50 ตอน หมอเทวดาแห่งเจียงอู่หลาน(2)
โดย นกเป็ดน้ำ
จี้ด แหวน และอาติแปลกใจมากที่กัณหากลับมาพร้อมท่าทีหงุดหงิดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน กัณหาสั่งให้ทุกคนเก็บของและให้จี้ดกลับไปบอกบารัตว่าพวกเขาจะออกเดินทางในทันทีทั้งที่จี้ดเพิ่งกลับมา
“แล้วอาติล่ะ คุณหนู เขาต้องอยู่ที่นี่เพื่อรอรักษาตัวไม่ใช่หรือ” แหวนถามอย่างสงสัย
“แถวนี้มีหมอที่ไหนเก่งๆ อีกบ้าง” กัณหาถามเสี่ยวจินที่ดูตกใจในความโกรธของเธอจนไม่กล้าพูดอะไรตลอดทางกลับเรือนที่พัก
“เอ่อ หมอหยูที่หมู่บ้านเจียงอู่หลานก็เก่งเจ้าค่ะ” เสี่ยวจินตอบตะกุกตะกัก “เขาได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดาเลยทีเดียว แต่ว่าเขาจิ๋วอู่หลานอยู่ไกลมาก”
“ดี เราจะไปหมู่บ้านเจียงอู่หลานกัน”
หมู่บ้านเจียงอู่หลานเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลเมืองเถียนอันมาก เรียกว่าถ้าจะเดินทางด้วยเท้าอาจใช้เวลาหลายเดือน เพราะถูกกั้นโดยเทือกเขาจิ๋วอู่หลาน ขุนเขาขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของเมืองเถียนอัน เทือกเขาประกอบด้วยภูเขาหลายลูกสลับซับซ้อนและสูงชัน มีสายน้ำหลบซ่อนอยู่ระหว่างเขาแต่ละลูก ช่วงกลางๆ ของเทือกเขาแห่งนี้มีทะเลสาบหกแห่งที่เชื่อมติดกันหลบซ่อนอยู่ ทะเลสาบทั้งหกถูกเรียกรวมๆ ว่า เยว่จวน กัณหาเคยอ่านเจอในบันทึกของสามสหาย พวกเขาเดินข้ามเทือกเขาจิ๋วอู่หลานเพื่อแวะเมืองฮงหวง เมืองเล็กๆ ที่อยู่ริมทะเลสาบที่หก แต่ไม่ปรากฏชื่อของหมู่บ้านเจียงอู่หลานในบันทึกของสามสหาย กัณหาเดาว่าหมู่บ้านคงตั้งทีหลัง หรือไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่สามสหายแวะไป ดังนั้นการจะไปหมู่บ้านดังกล่าว บารัตต้องสอบถามเอาจากชาวบ้านในละแวกนั้น แม้หมู่บ้านเจียงอู่หลานอยู่ไกลมากก็จริง แต่เรือเหาะของพวกเขาก็เหาะได้เร็วไม่น้อยหน้า หลังจากออกจากสำนักโม่ฝ่าช่านในตอนเช้า พวกเขาก็มาถึงหมู่บ้านเจียงอู่หลานตอนบ่ายแก่ๆ เวลานี้ทิวทัศน์โดยรอบเขาจิ๋วอู่หลานงดงามที่สุด ใบใม้เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ส้ม แดง แต่งแต้มผืนป่าอย่างสวยงาม สายน้ำในทะเลสาบเบื้องล่างมีสีฟ้า ใสจนเห็นถึงก้นสระ
“นั่น หมู่บ้านอยู่ตรงนั้น” บารัตชี้มือไปที่หมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ริมทะเลสาบ
