กัณหาไม่เคยเห็นทะเลมาก่อนเลยในชีวิต เธอจึงตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ เมื่อเรือกำลังออกจากปากอ่าว ต้นไม้โกงกางรอบตัวเริ่มๆค่อยๆขยับห่างออกไปทุกทีๆ ในขณะที่ผืนน้ำตรงกลางเริ่มกว้างออกเรื่อยๆ รอบตัวพวกเขามีแต่น้ำเต็มไปหมด จนเมื่อพ้นเขตป่าแล้ว พวกเขาก็เห็นผืนน้ำกว้างขวางสุดลูกหูลูกตาจนเห็นเส้นขอบฟ้าอีกข้าง คลื่นลมเริ่มแรงกว่าตอนแล่นเรืออยู่ในแม่น้ำ คลื่นน้ำกระทบตัวเรือเสียงดังและแตกเป็นละอองฝอยกระจายไปทั่วบริเวณหัวเรือ แหวนและนิ่มก็ไม่เคยเห็นทะเลเช่นกัน แหวนมายืนดูทะเลปากอ่าวตรงหัวเรือเหมือนกัณหา เมื่อละอองฝอยกระเด็นมาถูกหน้า สองสาวก็พากันหัวเราะอย่างมีความสุข  แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวัน เมื่อพวกเขาอยู่แต่บนเรือที่รายรอบด้วยผืนน้ำกว้างขวาง โดยไม่มีอะไรดึงดูดสายตาเลย ก็ทำให้กัณหาเริ่มเข้าใจคำพูดของเที่ยงที่ว่า จริงๆแล้วทะเลไม่มีอะไรเลย มีแต่น้ำกับฟ้า

หลังจากผ่านไปราวห้าหกวัน พวกเขาเริ่มเห็นฝั่งอยู่ไกลๆ กัณหาเองก็เริ่มอยากขึ้นฝั่งเต็มที เพราะนั่นแสดงว่าพวกเขาใกล้ถึงเขาริมอ่าวแล้ว ในเช้าวันถัดมา พักเที่ยงก็ชี้ชวนให้ดู เขาลูกใหญ่ที่อยู่ริมหาดด้านหนึ่ง เขาลูกนั้นมียอดแหลมยื่นออกมาในทะเลเหมือนหัวเรือที่พวกเขานั่งมา 

“นั่นไงเขาริมอ่าว” เขาบอกอย่างอารมณ์ดี “จากนี่อีกสักสองสามชั่วยามก็ถึงฝั่ง” 

“อ่าวนี่สวยงามมากเลยนะ ลุง” แหวนเริงร่าตะโกนมาจากหัวเรือ “อากาศก็ดี ไม่มีเมฆสักก้อน ลมก็สงบ”

“ใช่ มีหาดสวย สีขาว ทอดยาวอยู่หน้าเขา มีสระน้ำสีมรกตสวยมาก เอ็งต้องไปดู” เที่ยงเล่าต่อ

เมื่อเรือของพวกเขาขยับใกล้ฝั่งขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆเมฆสีดำทะมึนก็ปรากฏขึ้น ตามมาด้วยลมพัดไหวแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว และฝนที่ตกซัดกระหน่ำลงมาในทันทีทันใด  จนกัณหาและแหวนที่นั่งอยู่ที่หัวเรือถึงกับเข้ามาในประทุนเรือแทบไม่ทัน

“นี่มันอะไรกัน” กัณหาว่า “เมื่อสักครู่อากาศยังดีอยู่เลย”

“ดูแล้วไม่เหมือนฝนธรรมชาติเลย” เที่ยงกระซิบงึมงำ ช่วงเองก็มีท่าทีครุ่นคิด

“ท่านหมายความว่า มันเป็นอาคมจากฝีมือใครบางคนเหรอ” กัณหาถาม มองดูฝนที่ตกอย่างแรง ลมตีพัดประทุนของพวกเขาอย่างรุนแรง เรือของพวกเขาเริ่มโคลงแรงขึ้นตามแรงลมและคลื่น

“ท่านได้บอกอาจารย์ท่านรึเปล่าว่าจะมาเยี่ยม” กัณหาหรี่ตามองช่วงอย่างไม่สบายใจ เมื่อยังไม่มีคำตอบจากใครสักคน “ฉันชักกลัวว่านี่อาจเป็นวิธีการต้อนรับแขกแปลกหน้าของอาจารย์ท่านก็ได้”

“ไม่” ช่วงตอบ ทั้งเรือหันมามองเขา

“แล้วท่านคงจะไม่ได้ลืมบอกเราใช่ไหมว่า ท่านเป็นศิษย์ชังของเขา”แหวนว่า เสียงสูงขึ้น “ท่าทางเขาน่าจะอยากต้อนรับเรามากเลย ดูสิ! ทำไมไม่บอกเขาละว่าจะมาหา!!!”

