กัณหาออกตามหานกการเวกตามที่ต่างๆในตลาดน้ำอยู่ถึงสามวัน แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา จนเธอถอดใจแล้วว่าคงไม่ได้มีโอกาสพบมันอีก เย็นวันนี้กัณหานั่งอยู่รอบกองไฟในเขตวัดกับนายช่วงด้วยความห่อเหี่ยวใจ เพราะเธอตัดสินใจแล้วว่าถ้าวันนี้ยังไม่พบมัน เธอจะออกเดินทางแล้วและไม่ตามหามันอีก 

“มันคงบินหนีไปแล้วละ นกพวกนี้ไม่ใช่นกเลี้ยง มันหากินเองได้ ท่านไม่ต้องกังวล” ช่วงบอกให้เธอสบายใจ

“ถ้ามันบินหนีไปได้ก็ดี ฉันกลัวแต่มันจะถูกจับไป เพราะมันสีสวยมาก” กัณหาว่า

สามวันที่ผ่านมานี้ ช่วงพากัณหามาอาศัยในเขตวัดบ้านหวาย เจ้าอาวาสให้กัณหาอาศัยกับแม่ชีสองสามคนที่อาศัยอยู่ที่กุฏิเล็กๆหลังวิหาร แม่ชีทั้งสองใจดีกับกัณหามาก นอกจากจะต้อนรับเธอเป็นอย่างดีแล้ว เมื่อรู้ว่าเธอไม่มีเสื้อผ้าติดตัวมาเลย ก็ไปหาเสื้อผ้าเด็กผู้หญิงเก่าๆมาให้ ถึงแม้มันจะเก่าสักหน่อย แต่ก็ยังสะอาดสะอ้านและแข็งแรงทนทานดี นอกจากนั้นข้าวปลาอาหารที่กินตลอดสองสามวันที่ผ่านมาก็อาศัยข้าวก้นบาตรของพระที่เหลือมาปันให้กิน 

กัณหาเพิ่งรู้จากช่วงว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทกับขุนคราม ราชองครักษ์ของพระอุปราช ช่วงบอกว่าพวกเขาเริ่มเรียนวิชาการต่อสู้มาด้วยกันตั้งแต่เล็ก พอโตขึ้นช่วงก็ไปรับราชการในวัง ส่วนขุนครามก็ถูกบิดานำตัวไปฝากเป็นทหารของพระอุปราช 

“แล้วช่วงนี้ท่านไม่ต้องเข้าไปในวังแล้วหรือ” กัณหาถามขึ้นมา เธอนึกแปลกใจที่ตลอดสองสามวันนี้ช่วงมีเวลามาช่วยเธอตามหานกได้ 

“ข้าไม่ต้องไปที่นั่นแล้วละ” ช่วงตอบ 

“ทำไมละ ไม่ต้องเข้าเวรเลยเหรอ ฉันเห็นขุนครามไปไหนมาไหนกับพระอุปราชตลอด”

ช่วงถอนใจยาว ไม่พูดอะไรสักพักระหว่างเขี่ยฟืนในกองไฟให้กองไฟลุกโชนขึ้น กัณหาทอดมองเขาอย่างไม่วางตา และอีกฝ่ายก็ดูจะรู้ว่าถูกจับตาอยู่จึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า

“ข้าถูกไล่ออกจากราชการแล้ว” เขาบอก นัยน์ตาดูกร้าวขึ้น มีความหงุดหงิดในน้ำเสียงของเขา

“ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงไล่ท่านออก” กัณหาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ

“หึ ระบบราชการ ภายนอกดูหรูหราสวยงามมั่นคง แต่ภายใน…” เสียงเขาหายไปแล้วก็ไม่พูดสิ่งใดอีก

กัณหาไม่ซักไซ้ต่อ เธอสัมผัสได้ว่าช่วงไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้มากนัก เธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุย

“เราตามหานกการเวกมาสามวันแล้ว เมื่อไม่เจอก็จำต้องตัดใจละ พรุ่งนี้คงต้องเดินทางไปหาอาจารย์ของท่านแล้ว” กัณหาบอกเขา “แล้วเราต้องทำอย่างไรต่อ เดินทางไปอย่างไร”