บารัตค่อยๆ ลดความเร็วเรือเหาะลงจอดที่เนินเขาแห่งหนึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก
“เจ้าลุกเดินไหวไหม” แหวนหันไปถามอาติที่นอนลืมตาอยู่บนพื้นที่ดาดฟ้าเรือ “อาจต้องลุกเดินสักหน่อยจึงจะเข้าหมู่บ้านได้”
“ข้าอุ้มเขาไปเอง” ช่วงเสนอ
“รออยู่ที่นี่ก่อน ฉันจะไปตามหมอมา” กัณหาสั่งโดยไม่มองหน้าใคร “ไปกันจี้ด” เธอหันไปเรียกเจ้านกน้อย เจ้านกโผบินออกไปตามเธอทันที
กัณหาออกเดินมาตามทางลูกรังเล็กๆ ที่เกิดจากชาวบ้านเหยียบย่ำผ่านเพื่อเข้าสู่หมู่บ้านเจียงอู่หลาน ตะวันเริ่มคล้อยอ่อนแสงลงเบื้องหลัง อากาศรอบข้างเริ่มเย็นมากขึ้น แต่ในใจของกัณหากับรุ่มร้อนด้วยความโกรธเคือง คำพูดของเหล่าลูกศิษย์แห่งสำนักโม่ฝ่าช่านยังวนเวียนอยู่ในใจเธอ ทำให้เธอเดินเร็วขึ้นและย่ำไปบนพื้นอย่างรุนแรง
“ท่านดูใจไม่สงบนะ” เจ้านกทักขึ้นมา หลังจากเงียบมานานตั้งแต่ออกจากเมืองเถียนอัน
“ใจฉันร้อนพอจะเผาคนได้ทั้งเป็นนั่นแหละ” กัณหาตอบห้วนๆ ยังคงเดินย่ำต่อไปจนเข้าไปหมู่บ้าน
หมู่บ้านเจียงอู่หลานเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบที่สามในกลุ่มทะเลสาบเยว่จวน บ้านเรือนและผู้คนที่นี่คล้ายกับในเมืองเถียนอัน แต่ดูไม่หรูหราเท่า เมื่อกัณหามาถึงเธอเดินเข้าไปถามชายคนหนึ่งถึงบ้านพักของหมอหยู ชาวบ้านชี้ไปที่บนเขาสูง
“แถวน้ำตกด้านบน ท่านอยู่ที่นั่นตามลำพัง” ชายคนหนึ่งตอบ “ทางขึ้นไปยากมากทั้งสูงทั้งชัน เจ้าขึ้นไปไม่ได้หรอก อีกอย่างหมอหยูเลิกรักษาคนแล้ว เขาหนีขึ้นไปอาศัยอยู่เพียงลำพังที่นั่นคนเดียว เพราะไม่อยากให้มีใครตามไปรบกวน”
กัณหาชะงักนิ่งไป ทำไมต้องเป็นแบบนี้เสมอ คราวไปเกาะสุลาวารี ชาวตาโกนันก็เลิกเอาเรือเหาะออกบิน พอมาหาหมอที่นี่ก็บอกว่าเลิกรักษาคนแล้ว
“แต่เพื่อนเราเจ็บหนักมาก เขาจำเป็นต้องพบหมอด่วน ขอท่านบอกเส้นทางให้เราด้วยเถิด” เธอขอร้องชายคนนั้น เขาดูลังเลใจสักพักก่อนอธิบายเส้นทางขึ้นไปยังเขาสูงใหญ่นั้นให้กัณหาฟัง
หลังจากฟังเส้นทางเดินขึ้นเขาที่ชายคนดังกล่าวอธิบาย กัณหาหนักใจพอสมควร เพราะเท่าที่ฟัง เส้นทางนั้นสูงชันเกินไป แต่ยังไงก็ตามต้องพาอาติไปหาหมอหยูให้ได้ เพราะอาติต้องการรักษาต่อเนื่อง เธอคงรู้สึกผิดมากถ้าทำให้อาติอาการทรุดเพราะความโมโหโทโสของตนเอง
