“นั่นสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน” เสียงหนึ่งขึ้นมาจากเงามืด ทุกคนสะดุ้งหันหลังไป ช่วงผุดลุกขึ้นชักดาบออกมา ที่ลานโล่งเบื้องหลังพวกเขาสตรีคนหนึ่งในชุดต้าชิงสีดำปรากฏกายขึ้น หล่อนค่อยๆ ถอดหมวกออก แสงจันทร์ส่องต้องใบหน้างดงามและดวงตาที่กลมโตของหล่อน

“ซิงอี” หมอหยูดูตกใจที่เห็นหญิงคนนั้น แหวนกับกัณหาได้แต่มองหน้ากัน

“ตกใจอะไรหนักหนา” หล่อนแย้มยิ้ม “ทำเหมือนไม่เคยรู้จักข้ามาก่อน”

“เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน” หมอหยูถาม สีหน้าดูเคร่งเครียดเต็มที่

“ข้าก็สงสัยเหมือนเด็กคนนั้นไง ว่าท่านจะทำอย่างไรต่อไป เมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าเฉิงอี้กำลังจะขโมยคัมภีร์ต้าจินหลง และตอนนี้เขาอาจจะทำใกล้สำเร็จแล้วด้วย”

“จะมาถามข้าทำไม ข้าไม่ใช่ศิษย์สำนักโม่ฝ่าช่านอีกต่อไปแล้ว” หมอหยูขยับตัวลุกขึ้นทันที “เจ้าต่างหากที่ควรจะคิดว่าจะทำเช่นไร ซิงอี”

“ท่านพอใจที่จะปล่อยให้คนชั่วอย่างเฉิงอี้ศึกษาคัมภีร์ต้าจินหลงงั้นเหรอ” ซิงอีถามด้วยเสียงสูงกว่าเดิม หมอหยูยืนนิ่งหันหลังให้เธอ “เพื่อให้ได้มันมา เขาใส่ร้ายศิษย์พี่สองคน ฆ่าคนนับไม่ถ้วน ล่าสุดก็ทำร้ายเด็กชายหญิงที่เพิ่งรู้จัก เพียงเพื่อชิงคัมภีร์ นี่ขนาดยังไม่ได้ศึกษามันนะ ถ้าเขาได้ศึกษามัน ได้เป็นหัวหน้าสำนักโม่ฝ่าช่าน จะมีอีกกี่คนต้องตายเพราะเขา ท่านไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลยรึไง”

“ข้าก็บอกแล้วไง ว่า ข้าไม่ใช่ศิษย์สำนักโม่ฝ่าช่านอีกต่อไปแล้ว ข้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่ต้องการอยู่อย่างเงียบสงบ ปราศจากการรบกวน” หมอหยูเดินหันหลังให้ซิงอี “ตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์ในสำนัก เจ้าควรคิดหาวิธีว่าจะทำเช่นไรเพื่อกันเฉิงอี้จากคัมภีร์ ทางที่ดีควรปรึกษากับคนที่ไว้ใจในสำนัก ไม่ใช่ข้า”

“ก็ข้าไว้ใจท่านมากที่สุด” ซิงอีตะโกน หมอหยูชะงักฝีเท้าไปเพียงชั่วครู่แล้วก็ออกเดินต่อ ซิงอีเหาะตามหลังเขา ชักดาบออกมาพาดที่คอของหมอหยู

“อู๊ยยย” แหวนสะดุ้ง กัณหากับช่วงเองก็ตกใจเช่นกัน

“ท่านมันน่าสมเพชมาก” น้ำเสียงของซิงอีเยียบเย็นและเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน “เพราะทำผิดครั้งเดียวแล้วถูกลงโทษ ถึงขั้นหมดอาลัยตายอยากเลยรึไง”

“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” หมอหยูยังคงจะเดินต่อ จนซิงอีต้องขยับคมดาบให้ชิดคอเขามากขึ้นอีก “หากท่านขยับอีกแม้เพียงก้าวเดียว ข้าจะบั่นคอท่าน”

“ใจเย็นน่าท่าน” กัณหารีบกระโดดมายืนข้างๆ หมอหยู “อย่าเล่นของมีคมเลย เดี๋ยวบาดคอขาดได้ง่ายๆ”

