว้างที่เกิดขึ้นหลังจากการจากไปของใครคนนั้น ความรู้สึกที่ว่าแล้วต่อไปนี้ฉันจะอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้อย่างไร 

          “ฉันเข้าใจเธอนะ ฉันเองก็เพิ่งสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป นั่นก็คือแม่นมของฉัน ในระหว่างที่ฉันยังเด็ก ถูกพี่สาวต่างมารดาคอยกลั่นแกล้งรังแกสารพัด พ่อก็ไม่คิดจะปกป้อง ก็มีแม่นมคนนี้แหละคอยปกป้องคุ้มครองฉันแทน ตอนนี้ท่านจากฉันไปแล้ว ฉันไม่อาจเจอท่านได้อีก แต่ฉันไม่ยอมหรอก ฉันตั้งใจจะทำทุกวิถีทางเพื่อหาวิธีนำท่านกลับมาให้ได้ ในเร็วๆนี้ฉันเพิ่งได้ยินเรื่องราวของน้ำอมฤตที่สามารถชุบชีวิตท่านขึ้นมาได้  ฉันจึงออกเดินทางตามหามัน เพื่อชุบชีวิตให้ท่านกลับคืนมาหาฉันอีกครั้งอีกครั้ง” กัณหาเล่าเรื่องของเธอด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง

         “น้ำอมฤตงั้นหรือ” แหวนทวนคำน้ำเสียงแผ่วเบา

         แหวนกับกัณหามองสบตากัน  เมื่อมองดวงตาคู่นั้น กัณหารู้ดีว่าแหวนเข้าใจความรู้สึกของเธอได้ไม่ต่างกับที่เธอเข้าใจความรู้สึกของแหวน แหวนยกมือป้ายน้ำตาแล้วส่งยิ้มให้กัณหาเห็นเป็นครั้งแรก กัณหาส่งยิ้มตอบให้กับเธอ ดูราวกับว่าประกายแห่งความเข้าใจได้ทอแสงระหว่างคนทั้งสองกลางความมืดที่เงียบสงัด