“บอกข้าซิว่าท่านมีแผนการเดินทางว่าท่านจะไปไหน” เสียงหงุดหงิดดังมาจากนกตัวสีน้ำตาลทองที่เกาะอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามกับเด็กหญิงเอ่ยขึ้น

          “ยัง ยังไม่มี” คำตอบสบายๆที่คาดว่าจะได้ยินอยู่แล้วดังมาจากเด็กหญิง “อย่าพูดมากสิ ประเดี๋ยวคนอื่นก็รู้หรอกอยากให้คนรู้ว่าเธอพูดได้รึ ทีนี้ไม่ได้ไปไหนแน่”

           “เฮ้ย…”นกถอนหายใจยาวมากที่สุด 

           นึกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ตัวเขาต้องแหกปากร้องเพลงกล่อมคนทั้งวังอยู่เป็นนาน กว่าที่อีกฝ่ายจะพายเรือจนพ้นเขตวังมาได้ทั้งๆที่ตัวเองก็เพิ่งฟื้นจากสภาพหมดแรงปางตายเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนจะเริ่มต้นร้องเพลงนี่เอง เขาคาดหวังว่าตัวเองจะได้นอนหลับสบายหรือไม่ก็นอนตายไปเลย จะได้ไม่ต้องตื่นมาปวดหัวกับมนุษย์น้อยคนนี้อีก แต่พอตื่นรู้ตัวมาอีกทีก็มาอยู่กลางตลาดที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนและถูกห่อพันไว้ด้วยผ้าสีแดงจนเหลือแต่หน้าเช่นนี้

          “รีบกินเร็วเข้า เดี่ยวมะม่วงเน่า” เด็กน้อยบอก  ตัวเธอเองก็หยิบข้าวเหนียวจากในกระติ๊บมากินอย่างเอร็ดอร่อย  ขณะนี้พวกเขานั่งอยู่ตรงข้ามกันในร้านอาหารริมคลองในตลาดน้ำแห่งหนึ่ง กัณหาซื้อข้าวเหนียวและปลาปิ้งห่อใบตองมานั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย ก็แหมเธอนั่งพายเรือจนปวดแขนตั้งแต่วังมาจนถึงตลาดน้ำแห่งนี้ ในขณะที่เจ้านกนั่นนอนหลับอุตุตั้งแต่ออกจากวังมา เธอก็ต้องหิวเป็นธรรมดา “กองทัพต้องเดินท้อง ต้องกินก่อนจึงจะคิดออก” เธอสรุป

          เจ้านกการเวกส่ายหัวกับความซวยของตนเอง ถูกขับไล่ยังไม่พอ ยังพลัดหลงทางเข้ามาในเขตเมืองมนุษย์ ที่แย่สุดคือหิวโหยจนหลงมาเจอลูกมนุษย์มากปัญหาคนนี้ แต่อย่างว่าถ้าไม่ใช่เพราะลูกมนุษย์ช่วยเขาเอาไว้ เขาก็อาจต้องตายเพราะความหิวโหยเป็นแน่ คิดแล้วก็นึกไปว่าลองมองโลกในแง่ดีอย่างน้อยตอนนี้ก็มีอาหารกินไม่ลำบาก ส่วนเรื่องอนาคตค่อยว่ากัน คิดเสร็จก็ลงมือจิกกินน้ำจากมะม่วงหวานที่เด็กน้อยไปซื้อหามาให้ อีกฝ่ายเห็นทีท่ากินมะม่วงของเขาแล้วก็ดูพอใจ ลงมือกินข้าวกับปลาปิ้งของตนเองต่อ หลังจากนั่งกินจนอิ่มหนำสำราญแล้ว เด็กน้อยก็ห่อข้าวและปลาปิ้งที่เหลือด้วยใบตองอีกครั้ง แล้วห่อทับด้วยผ้าคาดเอวที่พกมา

          “น่าจะไปซื้ออาหารตุนไว้ด้วย” เธอบอกนก “ซื้อกระติ๊บข้าวอันโตๆ แล้วก็ของกินจิปาถะตุนไว้ เผื่อหิวกลางทาง”