“จริงจ้า ข้าเสียวแทนเลย” แหวนพยักหน้าเงอะงะแต่หน้ายิ้มสู้

แต่หมอหยูหลบคมดาบนั้นและปัดดาบของซิงอีลงอย่างง่ายดาย

“ข้าขอตัว” หมอหยูเดินต่อไป ไม่สนใจซิงอี

“ท่าน!!!” ซิงอีดูโกรธจัดมาก

“ฉันว่าท่านฟังนางหน่อยก็น่าจะดีนะ” กัณหาว่าเขยิบตัวมาขวางทางหมอหยูก่อนจะออกจากลานหิน “ท่านอยากจะอยู่อย่างสงบไม่ใช่หรือ แล้วท่านจะอยู่อย่างสงบได้อย่างไร หากใจยังเป็นห่วงสำนักแต่ไม่คิดทำอะไรเช่นนี้”

“ใครว่าข้าเป็นห่วงสำนัก” หมอหยูย้อนถามกัณหา

“ก็สีหน้าท่านดูเป็นกังวล” กัณหาตอบ “สีหน้าท่านเหมือนตอนที่เห็นอาติบาดเจ็บสาหัสครั้งแรก ตอนที่ฉันไปที่หมู่บ้านเจียงอู่หลาน ชาวบ้านบอกฉันว่าท่านไม่ยอมรักษาคนป่วยแล้ว อย่ามาเลยเสียเวลา แต่เมื่อฉันมาถึงที่นี่ พอท่านเห็นสภาพอาติสีหน้าท่านก็ดูวิตกกังวลแบบนี้ ท่านตอบสนองเร็วมาก ท่านรีบขึ้นมาดูอาการเขา ไม่มีท่าทีปฏิเสธที่จะให้การรักษาเขา ทั้งๆ ที่เคยปฏิเสธว่าจะไม่ให้การรักษาคนไข้อีกแล้ว ฉันเลยนึกสงสัยว่าท่านทำแบบนี้เพราะอะไร พอได้ฟังเรื่องวันนี้ฉันจึงเข้าใจ ท่านหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ขุ่นเคืองที่ถูกใส่ร้าย แต่ก็ยังไม่อาจละทิ้งความเป็นห่วงคนไข้ เหมือนที่ท่านเป็นห่วงสำนักโม่ฝ่าช่าน”

“มันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกัน” หมอหยูตอบห้วนๆ

“เกี่ยวสิ” เด็กน้อยเถียงทันควัน “ฉันสัมผัสได้ใจลึกๆ ท่านยังเป็นห่วงสำนัก แต่ท่านตั้งป้อมทุกอย่างนี้ขึ้นมา เพราะโมโหหรือผิดหวังที่เคยถูกใส่ร้าย”

“ใช่ ข้าโมโหและผิดหวังที่ถูกใส่ร้าย เจ้าพอใจหรือยัง นั่นละคือสาเหตุที่ทำให้ข้าอยากอยู่เงียบๆ!!! ในเมื่อข้าช่วยเหลือเพื่อนเจ้าตามประสงค์แล้ว เจ้าก็ควรจะให้ข้าได้อยู่เงียบๆ ตามประสงค์ของข้าเช่นกัน”

“ศิษย์พี่” ซิงอีร้องเรียกเขาอย่างหดหู่ใจ

“ถ้าเช่นนั้นก็สมควรแล้วล่ะที่จะต้องอยู่แบบเป็นแพะรับบาปต่อไป” กัณหาตอบเรียบๆ

หมอหยูชะงัก “เจ้าหมายความว่าไง”

“ในเมื่อยอมอยู่นิ่งๆ ไม่ดิ้นรนอะไร ก็มีแต่รอให้ชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้นล่ะ” กัณหายักไหล่ “นั่งสวดมนต์ให้กรรมตามสนองเฉิงอี้เอง”

