“ทำไมไม่บอกชายคนนั้นให้ไปที่วัดแทนท่านละ” นกน้อยมุดออกมาจากผ้าที่พันรอบตัวกัณหา ดวงตาจับจ้องที่เธอ “ท่านจะได้ไม่ต้องไปเอง เชื่อได้ว่าเขามีวิธีไปที่นั่นเร็วกว่าท่าน” 

           “เขาจะไปให้รึ และจะบอกเหตุผลเขาว่าอะไรถึงไม่ยอมให้เผา” กัณหาย้อน “ไม่เอาน่า เธอก็เห็นอยู่ว่าคนที่นี่เป็นไง เขารังเกียจฉันทั้งนั้น ดูสิแค่ขอออกไปประเดี๋ยวเดียวยังไม่ได้ แล้วคิดหรือว่าเขาจะช่วยไปเจรจาความให้”

           “รังเกียจรึ” นกการเวกเอียงคอไปมา “ข้าไม่เห็นว่า พวกเขาจะรังเกียจท่านตรงไหน ข้ากลับมองว่าพวกเขาห่วงใยในสวัสดิภาพของท่านมากกว่า ใครๆก็รู้ว่าออกไปตอนกลางคืนมันอันตราย” 

          กัณหาไม่นึกอยากจะอธิบายชีวิตความเป็นอยู่ของเธอตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ว่าต้องใช้ชีวิตกับพวกเขาเช่นไร เธอนึกรำคาญใจเจ้านกที่พูดจาขัดคอเธอตลอดเวลา 

          “เอาเป็นว่ายังไงฉันก็จะต้องหาทางออกจากวังนี้ให้ได้ในคืนนี้ ถ้าเธอกลัวอันตรายนักหนาก็บินเข้าไปหลบอยู่ในห้องของฉัน พรุ่งนี้เช้าก็ค่อยบินออกไปตามทางของเจ้า” กัณหาสรุป แกะผ้าที่พันรอบตัวเธอออก

          “แล้วท่านจะไปยังไง ไปคนเดียวรึ” นกร้องถามอย่างตกใจ 

          “ใช่ ฉันจะต้องออกไปให้ได้ ต่อให้ต้องปีนกำแพง หรือมุดดินออกไปก็ตาม”

          “อย่าเลย อันตรายมากนะ” มันพูดซ้ำวนหลายเที่ยว ระหว่างที่กัณหาค่อยๆแกะผ้าที่พันรอบตัวนกออก กัณหาไม่สนใจมัน เมื่อเธอคลายผ้าออกแล้ว ก็วางนกลงบนกิ่งไม้ในพุ่มไม้ใกล้ๆ  

          “เชิญ” เธอว่า แต่นกไม่ยอมขยับ มันส่ายหัวและยังพูดห้ามปรามตลอดเวลา เมื่อมันไม่ขยับ กัณหาจึงขยับเอง เธอหันหลังเดินย่องกลับไปทางเดิม แต่นกยังไม่ยอมแพ้ ยังคงบินมาวนเวียนใกล้ๆตัวเธอ

          “ข้างนอกมันอันตรายมากนะ ท่านเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเท่านั้นเอง” นกยังตื้อไม่ลดละ

          “เรื่องของฉัน” เด็กน้อยตอบอย่างไม่สนใจ และรีบหลบไปในมุมมืดของพุ่มไม้เมื่อเห็นนางกำนัลกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา

          นกน้อยถอนใจ เพราะมั่นใจแล้วว่าจะห้ามปรามอย่างไรก็คงไม่เป็นผลแน่ เด็กน้อยยังคงหลบซ่อนในเงามืดของพุ่มไม้สักพัก เมื่อแน่ใจเช่นนั้นนกจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้ามีวิธีที่ง่ายกว่านั้น ท่านสนใจไหมละ”

          “วิธีอะไร” ร่างเล็กหันมาถามอย่างสงสัย แต่สายตายังคงส่ายไปมามองหาเหล่านางกำนัลหรือราชองครักษ์ที่อาจโผล่มาอีก