“จี้ด เธอบินขึ้นไปที่บ้านหมอหยูก่อน ไปแจ้งท่านว่ามีคนเจ็บหนัก ต้องการขอความช่วยเหลือ” กัณหาบอกจี้ด “แล้วประเดี๋ยวฉันจะให้บารัตเอาเรือเหาะขึ้นไปที่นั่น น่าจะไวกว่าการเดินไป”
“ตกลง จี้ดบอกก่อนบินออกไป”
กัณหากลับมาที่เรือเหาะอีกครั้ง เธออธิบายเส้นทางให้บารัตฟังและให้บารัตเอาเรือเหาะขึ้นบิน พวกเขาบินต่ำค่อยๆ ลัดเลาะไปตามขอบทะเลสาบที่ดูใส่แจ๋วผิดธรรมชาติ ไล่ไปตามทางน้ำ จนถึงน้ำตกเล็กที่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างทะเลสาบสองแห่ง ทะเลสาบที่หนึ่งที่ด้านบนอยู่สูงกว่าทะเลสาบที่สองที่อยู่ด้านล่างราวสี่ถึงห้าวา ทำให้เกิดเป็นน้ำตกเล็กๆ ที่หน้าผาระหว่างทะเลสาบทั้งสอง เมื่อบารัตค่อยๆ ลดเรือเหาะลงจอด พวกเขาก็เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ที่ลานแคบๆ ระหว่างทะเลสาบที่สองกับขุนเขาด้านข้างโดยมีนกสีน้ำตาลแดงสลับทองตัวใหญ่บินอยู่ข้างๆ
“นั่นไง ท่านหมอ” จี้ดตะโกนเสียงดัง “พวกเขามาแล้ว”
ชายวัยกลางคนคนนั้นทำปากบอกให้พวกเขาเอาเรือเหาะจอดที่ลานหินที่ห่างออกมาจากน้ำตก บารัตค่อยๆ ลดความเร็วลง และเมื่อเรือเหาะจอดนิ่งแล้ว ช่วงกำลังเพิ่งอุ้มอาติที่หลับสนิทขึ้น ชายที่อยู่กับจี้ดวิ่งขึ้นมาบนเรือเหาะอย่างตื่นตระหนก มีจี้ดบินวนอยู่ข้างๆ
“ยังมีชีพจรอยู่ใช่ไหม” เขาถามทันทีที่เห็นสภาพอาติ มือคลำที่ข้อมือของอาติ “รีบเอาเขามาทางนี้เลย” เขารีบนำทางช่วงให้อุ้มอาติลงไป กัณหาและแหวนตามไปติดๆ พวกเขาลงจากเรือเหาะมาที่ลานหินเบื้องล่าง ริมลานหินมีบ้านไม้ทรงต้าชิงหลังเล็กตั้งอยู่ ชายคนนั้นนำพวกเขาเข้าไปในบ้านไม้ และพาไปที่ห้องห้องหนึ่งที่ว่างโล่งไม่มีอะไร เขารีบคลี่ผ้าปูบนพื้นอย่างรวดเร็ว ช่วงวางอาติลงบนผ้าพื้นนั้น
“ชีพจรอ่อนมาก เจออาคมมาหลายขนานทีเดียว” ชายที่กัณหาคิดว่าเป็นหมอหยูเอ่ยขึ้น เขาเปิดเสื้ออาติสำรวจตามร่างกาย “เจ้าช่วยไปต้มน้ำให้ข้าได้หรือไม่ เขาคงต้องการยา ห้องครัวเดินออกไปแล้วเลี้ยวซ้าย”
“ได้ๆ” แหวนรับคำ รีบผลุนผลันจากไป
“เขาไปโดนอะไรมา” หมอหยูเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขา
“อาติพยายามต่อสู้กับพวกขโมย พวกนั้นก็เลยลงมือกับเขา”
“เขาเป็นอะไรมากไหม ท่านหมอ” กัณหาถามหมอหยู
“อาการหนักพอสมควร แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีทางรักษา” หมอหยูบอกให้กัณหากับช่วงสบายใจ “ข้าพอมีสมุนไพรเหลืออยู่บ้าง เดี๋ยวจะต้มยาให้กิน”