หมอหยูนิ่งเงียบไปไม่พูดอะไร เขาเดินผ่านกัณหาเข้าบ้านไปเลย

“ข้าว่าเขาโกรธแล้วแหละ คุณหนู” แหวนชะเง้อคอมองไปที่บ้านของหมอหยู

ซิงอีนั่งลงบนพื้นแล้วก็ถอนหายใจ สีหน้าดูผิดหวังชัดเจน

“มีอะไรที่เราพอช่วยท่านได้ไหมล่ะ” กัณหาถาม ซิงอีเงยหน้าขึ้นมามองเธอ แล้วก็ยิ้มละห้อยให้

“เจ้าช่วยอะไรข้าไม่ได้หรอก มีเพียงหมอหยูเท่านั้นที่ช่วยข้าได้”

“ไม่ลองเล่า จะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะช่วยไม่ได้” ช่วงขัดขึ้นมา “หลายหัว ช่วยกันคิดย่อมดีกว่าหัวเดียว”

“ใช่ และถ้าท่านสังเกตดีๆ พวกเราอยู่ข้างท่านนะ” แหวนช่วยโน้มน้าว

ซิงอีมองพวกเขาด้วยแววตาตื้นตันใจ หล่อนนิ่งไปสักพักถอนหายใจก่อนเริ่มต้นเล่าเรื่อง

“ข้าอับจนหนทาง ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว” น้ำเสียงหล่อนดูอ่อนล้าเต็มทน “ไม่กี่วันมานี้ข้าได้ยินมาว่า สามคนที่ขโมยต้นหยกมังกรไปมีเรื่องขัดแย้งกับเฉิงอี้ ดูเหมือนผลประโยชน์ไม่ลงตัว ข้าก็เลยมาที่นี่หวังว่าหมอหยูจะยอมช่วยข้าวางแผนเปิดเผยธาตุแท้ของเฉิงอี้”

“แล้วท่านรู้แล้วหรือว่าสามคนนั้นเป็นใคร” ช่วงเดินเข้ามานั่งลงไม่ไกลจากซิงอีนัก

“คนในสำนักช่วยกันสืบ จากข้อมูลที่เจ้าทิ้งไว้ให้นั่นแหละ มีลูกศิษย์ชาวเสียนหลัวสองคนกับชาวต้าชิงหนึ่งคนหายไป ดูเหมือนว่าสามคนนี้จะทรยศเฉิงอี้และพยายามเอาคัมภีร์หนีออกนอกเมืองเถียนอันด้วยตนเอง พอเฉินอี้รู้ เขาก็สั่งให้คนปิดเมืองกีดกันทุกทางไม่ให้สามคนนี้ออกไปจากเมืองเถียนอันได้ โดยหลอกใช้คนในสำนักช่วย วันก่อนข้าแอบได้ยินเฉิงอี้เจรจากับศิษย์อีกคนในสำนักว่า สามคนที่ขโมยคัมภีร์ไปดูเหมือนจะหาทางออกจากเมืองไม่ได้ จึงส่งสารมานัดเจรจาต่อรองกับเฉิงอี้ในวันฉลองการจัดตั้งสำนักโม่ฝ่าช่านที่จะถึงในกลางเดือนหน้า”

“นัดเจรจากันงั้นเหรอ” แหวนตาเป็นประกาย “ถ้าเราสามารถจับพวกเขาได้ในวันนั้น ทุกคนในสำนักของท่านก็จะรู้ว่าเขาทรยศ”

“ถ้าทำได้ก็คงดี แต่ข้าว่าเฉิงอี้ก็คงต้องมีแผนไว้แล้ว เขาเป็นคนรอบคอบมาก อีกอย่างวันนั้นเป็นวันฉลองการจัดตั้งสำนัก ทุกคนต้องอยู่ร่วมงานในสำนัก คงยากจะเลี่ยงออกไป”

“อ่าว แล้วเฉิงอี้ออกมาอย่างไรละ” แหวนแทรกขึ้นมา

“เฉิงอี้มีสมัครพรรคพวกมากมาย แถมเป็นคนพูดจาดีมีเหตุผลหว่านล้อมเก่ง ทำตัวดูน่าเชื่อถือ ข้าว่าเขาคงหาทางหลบเลี่ยงได้ไม่ยากถ้าออกมาประเดี๋ยวเดียว” ซิงอีถอนใจ “คนในสำนักล้วนเป็นพวกเฉงอี้ทั้งนั้นละ อย่างที่เจ้าก็เห็น ตอนที่เขาใส่ความเจ้า คนในสำนักต่างก็หลับหูหลับตาเชื่อเขาในทุกเรื่องเลยทีเดียว”