          “ต้องตุนไว้แค่ไหน” นกย้อนถาม 

          “ก็ให้มีพอกิน ไม่ต้องมาอดอยากเหมือนเธอหรอก” กัณหาย้อนอย่างอารมณ์ดี พลางหยิบเงินเหรียญที่ร้อยอยู่เป็นพวงไว้ที่เอวขึ้นมาดู แล้วก็ค่อยรูดเอาเหรียญออกมาใช้สองเหรียญ 

          ดีนะที่คืนวันนั้นเธอยังไม่ทันได้เข้าไปผลัดผ้าและข้าวของเครื่องประดับออก เงินที่แม่นมเคยสอนว่าให้พกติดตัวเสมอจึงยังผูกอยู่ที่เอว ถ้าได้ผลัดผ้าแล้วคงไม่ได้เอาเงินออกมาด้วยเป็นแน่ ตอนที่กลับออกมาเพื่อจะไปที่ท่าเรือก็คิดแต่จะไปหยุดการเผาร่างของแม่นมให้ทัน จึงไม่ได้สนใจเตรียมเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้หรืออาหารมาด้วย ตอนนั้นคาดว่าจะกลับไปที่วังก่อนหลังจากเสร็จงาน แต่พอถูกพระบิดาจับได้ตอนหนีออกจากวัง กัณหาแน่ใจว่าถ้าเธอย้อนกลับไปอีกคงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากวังเป็นแน่ เธอจึงเปลี่ยนใจเริ่มเดินทางตามหาน้ำอมฤตเสียเลย แม้ไม่ได้พกอะไรมามากมายแต่อย่างน้อยก็มีเงินพกติดตัวพอหาซื้อเสื้อผ้าและอาหารได้ไม่ลำบาก วันนี้เธอก็พาเจ้านกน้อยเข้ามาในตลาดน้ำบ้านหวาย ตลาดที่แม่นมชอบชี้ชวนให้ดูตลอดเวลาที่เรือผ่านทางเข้าตลาดน้ำ เธอเคยบ่นบ่อยๆว่าอยากเข้ามาดูตลาดน้ำสักครั้งแต่ถูกแม่นมห้ามด้วยเหตุผลที่ว่า “หญิงชั้นสูงใครเขามาเดินตลาดกัน”

          แต่กลายเป็นว่าในยามนี้ตลาดน้ำเป็นที่เหมาะสมแก่การหลบซ่อนตัวและหาเสบียงข้าวของเครื่องใช้มากที่สุด ด้วยมีผู้คนพลุกพล่านเดินไปมาจนยากจะสังเกตว่าใครเป็นใคร อีกทั้งมีข้าวของให้เลือกซื้อมากมายนับไม่ถ้วน

          “แค่นี้น่าจะพอ” กัณหาบอกกับนก แล้วผูกด้วยที่ร้อยเหรียญที่เหลือเข้ากับเอวเหมือนเดิม ไปเถอะไปซื้อหาข้าวของกัน “ควรซื้ออะไรมั่ง” เธอถามนกต่อ

          “อาหารกับเสื้อผ้าของท่านก็น่าจะพอมั้ง เดี๋ยวสตางค์หมดซะก่อน” นกน้อยเสนอ กัณหาหัวเราะก่อนจับผ้าที่พันรอบตัวนกน้อยมาผูกเข้าไว้กับเอวของเธอ 

         “ไปร้านนั่นดีกว่า ฉันเห็นมีขายพวกกระติ๊บอยู่เยอะ อันใหญ่สวยๆทั้งนั้น” 

         “เอามาทำไม” นกแย้ง

         “เอาไว้ใส่ของไง จะเดินถือก็ลำบาก” กัณหาบอกรีบเดินไปลงเรือที่จอดไม่ห่างจากร้านที่กินข้าวมากนัก ก่อนเริ่มต้นพายเรืออีกครั้งแม้จะรู้สึกปวดเมื่อยแขนมากก็ตาม เธอพายไปจนถึงร้านที่ขายพวกเครื่องจักรสานต่างๆ พายเรือเทียบไว้ตรงที่ท่าแล้วขึ้นไปหาซื้อของในร้าน 