“ก็ข้าเพิ่งบอกไม่ใช่เรอะ ว่านกนำสารของข้าเพิ่งตาย” ช่วงเลิกคิ้ว “จะให้บอกอาจารย์ยังไงละ”

แหวนถลึงตามองช่วงอย่างโกรธจัด ขณะที่พยายามเกาะส่วนต่างๆของเรือให้ทรงตัวอยู่ให้ได้ นางนิ่มมองไปรอบๆอย่างหวาดหวั่น เที่ยงพยายามบังคับเรือให้ยังทรงตัวอยู่ได้กลางพายุที่โหมกระหน่ำ ช่วงนั่งอยู่กลางเรือโดยนิ่งๆอย่างครุ่นคิด ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เราลองจุดพลุไฟอะไรเป็นสัญญาณให้บนฝั่งรู้ไหม”

“ข้าไม่ได้เอาพลุไฟมา” เที่ยงบอก ยังคงพยายามบังคับเรืออย่างสุดกำลัง “และเรือโคลงขนาดนี้ข้าไม่คิดว่าจะจุดพลุอะไรได้” 

“แย่แล้ว” นางนิ่มอุทานเมื่อเรือเริ่มเอียงอย่างน่าหวาดเสียวอีกรอบ 

“เราต้องทิ้งเรือ” ช่วงว่า พยายามขยับไปที่ด้านหน้าเรือ “ว่ายน้ำอีกนิดเดียวก็คงถึง”

“ท่านจะบ้าเรอะ นี่มันน้ำทะเลนะ ไม่ใช่คลองหน้าบ้าน” แหวนแหวกขึ้นมา “พายุขนาดนี้ใครจะไปว่ายน้ำได้”

“มันเป็นพายุอาคม ที่มุ่งหวังให้เรือล่ม” ช่วงบอก ตอนนี้เขาออกไปยืนที่หัวเรือแล้ว “จะไม่มีผลถ้าเจ้าไม่ได้อยู่บนเรือ”

“หมายความว่าไงนะ” แหวนทวน “แล้วมันจะมีผลน้อยลงถ้าท่านลอยอยู่ในน้ำรึไง!!!”

“เราต้องสละเรือ กระโดดลงน้ำไป” เที่ยงว่า “ข้าเองก็ชักเอาไม่อยู่เหมือนกัน ไปเถอะ” ว่าแล้วตัวเขาก็ชี้ไปทางหัวเรือ

แหวนกับกัณหาและนางนิ่มได้แต่มองหน้ากันอย่างวิตกกังวล กัณหาคิดว่าขืนนั่งต่อไปเรือก็คงจะล่มจริงเหมือนที่ช่วงว่า จึงเอ่ยปากว่า “ทำตามที่เขาบอกเถอะ”

“แล้วนกนี่ละ” แหวนพยักพเยิดไปทางนก

“ฉันจะกระโดดลงน้ำก่อน แล้วแหวนค่อยยื่นตามลงมาให้ฉัน” กัณหาบอก ก่อนตามช่วงและเที่ยงไปที่หัวเรือ พวกเขาค่อยๆทยอยกันกระโดดลงไปในน้ำ เมื่อลงมาอยู่ในน้ำทะเล กัณหารู้สึกแปลกใจว่าคลื่นในน้ำทะเลดูเบาลงกว่าเมื่อเทียบกับอยู่บนเรือ ทั้งๆที่ลมยังแรงเหมือนเดิม สักพักแหวนและนางนิ่มก็ตามลงมา กัณหารับกรงนกมาวางบนน้ำทะเลอย่างเบามือก็พบว่ามันลอยได้

พวกเขาหันหลังกลับไปมองเรือที่เพิ่งโดยสารมา เห็นเรือโคลงอย่างรุนแรง สักพักมันก็เริ่มเอียงและจมลงสู่ทะเล

“เรือข้า” เที่ยงคราง

ทันทีที่เรือจมลงทะเลคลื่นพายุก็หายไปในทันทีราวกับว่าไม่เคยมีพายุมาก่อน ลมก็สงบนิ่งไม่ไหวติง แต่ท้องฟ้าเหนือศีรษะพวกเขายังคงมืดครึ้มอยู่ 

“รีบว่ายกันเถอะ” ช่วงเสนอ ก่อนออกนำขบวนว่ายน้ำสู่ฝั่ง 

กัณหาว่ายน้ำตามหลังช่วง เธอรู้สึกว่าเมื่อว่ายไปเรื่อยๆ ช่วงดูว่ายน้ำช้าลงทุกทีๆ น้ำทะเลที่ว่ายอยู่ก็เริ่มเหนียวหนืดมากขึ้นทุกที และสักพักสีของมันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง 

“ทำไมมันเป็นเช่นนี้” กัณหาอุทาน เธอหยุดว่ายและหันไปมองช่วง 

ช่วงที่อยู่ด้านหน้าของเธอก็หยุดว่ายน้ำเช่นกัน เขาดูปล่อยตัวให้ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลโดยไม่สนใจจะว่ายน้ำต่อ หรือสนใจดูคนอื่นๆที่ตามมา กัณหามองเขาอย่างแปลกใจ เมื่อเธอหันกลับไปมองด้านหลังก็เห็นว่า เพื่อนร่วมทางคนอื่นๆของเธอก็มีอาการเช่นเดียวกัน พวกเขาหยุดว่ายน้ำเฉยๆ และปล่อยตัวให้ลอยเคว้งอยู่ในน้ำ นัยน์ตามองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า

“เกิดอะไรขึ้น” กัณหามองทุกคนอย่างตกอกตกใจ น้ำรอบตัวเธอเริ่มมีสีแดงมากขึ้น ดูแล้วคล้ายน้ำเลือด