“ถ้างั้นเราจะเปิดโปงเขาได้ยังไงละเนี่ย จะใช้มุขหลอกให้เปิดเผยตัวตนแบบครั้งที่แล้วก็ไม่น่าจะได้ เพราะเท่าที่ฟังดูเฉิงอี้ดูจะมีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าท่านชายนั่น” แหวนถอนใจตามซิงอีและนั่งลงข้างๆ หล่อน ช่วงเหล่ตามองแหวนอย่างหมั่นไส้เต็มประดา

“นั่นสินะ เราด้อยกว่าพวกเขาในทุกด้าน อาคมก็สู้ไม่ได้ จะเหาะข้ามกำแพงอย่างคนพวกนั้นยังไม่ได้เลย” กัณหาครุ่นคิด “ฉะนั้นเราต้องวางแผน ต้องเป็นแผนที่ดี หลีกเลี่ยงการปะทะ”

“ท่านพูดเหมือนคิดแผนมันช่างง่ายนัก” ช่วงส่ายหน้า สีหน้าดูเอือมระอา “คราก่อนที่ศรีวิชัย พวกเราก็เกือบแย่”

“ต้องมีสิ เราต้องช่วยกัน ระดมความคิด ต้องหาจุดอ่อนของเฉิงอี้ให้เจอและเอามันมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับพวกเรา”

“จุดอ่อนของพวกคนโลภจะมีอะไร” แหวนเอียงหัวไปมา “ก็โลภมากอยากได้ทุกอย่างนั่นแหละ”

“โลภมากอยากได้ทุกอย่างงั้นหรือ…” ทั้งช่วงและกัณหาพูดพร้อมกัน แหวนมองทั้งคู่อย่างประหลาดใจ

“เราก็ต้องล่อมันด้วยสมบัตินะสิ” แหวนตอบพวกนั้น ทำไมเรื่องง่ายๆ อย่างนี้คิดไม่ออกนะ

“พูดเหมือนเรามีทรัพย์สมบัติเยอะ” ช่วงถอนใจ “แล้วอีกอย่าง ไม่ได้ยินที่หมอหยูว่าหรือไง ทรัพย์สมบัตินะ เฉิงอี้มีอย่างเหลือเฟือ เขาไม่ได้ต้องการหรอก อำนาจต่างหากที่เขาอยากได้ เขาถึงได้ตามหาคัมภีร์อย่างเเข็งขัน”

“เขาอยากได้อะไร เราก็หลอกล่อด้วยสิ่งนั้นแหละ ถ้าอยากได้คัมภีร์ เราก็ล่อด้วยคัมภีร์” แหวนเคาะจมูกอย่างรู้ดี ท่าที่หล่อนคิดแล้วว่าเท่ที่สุดในตอนนี้

“แต่เราไม่มีคัมภีร์ไง” ช่วงชักหงุดหงิด ทำไมยายแหวนถึงพูดไม่รู้เรื่องขนาดนี้เนี่ยนะ

“จะสนทำไมว่าเรามีหรือไม่มี แค่เขาเชื่อว่าเรามีก็พอแล้ว” แหวนเล่นหูเล่นตาใส่ช่วง ช่วงและกัณหาชะงัก

“หลอกว่าเรามีคัมภีร์งั้นหรือ” ซิงอีทวนคำ สีหน้าครุ่นคิด “ก็ไม่น่ายากนะ เพราะเขากับสามคนนั้นมีปัญหาไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องหาทางกีดกันไม่ให้พวกเขาพบกัน”

“ท่านต้องหาวิธีการใดก็ได้มากันไม่ให้สามคนนั้นพบกับเฉิงอี้” แหวนยิ้มน้อยๆ ส่งให้ซิงอี

“เราต้องไปจับพวกเขาก่อนวันนัดจะมาถึง” ซิงอีครุ่นคิด “พวกนั้นชำนาญสถานที่ รู้ทางหนีที่ซ่อนเป็นอย่างดี และรู้ว่ามีศิษย์คนอื่นๆ ตามตัวอยู่ อาจจะจับยากหน่อย ต้องหามุขล่อพวกนั้นออกมา”