“อาจารย์ข้าอาศัยอยู่ที่เขาริมอ่าว” ช่วงตอบ น้ำเสียงของเขาดูสงบลงเมื่อเปลี่ยนเรื่อง “ทางเดียวที่จะไปถึงที่นั่นได้ไวและสะดวกคือ ลงเรือที่ท่ามะกอก ล่องไปตามแม่น้ำอาจใช้เวลาราวๆสองสัปดาห์น่าจะถึงเขาริมอ่าว ข้ารู้จักคนเรือที่จะพาเราไปส่งได้ ถ้าท่านพร้อมจะเดินทาง ข้าจะไปแจ้งเขาคืนนี้เลย” 

“งั้นพรุ่งนี้เช้า เราไปซื้อเสบียงที่ตลาดน้ำก่อนแล้วค่อยไปลงเรือดีไหม” 

“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะไปแจ้งคนเรือคืนนี้ ท่านควรรีบกลับที่พักไปจัดแจงข้าวของของตนเองเถิด”  

 

รุ่งเช้าวันถัดมา กัณหาตื่นแต่เช้าหลังจากตรวจข้าวของเรียบร้อยแล้ว กัณหาก็เข้าไปล่ำลาแม่ชีทั้งสองและภิกษุที่อยู่ในวัด ก่อนเดินทางออกจากวัดมาพร้อมกับช่วงมาถึงตลาดน้ำ ในตลาดเช้านี้ยังคงคึกคักเหมือนทุกครา ผู้คนมากมายออกมาจับจ่ายใช้สอย หลายคนหอบหิ้วตะกร้ามาด้วย ภายในเต็มไปด้วยของหลายชนิด ในคลองเต็มไปด้วยเรือขายสินค้านับสิบชนิด คนในตลาดคุยกันจ้อกแจ้กจอแจ ช่วงกับกัณหาแวะที่ร้านของแห้งร้านหนึ่งที่ริมฝั่งคลอง

“ปลาแห้ง เพิ่งตากเสร็จใหม่ๆเลยจ้า” แม่ค้าปลาแห้งตะโกนแข่งกับเสียงผู้คน

“ซื้อปลาแห้งเก็บไว้แหละดี เก็บได้นาน” ช่วงเสนอ ชี้ชวนให้ไปดูปลาแห้งที่วางเรียงราย

“ช่วยฉันเลือกหน่อยสิ ฉันเลือกไม่เป็นหรอก” กัณหาบอกช่วง ช่วงหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินประโยคนั้น

“ข้าก็เลือกไม่เป็น ลองถามแม่ค้าดูไหม” เขาเงยหน้าขึ้นกำลังจะเอ่ยถามแม่ค้า ได้ยินแม่ค้าอีกคนที่อยู่ไม่ไกลนักตะโกนมาถามแม่ค้าขายปลาแห้งว่า

“เห้ย เมื่อวานเอ็งไปส่งของที่บ้านเศรษฐีทองใบมารึเปล่า เป็นไง นกนำโชคที่เขาจับได้นั่นสวยอย่างที่เขาโม้ไหมวะ” 

“สวยจริง” แม่ค้าปลาแห้งบอก “ตัวนี้สีเหลืองทองเลยทีเดียว ตัวใหญ่มากน่าจะประมาณไก่มั้ง”

“แล้วมันร้องเพลงเพราะไหมวะ เขาลือกันว่านกพวกนี้ร้องเพลงเพราะมากไม่ใช่รึ” 

“ข้าก็ไม่รู้ แต่ดูสภาพตอนนี้ไม่น่าจะร้องได้ ตอนไปข้าเห็นมันฟุบอยู่ในกรงท่าทางเหมือนนกบาดเจ็บ” แม่ค้าปลาแห้งตอบ “เลือดงี้ยังเกรอะกรังอยู่เลย พวกไอ้ยอดมันบอกว่านกมันบินเร็ว จับยาก พวกมันเลยเอาธนูยิง เลือดอาบทีเดียว น่าสงสารนกเหลือเกิน ข้าได้ยินว่าไอ้ยอดโดนเศรษฐีด่าไปหลายที ก็แหม เขาต้องมาเสียค่าหยูกยารักษานกอีก”

กัณหาตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินประโยคนั้น ช่วงก็เช่นกัน เขาชะงักค้างและหันมามองที่กัณหา 

“ใช่นกของท่านรึเปล่า” เขากระซิบสีหน้าวิตกกังวลมาก

“ไม่รู้” กัณหารู้สึกหัวใจเธอหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย เธอไม่อยากจะไปเยี่ยมเยียนเศรษฐีทองใบอีก 

“นกที่เอ็งพูดคือนกอะไรรึ” ช่วงถามเสียงดังขัดจังหวะแม่ค้าทั้งสอง

“อ้าว ใต้เท้า ท่านไม่รู้รึ” แม่ค้าปลาแห้งแซว ทำตาหวานใส่ช่วง ดูท่าทีแล้วเหมือนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี “ เมื่อหลายวันก่อน มีนกบินหลงเข้ามาในเขตตลาดน้ำ เป็นนกสีทองตัวใหญ่และงดงามมากมาก ท่าทางจะหลงทางมา คนที่เขาเห็นพากันไล่จับกันใหญ่ บอกว่าน่าจะเป็นนกนำโชค เพราะมาตอนช่วงสมโภชกรุงพอดี”

“แล้วตอนนี้นกอยู่ที่ไหน บ้านเศรษฐีเหรอ” 

“ใช่จ้า ท่านเศรษฐีให้พวกไอ้ยอดไปจับมา กว่าจะจับได้เห็นว่าวุ่นวายกันทั้งตลาดเชียว เห็นว่าถึงขั้นต้องไปเอาธนูมายิง ” แม่ค้าสรุป “อ้าวจะไปไหนละ”

กัณหาและช่วงเดินออกมาจากร้านขายปลาแห้ง กัณหาไม่มีกะจิตกะใจจะซื้อปลาแห้งอีกแล้ว ตอนนี้เธอรู้สึกพะอืดพะอมคลื่นไส้มากกว่าเมื่อนึกถึงสภาพของนกน้อยนั่น ตอนนี้ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร หลังจากถูกพลธนูยิง เธอนึกถึงภาพตอนมันทิ้งตัวลงบนเตียงนอนของเธอแล้ว เธอคาดว่าตอนนี้มันน่าจะแย่กว่านั้นอีก

“แล้วท่านจะเอายังไง” ช่วงกระซิบเมื่อเดินออกมาห่างจากร้านปลาแห้งแล้ว “ข้าว่าเศรษฐีนั่นไม่มีวันให้คืนแก่ท่านง่ายๆหรอก ใครๆก็รู้กันว่ามันเป็นพวกเห็นแก่ตัว งกสุดในย่านนี้”

“แล้วเราควรทำอย่างไร เงินเราก็ไม่ได้เหลือมากนัก“ กัณหานึกหดหู่ใจเมื่อคิดถึงเงินที่ต้องเสียไป ไม่น่าใจดีเล้ย

“เมื่อครั้งก่อนตอนข้าบอกว่าท่านเป็นลูกสาวขุนคราม เศรษฐีนั่นก็ดูจะเชื่ออยู่นะ ไม่แน่ถ้าเราไปบอกว่านกนี้เป็นของท่านมันอาจยอมให้คืนก็ได้ แต่ท่านต้องทำหน้าเชิดๆเข้าไว้ ทำวางอำนาจบาตรใหญ่ให้เจ้าเศรษฐีนั้นกลัว มันจะได้ยอมคืนนก”

“ตกลง ฉันจะลองดู” กัณหารับคำ 

หลังจากเจรจาปรึกษาแผนการกันเรียบร้อย กัณหาและช่วงก็ย้อนกลับไปยังบ้านเศรษฐีทองใบอีกครั้ง กัณหาไม่นึกอยากกลับไปที่นั่นอีก แต่เมื่อนึกถึงสภาพเจ้านกน้อยที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร จะทรมานแค่ไหนในเงื้อมมือเศรษฐีขี้งก กัณหาก็กลั้นใจเดินไปตามทาง