          “นกการเวกได้รับพรสวรรค์จากบรรพบุรุษให้สามารถร้องเพลงได้ไพเราะจับใจ ใครที่ได้ฟังก็จะตกอยู่ในห้วงภวังค์ ลืมหมดสิ้นว่าตนกำลังทำสิ่งใดอยู่” นกน้อยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างภาคภูมิใจ “มีเพียงแต่ผู้ที่มุ่งมั่นอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะไม่หลงตกในภวังค์นี้ได้”

          “แล้วยังไง จะร้องเพลงให้คนทั้งหมดวังหลับได้รึ” กัณหาย้อนถาม “ฉันว่าคนอื่นไม่ทันหลับ ฉันอาจจะหลับก่อน” 

          “ข้าสามารถทำได้เช่นนั้น” นกพยักหน้ารับอย่างภาคภูมิใจ “ระหว่างที่ข้าร้องเพลงให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ ท่านก็รีบออกจากวังไปที่ท่าเรือดีไหมละ”

          “คนอื่นหลับแล้วฉันจะไม่หลับไปกับเขารึไง” กัณหาว่าอย่างหงุดหงิดใจ เจ้านกปัญญาอ่อนเอ้ย

          “ก็อย่างที่ข้าเพิ่งบอกไปไง มีเพียงคนที่มีความุ่งมั่นอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะไม่ตกไปกับภวังค์ของเสียงร้องของข้าขอให้ท่านตั้งมั่นที่จะไปให้ถึงเรือ ท่านจะไปได้แน่นอน อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือท่านต้องตั้งมั่นมากๆห้ามวอกแวกเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นท่านจะหลับอยู่ที่นี่”

          “ตกลง” กัณหารับคำ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พยายามตั้งใจจดจ่ออยู่ที่เรือที่เธอจะไป “เอาเลย”

          นกน้อยพยักหน้ารับคำ ก่อนเริ่มต้นร้องเพลง เมื่อนกเริ่มต้นร้องเพลงกัณหาก็หันหน้าไปสู่ทางที่จะไปท่าเรือ เธอเดินตรงไปอย่างมุ่งมั่น พยายามไม่เหลียวซ้ายแลขวาหรือฟังเสียงนกร้องแต่อย่างใด กัณหาเห็นผู้คนบนทางที่เธอกำลังเดินผ่านค่อยทรุดตัวนั่งลงราวกับตกอยู่ในภวังค์ เมื่อเธอมาถึงกำแพงประตูวัง พวกทหารที่ประตูวังกำลังจะปิดประตูพอดี พวกนั้นยืนนิ่งอย่างงงงวยเมื่อเธอเดินผ่านไปจนถึงท่าน้ำ กัณหาเห็นเรือพายลำเล็กๆอยู่ที่ริมท่า เธอรีบปีนลงไปนั่งในเรือนั้น มือกำไม้พายไว้แน่น ตั้งใจจะพายออกไปในทันที

          นกละ เสียงหนึ่งในใจดังขึ้นมา เมื่อเธอพายเรือออกมาจากฝั่งได้เล็กน้อย

           “นกน้อย” กัณหาเผลอเรียกเสียงดัง เมื่อเธอละสายตาและจิตใจจากเรือที่กำลังจะพายอยู่นั้น ความง่วงก็เริ่มเข้าครอบงำ แต่ก่อนที่กัณหาจะง่วงมากกว่านี้จู่เธอก็รู้สึกว่าภวังค์รอบตัวเธอหายไปพร้อมๆกับเสียงนกหยุดร้องเพลง

           “กัณหา!!!” เสียงร้องอย่างตกใจดังขึ้น มาจากท่าน้ำ กัณหาสะดุ้งหันไปมอง

          พระอุปราช ผู้เป็นบิดาของเธอยืนอยู่ที่ท่าน้ำ ข้างๆพระองค์คือ ขุนครามและเหล่าราชองครักษ์ ที่ถือคบไฟไว้     กัณหามัวแต่ใจจดจ่ออยู่ที่เรือจึงไม่ได้ทันสังเกตเห็นพระองค์ตั้งแต่ต้น 