          ร้านนี้ขายของพวกจักรสานทุกอย่างตั้งแต่ตระกร้า หมวก กระเป๋า กระติ๊บข้าว ฯลฯ กัณหาเดินดูมันอย่างเพลิดเพลิน ตอนแรกตั้งใจว่าจะซื้อกระติ๊บข้าวอันใหญ่ พอเห็นกระเป๋าจักรสานแล้วก็เกิดเปลี่ยนใจอยากได้ พอเดินผ่านมาถึงตรงที่ขายกระเป๋าย่ามจักรสานก็เกิดเปลี่ยนใจอยากได้อันนี้แทน

        “โอ้ย สวยทั้งนั้น เอาอันไหนดีละ” เธอถามนกอย่างอารมณ์ดี

         “เลือกสักอันแล้วรีบไปกันเถอะ” นกบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดที่ฟังได้ชัดเจนแม้จะอยู่ในผ้า

         “แหม ก็มันสวยหลายอัน” กัณหายิ้ม เลือกกระเป๋าย่ามจักรสานอันใหญ่พอตัว แล้วจ่ายเงินให้แม่ค้าไป เธอได้เงินทอนเป็นหอยเบี้ยเล็กๆจำนวนมากมาย แต่เธอไม่มีถุง ไม่รู้จะเก็บยังไง แม่ค้าเลยหาถุงผ้ายาวๆมาให้เธอใส่เบี้ย 

         “ขอบใจนัก” เธอยิ้มแล้วก็หันหลังไปกำลังจะก้าวออกจากร้านไปที่ท่าน้ำแต่ได้ยินเสียงดังจนต้องเหลียวหลังกลับไปมอง

         “มานี่ มานี่บัดเดี๋ยวนี้” เสียงดังมาจากชายวัยกลางคนร่างผอมแห้งดูอมโรคในชุดเสื้อผ้าเก่าขาดวิ่นอยู่บนถนนอีกฝั่งของร้าน เขาถือโซ่ไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกมือก็ถือแส้แล้วเฆี่ยนลงไปบนหลังผอมบางของหญิงสายวัยแรกรุ่น ผมยาวประบ่ารุงรังในชุดเสื้อผ้าที่กระเซอะกระเซิงพอกัน หล่อนถูกล่ามโซ่ที่ข้อมือ หล่อนพยายามรั้งโซ่ไว้ไม่ยอมเดิน

         “พ่อ ได้โปรด ข้าขอละ” ร่างเล็กนั้นทรุดนั่งลงกอดเข่าของชายคนนั้นอย่างน่าเวทนา ไม่ยอมให้เขาออกเดินไป

         “หยุดนะ ปล่อย” ชายคนนั้นพยายามแกะมือหญิงสาวออก อีกมือหนึ่งก็ขยับแส้ฟาดไปที่หลังนั้นอีกครั้ง กัณหาเห็นว่าหลังของหญิงสาวนั้นเต็มไปด้วยรอยฟาดทั้งเก่าและใหม่ รอยใหม่บางรอยเริ่มมีเลือดซึม ชาวบ้านรอบข้างที่อยู่ในละแวกนั้นพากันออกมายืนดูคนทั้งสองแต่ไม่มีใครสักคนยื่นมือเข้าไปช่วยหญิงสาวเลย

         “เอาอีกแล้ว อีสองพ่อลูกตัวปัญหามาอีกแล้ว” แม่ค้าที่ขายของให้กัณหาบ่น “เมื่อไหร่เราจะได้อยู่กันอย่างสงบสุขเสียที”

         “ทำไมพูดแบบนั้นละ ผู้หญิงคนนั้นถูกทำร้ายนะ” กัณหาบอกแม่ค้า เธอกำลังจะเข้าไปห้ามชายร่างผอมคนนั้นแต่แม่ค้าส่ายหน้าและคว้าแขนเธอไว้