“ก็ไม่ยากนะ” กัณหาเอ่ยขึ้นบ้าง “พวกนั้นโดนอาคมให้ตาบอด คงต้องกำลังพยายามตามหาหมออยู่แน่ๆ ถ้าหมอหยูร่วมมือด้วยละก็…”

“นั่นละ ยากสุด” ซิงอีถอนใจ สามคนรอบข้างพากันหัวเราะ

“แล้วถ้าหมอหยูยอมช่วยจริง ลำพังท่านสองคนสามารถจับตัวพวกเขาได้ไหม” ช่วงถามสิ่งที่เขาเป็นกังวลมากที่สุดก็อย่างที่รู้กันว่าเขากับแหวนไม่มีอารม

“น่าจะได้ ข้าเคยฝึกกับสามคนนั้นมาก่อน พอรู้ฝีมืออยู่บ้าง ไม่น่ายาก แต่เฉิงอี้เนี่ยสิ ต่อให้เราหลอกเขาได้จริง ถ้าเจอกันตัวเป็นๆ พลังลมปราณเขาสูงกว่าข้ามาก ข้าไม่อาจสู้เขาได้”

“ทำไมเราไม่ปล่อยให้พวกเขาเจอกันเองล่ะ เราทำตัวเป็นฤษีแปลงสารก็พอ” ช่วงเอ่ยออกมาหลังจากนิ่งไปสักพัก “ให้พวกเขาเจอกันในสถานที่ที่เราจัดไว้ สถานที่ที่เราแน่ใจว่า ทุกคนจะต้องเห็นตอนสองสามคนนี้เจรจากัน”

แต่ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย ข้าเกรงว่าเขาจะแกล้งว่า เขาออกตามหาคัมภีร์เพื่อเอากลับมาให้สำนักนะสิ เขาก็อ้างแบบนี้ตอนที่ให้ส่งจดหมายไปขอมันคืนมาจากอาจารย์แห่งเขาริมอ่าว”

“แล้วพอได้คืนแล้ว เขาก็จะแอบเอาไปศึกษาคนเดียวสินะ” แหวนเบะปาก

“งั้นเราต้องซ่อน ไม่ให้เขารู้ตัว เขาจะได้พูดเรื่องชั่วๆ ของตนเองออกมาได้หมด” กัณหาว่า “แต่จะชวนคนอื่นไปซ่อนยังไงนะ”

ยังคงมีถ้อยคำที่ทั้งสามเจรจากันอีกมาก แม้ดูจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่ก็ทำให้ซิงอีรู้สึกว่าลำคอของตนเริ่มตีบตันเมื่อสัมผัสได้ว่าคนแปลกหน้าจากเมืองไกล พยายามหาวิธีช่วยเหลือเธอ

เธอที่ไม่เหลือใครให้พึ่งพิงแล้ว

“แล้วหนุ่มน้อยที่มากับพวกเจ้าคนนั้นอาการดีขึ้นหรือยัง” นางเปลี่ยนเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตนก่อนจะน้ำตาซึมออกมา

“ดีขึ้นมากนะ ตอนแรกไม่รู้ว่าอาการจะหนักขนาดนี้ เห็นยิ้มเล่นหัวเราะร่าได้อยู่เลย” แหวนตอบห้วนๆ “อาคมของพวกท่านน่ากลัวมาก”

ซิงอียิ้มมุมปากก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่รู้จักอาคมที่เจ้าว่าดีนัก รู้แค่ว่ามันเป็นวิชาของพวกเสียนหลัวและเมืองทางใต้” ซิงอียักไหล่ “หลายคนในเมืองนี้ใช้สองคำนี้แทนที่กัน แต่เท่าที่ข้าฟังจากเพื่อนชาวเสียนหลัวที่รู้จักกัน ข้าว่ามันไม่เหมือนกันซะทีเดียว แม้มีกระบวนการคล้ายๆ กันก็ตาม”