           ตายแน่ เธอคิดเมื่อพระองค์ก้าวเข้ามาใกล้ ท่าทีดูมีสติเต็มเปี่ยม ในขณะที่เหล่าราชองค์รักษ์รอบข้างยังดูสับสนงุนงง ในชั่วอึดใจนั้นกัณหารีบเอาไม้จ้วงพายอย่างไม่คิดชีวิต คิดอย่างเดียวว่าต้องพายหนีไปให้เร็วที่สุดก่อนจะถูกพระบิดาจับไปลงโทษ 

          “กัณหากลับมานะ” พระอุปราชยังตะโกนตามหลังมา แต่กัณหากลับรีบพายหนีไปทางทิศตรงข้ามอย่างรวดเร็ว จนไม่ทันได้ยินเสียงร้องเพลงที่ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนเสียงร้องตะโกนของพระบิดาจะเงียบหายไป…

 

 

          แสงจันทร์ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าสีหมึก เสียงนก เสียงจิ้งหรีดร้องดังลั่นแข่งกันอยู่ทั่วทั้งบริเวณท้องทุ่งที่อยู่โดยรอบวัดเล็กๆ แห่งนี้ คบเพลิงถูกจุดไว้รอบบริเวณวัด ดวงไฟบนคบเพลิงนั้นส่องสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ ชายสองคนกำลังขนฟืนที่ตัดไว้จำนวนมากเข้าไปไว้ใกล้โลงที่ภายในบรรจุร่างที่นอนหลับอย่างสงบนิ่งใต้แสงจันทร์ หญิงวัยกลางคนอีกคนกำลังขนย้ายข้าวของของผู้ตายตามมาด้วย

“คุณท้าว ท่านแจ้งว่าให้รีบเผา คืนนี้ จะได้เสร็จทันรุ่งพรุ่งนี้” 

“เหตุใดต้องรีบถึงเพียงนั้น” ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์เอ่ยถามขณะโยนฟืนเข้าไปสมทบอีก

“อีกสองวันจะเป็นวันมงคล จะมีพิธีเฉลิมฉลองสมโภชกรุง จะเผาหรือทำพิธีเกี่ยวกับคนตายไม่ได้ ไม่เป็นมงคล” หญิงวัยกลางคนบอก “จึงต้องรีบเผาคืนนี้ น่าจะเผาเสร็จตอนรุ่งสางพอดี ช่วงสายๆคุณจะได้มาเก็บกระดูกไปลอยอังคาร”

“เดี่ยวก็เริ่มเผาได้ละ” ชายอีกคนกล่าว เขาเป็นชายวัยกลางคนร่างผอมสูงดูเหนื่อยล้า เขาขยับมือมาปาดเหงื่อบนหน้า “ว่าไปก็สงสารคุณท่านเหมือนกันนะ พอสิ้นบุญแม่นมแล้ว ไม่รู้จะอยู่อย่างไรเหมือนกัน” 

“คุณท่านเป็นพระธิดาของพระอุปราชนะ” หญิงวัยกลางคนค้าน “อย่างไรเสียก็ลูกท่าน ท่านคงไม่ปล่อยให้ลำบากหรอก”

         “ได้ยินว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ มีแม่นมผู้นี้เป็นผู้ถวายอภิบาลคุณท่าน แต่เพียงคนเดียว เห็นว่าสร้างเรือนเล็กๆให้อยู่กันตามลำพังในสวน คิดดูเอาเถิดแม้กระทั้งให้ขึ้นไปอยู่บนเรือนใหญ่ร่วมกันยังไม่ได้เลย แล้วต่อไปคุณท่านจะทำอย่างไร จะต้องอยู่คนเดียวในเรือนเล็กๆอย่างนั้นหรือ”

         “เรื่องของเจ้านายอย่าไปยุ่งดีกว่า” ฝ่ายหญิงส่ายหน้า ในขณะที่ชายฉกรรจ์ที่มาช่วยขนฟืนมองหน้าชายหญิงทั้งสองสลับกันไปมา