         “อย่าไปยุ่งเลย เรื่องของพ่อลูกเขา เราไม่ควรไปแส่” แม่ค้าเตือน 

          “แล้วก็ปล่อยให้พ่อเขาเฆี่ยนลูกจนตายงั้นเหรอ” กัณหาย้อนใส่แม่ค้า 

          “ไปยุ่งมาก เดี๋ยวพ่อมันได้ด่าให้สาดเสียเทเสียทีเดียว” แม่ค้าบอก ระหว่างนั้นหญิงสาวร้องไห้อย่างน่าเวทนาหล่อนพยายามเกาะขาทั้งสองข้างของชายคนนั้น เขาพยายามจะผลักหล่อนให้ห่างจากตัว

          “พ่อมันก็ขี้เหล้าเมายา เมาหัวราน้ำทุกวัน ไม่ยอมทำงานทำการอะไร ส่วนลูกมันก็ขี้ลักขี้ขโมย แต่เดิมมีชาวบ้านใจดีให้ข้าวให้ปลา มันก็มาลักของเขาไปขายไปกิน ชาวบ้านเขาเลยไม่ค่อยอยากช่วย พอพ่อมันรู้ก็เฆี่ยนตีแบบนี้ทุกคราว เคยมีคนไปห้ามปรามก็โดนพ่อมันด่ากลับ ว่าเขาสอนลูกเขาคนอื่นอย่ามายุ่ง คนอื่นเลยแหยงๆไป” แม่ค้าชี้แจง “เจ้าอย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้เลย ชีวิตจะมีความสุขมากกว่า”

          กัณหามองแม่ค้าอย่างไม่ชอบใจนัก เมื่อแม่ค้าปล่อยแขนเธอออก เธอก็รีบเดินลงจากร้านไปถึงบริเวณถนนที่สองพ่อลูกยื้อยุดกันอยู่

         “พ่อ ข้าขอร้องละ ข้าไม่อยากไปเป็นเมียน้อยเฒ่าแก่นั่น ขอร้องละ” หญิงสาวยังคงกอดขาทั้งสองข้างไว้ไม่ยอมปล่อย

        “ปล่อย ปล่อยข้า ข้าก็บอกแล้วไง มามัวแต่ขโมยของคนอื่นเขามันไม่ได้หรอก ไปเป็นเมียเจ้าแก่นั่น เอ็งก็ช่วยปลดหนี้ให้ข้า แถมยังสบายไปอีกสิบชาติ มีเงินมีทองให้ใช้ไม่ขาดมือ”

         “ไม่เอาข้าไม่อยากเป็นเมียใคร” หญิงสาวร้องเสียงดัง พ่อของเธอมองอย่างโกรธจัดก่อใช้แส้ฟาดไปที่หลังอีกที 

         “ไม่ได้ ข้าสัญญากับไอ้แก่นั่นแล้ว”

        กัณหามองหญิงสาวคนนั้นอย่างเวทนา นึกถึงตนเองที่บิดาไม่เคยสนใจใยดีว่าเธอจะอยู่จะกินอย่างไรรวมทั้งยังมีท่าทีเหินห่างกับเธอราวกับว่าเธอเป็นตัวเชื้อโรค เธอว่าสิ่งนั้นก็แย่พออยู่แล้ว พอมาเห็นสิ่งที่พ่อคนนี้ทำกับลูกสาวของตน ทำให้พระบิดาของเธอดูกลายเป็นคุณพ่อใจดีน่ารักน่านับถือขึ้นมาทีเดียว 

        พ่อแม่ควรปกป้องลูกสิ ไม่ใช่ทำร้ายลูก กัณหาคิด ควรคิดถึงประโยชน์ของลูกมาก่อนของตนไม่ใช่เหรอ

        “ทำแบบนี้ก็เรียกว่าขายลูกกินสินะ” กัณหาตะโกนเสียงดัง ชายคนนั้นและลูกสาวหันมามองเธอ

       “อย่าแส่เรื่องชาวบ้าน” เขาตวาดใส่เธอ หลายคนในละแวกนั้นส่ายหน้าให้กัณหาและทำไม้ทำมือเชิงห้ามเธอด้วย