ว่าแล้วเขาก็รีบลุกออกไปทันที
สามสี่วันหลังจากนั้น พวกเขาพักกันภายในเรือเหาะ พอรุ่งเช้าก็พากันเดินไปที่บ้านของท่านหมอหยู กัณหาช่วยหมอหยูดูแลเรื่องสมุนไพรและต้มยา โชคดีที่กัณหามีประสบการณ์การช่วยต้มยาตอนอยู่ที่เขาริมอ่าวมาแล้ว ทำให้เธอช่วยงานนี้ได้โดยไม่ติดขัดในระหว่างที่หมอหยูเข้าไปหาสมุนไพรในป่า ส่วนเรื่องอาหารการกิน แหวนเป็นคนดูแลให้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้ทำกับข้าวกินเอง กัณหากับช่วงจึงไม่เคยรู้เลยว่า ฝีมือการทำอาหารของแหวนนั้นใช้ได้ทีเดียว เรื่องหน้าที่ดูแลอาติตกเป็นของช่วง บารัตก็คอยช่วยหมอหยูขนสมุนไพรตอนเข้าป่า ส่วนจี้ดนั้นก็มักบินวนเล่นอยู่ที่ป่ารอบๆทะเลสาบ และแวะกลับมาหาพวกเขาเมื่อถึงเวลาเย็น
อาการของอาติดีขึ้นเร็วมาก จากเดิมที่เขาหลับตลอดวัน ตื่นเฉพาะเวลาที่ถูกปลุก ตอนนี้เขาเริ่มตื่นมากขึ้น และนั่งรับประทานอาหารเองได้ แม้ยังไม่คล่องนัก หน้าตาที่เคยซีดเซียวก็ดูมีสีสันมากขึ้น
หมอหยูเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด เขามักจะพูดเฉพาะเวลามีคนถามหรือมีเรื่องสำคัญๆ เท่านั้น แม้กัณหามาอยู่ช่วยงานเขาในการปรุงยาหลายวันแล้ว ก็ยังสนทนากันนับคำได้ทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นกัณหาที่เป็นฝ่ายพูด วันนี้ก็เช่นกัน กัณหากวนยาสมุนไพรในหม้ออย่างแข็งขัน หมอหยูก็เอ่ยขึ้นว่า
“วันนี้ข้าจะไปเก็บสมุนไพรที่เขาฟากตรงข้ามทะเลสาบที่ไกลกว่าเดิม อาจกลับมาค่ำหน่อย เจ้าเตรียมน้ำนี่ไว้ ใส่สมุนไพรสองตัวนี้ลงไปเมื่อน้ำเดือดแล้ว หลังใส่สักพักยกหม้อลงมาได้ ทิ้งไว้ให้เย็นนะ”
“วันนี้ บารัตต้องอยู่ซ่อมเรือเหาะ เมื่อวานเขาพบรูรั่วเล็กน้อย ให้ฉันไปช่วยท่านแทนไหม”
“ไม่ต้องหรอก ที่ที่ข้าไปเก็บสมุนไพรค่อนข้างไกล” หมอหยูตอบ “อาจจะต้องเหาะข้ามทะเลสาบไป”
“เหาะข้ามทะเลสาบ” กัณหาตกตะลึง “ทะเลสาบกว้างมากนะท่าน”
“ถ้าใช้วิชาตัวเบาแห่งเถียนอัน แค่เหาะข้ามทะเลสาบนี้ไม่ยากหรอก” หมอหยูบอก
“อ๋อ ฉันเคยได้ยินมาว่า วิชาตัวเบาแห่งเถียนอันขึ้นชื่อลือชามากจริง” กัณหาเพิ่งนึกได้ ว่าเธออ่านพบในบันทึกของสามสหายพูดถึง สาเหตุที่เขามาที่เมืองเถียนอัน ก็เพราะอยากมาชมวิชาตัวเบาแห่งเถียนอัน วิชาที่ขึ้นชื่อมากของที่นี่ ท่านเป็นศิษย์สำนักโม่ฝ่าช่านหรือ”