         “เหตุใดพระอุปราชจึงต้องรังเกียจคุณท่านขนาดนั้นเล่า” เขาเอ่ยถาม อีกสองคนไม่ตอบ ต่างหันกลับไปทำงานของตนโดยไม่สนใจชายหนุ่ม ชายหนุ่มยืนมองอย่างสงสัย 

         “จุดไฟได้แล้ว” ชายวัยกลางคนสั่ง “เร็วเข้า” 

         “จ้ะ” อีกฝ่ายรับแล้วจับคบเพลิงข้างตัวจ่อเข้าไปใกล้ฟืนท่อนที่ใกล้ที่สุด ไฟค่อยๆติดจากปลายไม้ลามไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ ทั้งสามหยุดยืนดูเปลวไฟที่ค่อยๆลุกโหมขึ้นมา

         “อย่าๆ อย่าเผาร่างแม่นมนะ” เสียงกรีดร้องดังมาแต่ไกล ทั้งสามสะดุ้งหันไปมอง เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งหอบๆมาหา “ดับไฟเร็ว อย่าเผาๆ” 

         “คุณท่าน” ทั้งสามอุทานพร้อมกัน 

          “ดับไฟ ดับเร็วๆ ได้โปรด” เด็กน้อยร้องเสียงดัง วิ่งมาอยู่ตรงหน้าหญิงวัยกลางคน “ดับไฟสิ รีบดับก่อนเร็ว ฉันหาวิธีช่วยแม่นมได้แล้ว”

         “คุณ เจ้าค่ะ แม่นมท่านเสียแล้ว ท่านจากไปแล้วเจ้าค่ะ เก็บร่างท่านเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ” หญิงวัยกลางคนมองเด็กน้อยอย่างเวทนา “ตัดใจเสียเถิดเจ้าค่ะ”

         “ดับไฟสิ ดับไฟ ฉันพบวิธีช่วยแม่นมแล้วจริงๆนะดับเร็ว” ไม่ว่าเปล่าร่างเล็กๆ คว้าถังน้ำที่วางอยู่ไม่ไกลนักสาดโครมเข้าไปในกองไฟแต่ไฟก็ยังไม่ดับ หล่อนเห็นเปลวไฟกำลังลามเลียไปจนถึงจุดที่หล่อนรู้ว่าร่างของแม่นมกำลังนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ในนั้น

         “ไม่ได้นะ” หล่อนร้อง แล้วกระโจนข้ามผ่านบริเวณกองฟืนที่ยังไม่ติดเข้าไปจนถึงบริเวณที่โลงศพตั้งอยู่  ทำเอาชายหญิงทั้งสามคนมองอย่างตกอกตกใจ ร่างเล็กๆนั้นเข้าไปพยายามดันโลงให้เคลื่อนออกไปจากบริเวณกองไฟทั้งที่เปลวไฟลามเลียไปรอบบริเวณนั้นแล้ว

         “ตายแล้ว” หญิงวัยกลางคนอุทาน “คุณเจ้าขาออกมา” แต่เด็กน้อยไม่ยอมออกมากจากกองไฟ

         “หลบไป หลบไป รีบดับไฟเร็ว”  ชายวัยกลางสั่ง ตัวเขาเองคว้าอ่างน้ำที่ปลูกพืชไว้ข้างๆ สาดโครมเข้าไปในกองไฟ ชายวันฉกรรจ์รีบเขี่ยเอากองฟืนที่ติดไฟให้ห่างจากตัวกัณหามากที่สุด หญิงอีกคนรีบวิ่งออกไปร้องตะโกนเสียงดังลั่น สักพักคนจำนวนมากทั้งพระ ทั้งฆราวาสรีบวิ่งมาช่วยกันดับไฟกันจ้าละหวั่น

         หลังจากช่วงเวลาวิกฤตผ่าน ไป คนทั้งวัดก็นั่งหอบกันอยู่รอบกองไฟที่ตอนนี้สิ้นฤทธิ์พิษสงเสียแล้ว มีเด็กน้อยยืนก้มหัวไหว้ทุกคนรอบวงอย่างสำนึกผิดที่ทำให้คนทั้งวัดต้องวุ่นวาย