        “ไม่รู้จักทำมาหากิน ดีแต่เกาะชายผ้าผู้หญิงกินแบบนี้ อย่าเรียกตัวเองว่าลูกผู้ชายเลย ไปเอาผ้าถุงลูกสาวมาใส่ซะสิ น่าจะเหมาะกับเจ้า” กัณหาตะโกน ทำสีหน้าเย้ยหยัน

        “อย่าแส่” ชายคนนั้นตะโกนกลับ มืออีกข้างก็ดึงโซ่ลากหญิงสาวไปด้วย

         ตอนนั้นกัณหาคิดทำสิ่งที่เธอไม่คิดทำมาก่อนในชีวิตในเสี้ยววินาที เธอคว้าผ้าถุงเก่าที่เจ้าของร้านวางไว้เป็นผ้าเช็ดเท้าตรงทางขึ้นร้านขึ้นมา หลังจากนั้นก็โยนมันลงไปสวมครอบศีรษะของชายคนนั้นพอดี ท่ามกลางความตกตะลึงขอทุกคนที่ยืนดูเหตุการณ์นั้น 

         “หน้าตัวเมีย หน้าตัวเมีย” กัณหาร้องล้อเลียน ในขณะที่ชายร่างผอมพยายามหาทางคว้าผ้าถุงออกอย่างโมโห มือทิ้งโซ่ที่ถือไว้ อาจเพราะความโมโห ทำให้เขาหาทางคว้าชายผ้าถุงออกไม่ได้ กัณหาอาศัยจังหวะนั้นคว้าข้อมือหญิงสาว

         “วิ่ง วิ่งเร็ว” เธอตะโกน แข่งกับเสียงเด็กๆในละแวกนั้นที่ร้องว่า “หน้าตัวเมียๆๆ” เลียนแบบกัณหา

         หญิงสาวดูงุงนงงอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง กัณหาออกแรงฉุดกระชากเธอให้ลุกขึ้นวิ่ง สักพักเมื่อเธอรู้ตัวว่าเป็นอิสระจึงออกวิ่งเต็มแรง แต่สายโซ่ที่ล่ามข้อมือเธอไว้นั้นถ่วงเธอไว้จนล้ม กัณหาคว้าปลายอีกข้างของสายโซ่ไว้ พร้อมๆกับที่ชายคนนั้นคว้าผ้าถุงออกจากศีรษะได้ ใบหน้าของเขาแดงก่ำเพราะความโกรธจัด สีหน้าเหี้ยมเหมือนพร้อมสังหาร

         “แก!!!”  เสียงร้องตะโกนของเขาดังมาตามหลัง แต่กัณหาไม่หันไปมอง เธอวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เธอวิ่งทะลุผ่านร้านรวงริมคลองหลายร้าน กระโจนข้ามคลองผ่านเรือแจวที่จอดไว้หลายลำ ไปขึ้นอีกฝากหนึ่งที่เป็นสวนกล้วย พวกเขาได้ยินเสียงชายคนนั้นร้องด่าตะโกนไม่เป็นภาษามาตามหลัง ผสานไปกับเสียงกรี๊ดร้องอย่างตกใจของนกที่ถูกพันไวที่เอว และเสียงกรี๊ดร้องของชาวบ้านในตลาดน้ำ พวกเขาวิ่งด้วยกันมาเรื่อยๆจนสิ้นสุดสวนกล้วยและพบคลองขนาดเล็กขวางทางอยู่ ระดับน้ำในคลองอยู่ต่ำกว่าตรงที่พวกเขายืนอยู่เกือบเมตร ทั้งสองจึงหยุดชะงัก

         “ตายแน่ ทำไงเนี่ย” กัณหามองคลองเล็กๆนั้นอย่างตกใจ 

         “กระโดด” หญิงสาวตะโกน “เร็ว” พูดไม่ทันขาดคำหล่อนก็กระโดดไปฝั่งตรงข้ามอย่างง่ายดาย