หมอหยูชะงัก หันขวับมาหากัณหาก่อนเอ่ยด้วยเสียงห้วนๆ ว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ฉันไม่รู้หรอก ฉันแค่เดา ฉันเคยได้ยินว่าสำนักโม่ฝ่าช่านเป็นสำนักแห่งแรกที่สอนวิชาตัวเบาในเถียนอัน” กัณหาตอบ นึกถึงสิ่งที่เขียนในบันทึกของสามสหาย “สรุปท่านเป็นศิษย์สำนักนี้จริงๆ ใช่ไหม แล้วทำไมถึงมาอยู่เสียไกลโพ้นล่ะ วัยอย่างท่านถ้ายังอยู่ในสำนักคงเป็นใหญ่เป็นโตไม่น้อย”
หมอหยูนิ่งไป ดวงตาเขาวาวโรจน์มาพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ข้าไม่เกี่ยวอะไรแล้วกับสำนักแห่งนั้น” เขาบอกแล้วก็รีบเดินจากไปทันที
กัณหามองตามเขาไป นึกสงสัยว่าคงไม่ใช่เธอคนเดียวเสียแล้วที่ไม่พอใจคนในสำนักแห่งนั้น
กว่าหมอหยูจะกลับมาก็พลบค่ำแล้ว เขาเอาสมุนไพรจำนวนมากมาด้วย กัณหาโยนมันลงหม้อต้มยาที่เย็นแล้ว ก่อนตั้งต้นคนอย่างใจเย็น แล้วตักใส่ถ้วยให้ช่วงยกไปให้อาติ วันนี้อาติแข็งแรงมากขึ้นแล้ว ตอนนี้เขาลุกมานั่งล้อมวงรับประทานอาหารกับพวกเขาได้
“ข้าต้องขอบคุณท่านหมอจากใจจริง หากไม่ได้ท่านข้าคงตายเป็นแน่” อาติยิ้มให้หมอหยู “ยาของท่านช่วยให้อาการข้าดีขึ้นมากจริงๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก ที่จริงอาการเจ้ายังไม่หายสนิทดี ยังควรพักการใช้อาคมไปอีกสักระยะ” หมอหยูตอบ
“ขอบคุณท่านมาก ถ้าข้าออกไปถึงเมืองเถียนอันเมื่อใด ข้าจะไปป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ทีเดียวว่ามีหมอเทวดาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ รับรองคนไข้ต้องพากันแห่มาหาท่านเป็นแน่” อาติยิ้มอย่างร่าเริง
“นั่นสิ คนป่วยจะได้มารักษากับท่านมากๆ ไม่แน่ภายในปีเดียวท่านอาจเปิดโรงหมอของตนเองได้เลย” บารัตออกความเห็น
“ไม่!!” หมอหยูพูดน้ำเสียงเฉียบขาด จนทุกคนรอบโต๊ะหันมามองอย่างตกใจ “ห้ามบอกใครเด็ดขาดว่ามารักษากับข้าที่นี่”
“ทำไมล่ะ ท่านหมอ” อาติงุนงงจนพูดไม่ออก รอยยิ้มเลือนไปจากใบหน้า คนรอบโต๊ะก็พากันมองหมอหยูอย่างสงสัยเช่นเดียวกัน
ข้าไม่ต้องการรักษาใครแล้ว” หมอหยูตอบ “ข้าต้องการอยู่เงียบๆ ตามลำพัง”
“ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือ” ช่วงถาม หมอหยูนิ่งไปไม่ตอบ
“ท่านเป็นหมอนะ จะไม่รักษาคนได้ไง เสียดายวิชาความรู้” แหวนมองหมอหยูอย่างประหลาดใจพอกัน
“ข้าขอตัว” หมอหยูลุกจากโต๊ะไปเลย
“เป็นอะไรของเขานะ” รอบวงพากันอึ้ง ได้แต่มองตามหมอหยูไป
Comments (0)