         “วันหลัง ไม่เอาแล้วนะเจ้าคะ ไม่ทำอย่างนี้นะเจ้าคะ อันตรายมาก” หญิงวัยกลางคนพูดไปด้วยหอบไปด้วย

         “ขอโทษจริงๆจ้ะแม่ผิน แต่ฉันกลัวว่าไฟจะไหม้ร่างของแม่นมเสียก่อน เลยจำเป็นต้องกระโดดเข้าไปขวาง”

        “คุณ ไม่อยากให้ทำพิธีเผาคืนนี้หรือขอรับ” ชายวัยกลางคนถามต่อ เขาเองก็หอบเหนื่อยด้วยเช่นกัน เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อไคลไหลย้อย “คุณแจ้งเราไว้ก่อนก็ได้ขอรับ กระโดดเข้าไปกลางกองไฟเช่นนี้ ถึงตายได้นะขอรับ”

        “ฉันขอโทษจ่ะ ฉันขอโทษจ้ะ” กัณหารีบบอกและยกมือไหว้ทุกคนรอบวงอีกรอบ เหล่าบรรดาพระภิกษุและเด็กวัดที่เข้ามาช่วยกันดับไฟนั้นได้แต่มองเด็กหญิงอย่างเหนื่อยอ่อน

         “จะมีใครบอกอาตมาได้ไหม ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดโยมถึงไปอยู่ในกองไฟนั่น” ภิกษุหนุ่มที่นั่งหอบไม่ไกลนักกล่าวขึ้น 

         ชายหญิงทั้งสามคนหันมามองกัณหาเป็นตาเดียว

         “เอ่อ คือว่า อิฉันมาห้าม ไม่ใช่สิ มาขอร้องให้เก็บร่างแม่นมไว้ก่อน อย่าเพิ่งเผาเจ้าค่ะ” กัณหาตอบสายตาสงสัยนั้น คนทั้งวัดได้แต่หันมามองกัน 

         “โยมจะเก็นร่างโยมจันไว้ทำไม ทิ้งไว้ก็จะเน่า” ภิกษุรูปนั้นถามต่อ “อาตมาได้ยินมาว่าโยมรักและผูกพันกับโยมจันมากก็จริง แต่คนที่ตายไปแล้ว ไม่อาจหวนคืนกลับมา การเก็บร่างของเขาไว้ ไม่ได้ช่วยอะไร มีแต่จะทำให้คนตายไม่หมดห่วง ปล่อยวางเสียซะเถอะโยม โยมจันจะได้ไปสู่สุคติ” 

         คนทั้งหลายที่อยู่โดยรอบนั้นต่างมองมาที่กัณหาอย่างสงสารและดูเห็นใจเธอ บางส่วนพยักหน้ารับกับคำพูดของพระภิกษุรูปนั้นด้วย

         “คือแม่นม เขามีลูกอีกคนหนึ่งนะเจ้าค่ะ” กัณหาเอ่ยถึงเหตุผลที่เธอซักซ้อมไว้เป็นอย่างดีระหว่างพายเรือมา “ลูกคนนี้แยกจากแม่นมตั้งแต่เล็ก พ่อเขากีดกันไม่ให้มาพบแม่นมเลย แม่นมเคยพูดถึงเขาบ่อยๆว่า อยากเจอเขาก่อนที่จะตาย สักครั้ง อิฉันเพิ่งนึกได้จึงให้คนออกไปตาม อยากจะให้เขามาสั่งลาแม่นมก่อนจะเผาเจ้าค่ะ อิฉันตั้งใจว่าจะรีบมาบอก แต่เผอิญมาถึงลุงสัปเหร่อจุดไฟเผาพอดี อิฉันเลยตกใจมากไปหน่อยเจ้าค่ะ ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อน”

         “ไม่เป็นไหร่หรอก โยมปลอดภัยก็ดีแล้ว วันหลังมาแจ้งกันดีๆก็ได้ อย่าใช้วิธีนี้เลย” ภิกษุหนุ่มยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน “ส่วนเรื่องลูกของโยมจัน โยมทราบรึว่าจะไปตามหาลูกของโยมจันได้ที่ไหน” 