“อ้าว แล้วมันเรียกว่าอะไรล่ะ” กัณหาหันขวับมามองซิงอี

“ปราณ พลังลมปราณคือสิ่งที่ทำร้ายเพื่อนของเจ้า มันเป็นการใช้พลังแห่งจิต ควบคุมลมปราณในร่างกายให้สามารถนำมาใช้ในรูปแบบที่ต้องการได้ เช่นใช้ต่อสู้ ใช้ขนย้ายของที่ใหญ่เกินกำลัง ใช้ให้การรักษา ใช้เหาะขึ้นจากพื้นดิน พลังปราณนั้นยิ่งใหญ่มาก เพราะเป็นพลังจากภายใน อาจทำให้เพื่อนเจ้าบาดเจ็บปางตาย โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลย”

“น่ากลัวมาก” กัณหานึกถึงภาพตอนที่อาติถูกทำร้าย

“วิชาจะดีชั่วอยู่ที่คนไม่ใช่วิชา” เสียงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงขบขัน กัณหาชะงักที่ได้ยินอย่างนั้น แล้วก็หัวเราะแก้เก้อ

“ฉันก็ว่าไปอย่างนั้นเอง” เธอรีบอุบอิบตอบ ซิงอีแย้มยิ้ม “ว่าแต่ท่านมาที่นี่ได้ยังไงหรือ ไหนชาวบ้านบอกว่าเดินทางจากเถียนอันมาที่นี่ต้องใช้เวลานานหลายเดือน แต่ท่านใช้เวลาไม่นาน”

“ข้ามีวิชาตัวเบา แค่เหาะข้ามขุนเขาใช้เวลาไม่นานหรอก แต่เห็นจะสู้พาหนะของพวกเจ้าไม่ได้” ซิงอีเงยหน้าขึ้นมองรูปลักษณ์ขนาดใหญ่ของเรือเหาะ “มันเหาะได้ไวมากจริง”

“เรือนเหาะนั่นเป็นเครื่องจักร เหาะได้ไม่รู้เหนื่อย แต่ท่านมีวิชาตัวเบาที่สามารถเหาะข้ามเขาได้ไวยิ่งกว่าขี่ม้าซะอีก” กัณหาตื่นเต้น “น่าทึ่งมากเลย”

“วิชาตัวเบาแห่งเถียนอันเป็นหนึ่งในห้าพลังลมปราณแห่งเถียนอัน ถูกค้นพบเมื่อพันกว่าปีมาแล้ว โดยชาวเมืองเถียนอัน พวกเขาค้นพบว่า เราสามารถใช้พลังแห่งจิต ควบคุมลมปราณในร่างกายให้สามารถนำมาใช้ในรูปแบบที่ต้องการได้ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เถียนอันเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงขึ้นชื่อลือชา และมีสำนักก่อตั้งมามากมาย เพื่อถ่ายทอดความรู้เรื่องการใช้ลมปราณ สำนักโม่ฝ่าช่านเป็นหนึ่งในนั้น”

“ซึ่งตอนนี้เราก็ต้องคิดวิธีรับมือกับพลังลมปราณพวกนี้ด้วยใช่ไหม” แหวนเสียงอ่อนลง “เผื่อพวกนั้นเกิดบ้าดีเดือดขึ้นมา”

“ข้าว่ายังไงเจ้าก็ต้องการหมอหยูอยู่ดี ไม่ว่าใช้แผนใด เพราะอย่างที่เห็น ถ้าเรารับมือกันเอง ตอนนี้ก็มีคุณหนูคนเดียวที่ใช้อาคมเป็น เราสองคนนั้นก็คงได้แต่มอง ส่วนอาติไม่ต้องพูดถึง แรงจะลุกเดินก็ยังไม่ค่อยมี ส่วนบารัต…”

ช่วงชะงักเพราะไม่แน่ใจว่าบารัตมีอาคมไหมในเมื่อเจ้าตัวไม่เคยแสดงให้ดู และตัวเขาเองก็ไม่เคยถามบารัตเลย

“ตอนนี้ดึกมากแล้วนะ” ซิงอีตัดบทขึ้นมา “เราแยกย้ายกันไปนอนดีกว่าพรุ่งนี้ค่อยคิดอ่านกันเถิดว่าจะทำอย่างไรต่อ”