         “พอทราบอยู่เจ้าคะ อิฉันกำลังจะให้คนออกไปแจ้งข่าวแก่เขาในเร็วๆนี้ แต่เขาอยู่ไกลสักหน่อยอาจจะใช้เวลาในการเดินทางนานพอสมควร อยากจะขอหลวงพี่ช่วยเก็บร่างของแม่นมไว้ที่วัดนี้ก่อนจะได้หรือไม่เจ้าคะ เก็บร่างไว้รอจนกว่าลูกของแม่นมจะมาที่นี่”

         “ก็พอได้อยู่ ถ้างั้นอาตมาจะให้เก็บร่างของโยมจันใส่โลงไว้ก่อนก็แล้วกัน ให้ลูกเขาได้มาดูเป็นครั้งสุดท้าย” 

         “เป็นพระคุณเจ้าค่ะ” กัณหาตอบ ไหว้ภิกษุรูปนั้นอีกที 

         หลังจากความวุ่นวายผ่านไป ทุกคนเริ่มแยกย้ายตัวกลับไปทำงานเดิมของตน เหล่าบรรดาภิกษุพากันทยอยเดินเข้าไปในวิหารของวัด ส่วนลูกศิษย์วัดทั้งหลายก็ช่วยกันเก็บกวาดเหล่าบรรดาถังน้ำที่ขนมาช่วยกันสาดน้ำดับไฟ กัณหายังคงไหว้ทุกคนอีกครั้งเมื่อแต่ละคนค่อยๆเดินจากไป จนเหลือแต่ครอบครัวสัปเหร่อที่ยังยืนอยู่แถวนั้น 

          “ถ้าเช่นนั้นเดียวกระผมจะย้ายโลงของแม่นมกลับไปไว้ในศาลาดังเดิมนะขอรับ” ชายวัยกลางคนเสนอ ก่อนหันไปพยักพเยิดหน้ากับชายที่อยู่ข้างๆ  “เร็ว ไอ้ก้าน ช่วยข้าบัดเดี๋ยวนี้” 

         “ขอรับ” ชายหนุ่มรับคำ แล้วทั้งสองก็ช่วยๆกันขนย้ายโลงที่ยังสมบูรณ์ดี ไม่ไหม้ไฟกลับไปยังศาลาวัด

         “ฝากด้วยนะแม่ผิน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่าเพิ่งเผาร่างของแม่นมเด็ดขาดจนกว่าฉันจะกลับมา” กัณหาขอร้อง หญิงวัยกลางคนอีกที

         “ได้เจ้าคะ อิฉันจะแจ้งให้ทุกคนทราบไว้ ว่าแต่คุณมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ แล้วพวกนางกำนัลคนอื่นไปไหนกันหมดเจ้าคะ”

         “อ๋อ พวกนางรออยู่ที่เรือจ้ะ” กัณหารีบโกหกทันควัน “ถ้างั้นฉันขอลากลับก่อนนะ เกรงว่าดึกมากกว่านี้ จะไม่ดี” 

         “เจ้าคะ เชิญกลับเถอะเจ้าคะ ส่วนเรื่องร่างของแม่นมอย่าได้กังวลเลยอีฉันจะดูแลท่านเป็นอย่างดีจนกว่าคุณจะพาลูกของแม่นมมาจัดพิธีเผาเจ้าคะ” 

 

 

         กัณหารีบเดินกลับมายังเรือที่จอดรออยู่ที่ท่าน้ำบริเวณด้านหลังวัด เจ้านกน้อยนอนสัปหงกอยู่ในกองผ้ากลางเรือพายลำนั้น กัณหาหันไปมองวัดอีกที ด้วยความรู้สึกโหวงเหวงใจ ที่ต้องจากสถานที่ที่เคยอยู่มา ต้องจากที่ที่ร่างของแม่นมพักอยู่ออกไปตามหาน้ำอมฤตที่อยู่ในตำนานเพียงลำพังก็ตาม 

         “อย่ากลัว ต้องสู้” กัณหาพึมพำกับตนเอง

แล้วเราจะได้เจอกับแม่นมอีกครั้ง