“ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ อีแหวนมันพยายามหาเงินมาไถ่ตัวอีฉัน มันกลัวอีฉันจะลำบาก มันก็เลยพยามหาเงินสารพัดวิธีโดยไม่สนสิ่งอื่นใด ไม่สนความถูกต้อง เพราะอีฉันอบรมมันได้ไม่ดี  ทำให้มันทำอะไรไม่รู้จักคิด ทำให้คุณหนูกับใต้เท้าลำบาก ขอคุณหนูกับใต้เท้าโปรดเมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ ถ้าจะมีคนผิดสุดในเรื่องนี้คงจะเป็นอีฉัน ขอโปรดจับอีฉันไปส่งนครบาลแทนเถิดเจ้าค่ะ”

           “แม่” แหวนอุทาน ลุกจากอ้อมกอดแม่อย่างตกตะลึง

           “ไม่ได้นะ” เศรษฐีทองใบค้าน “เอ็งเป็นทาสของข้า จะไปมอบตัวไม่ได้ ข้าก็เสียทาสไปสิวะ ไม่ได้เด็ดขาดข้าไม่ยอม ใต้เท้า คนทำเรื่องคืออีแหวน ท่านก็ต้องจับตัวอีแหวนไปส่ง ไม่ใช่ทาสของข้า อีนิ่มมันเป็นทาสขอข้า มีค่าตัวตั้งสิบตำลึง จะเอาตัวไปแทนอีแหวนไม่ได้เด็ดขาด” 

          “ได้โปรดเถอะเจ้า ถ้าจะเอาตัวอีแหวนไป เอาตัวอีฉันไปแทนเถิด” นางนิ่มร้องก้มลงกราบกัณหาอีกที

          “ไม่ๆ ข้าเป็นคนผิดเอาข้าไปเถอะ เอาข้าให้นครบาล” แหวนถลาตัวมาตรงหน้าช่วง “เอาข้าไปเถอะ ข้าเป็นคนทำ”

“ได้โปรดเอาข้าไปแทนเถอะ” 

“เอาข้าไปเถอะ”

ช่วงหันมามองที่กัณหา กัณหาทอดมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างหดหู่ใจที่เห็นสองแม่ลูกแย่งกันรับผิด พาลทำให้เธอคิดถึงแม่นมของเธอขึ้นมา ครั้งหนึ่งตอนกัณหาเล็กๆเคยแอบขึ้นไปวิ่งเล่นบนตำหนักใหญ่จนชนแจกันจากต่างเมืองที่งดงามมากของพระชายาแตก พระชายามาเห็นเข้าแล้วกริ้วมาก สั่งให้เฆี่ยนกัณหา แม่นมเอาตัวเข้าบังกัณหาไม่ให้พระชายาเฆี่ยน เลยโดนแทนไปหลายที กัณหาได้แต่นั่งร้องไห้ในอ้อมกอดของแม่นม เหตุการณ์นั้นยังอยู่ในความทรงจำของกัณหาเรื่อยมา ยิ่งมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าที่ก็ยิ่งทำให้คิดถึงภาพเธอกับแม่นมนั่งร้องไห้กอดกันในตำหนักใหญ่ในวันนั้นอีก… 

“ช่างมันเถอะ ฉันไม่เอาความ” กัณหาตอบ คนทั้งสี่รอบตัวเธอพากันชะงักและหันมามองเธอ “เมื่อกี้ท่านเศรษฐีบอกว่า ค่าตัวแม่นิ่มสิบตำลึงงั้นหรือ งั้นฉันขอซื้อแม่นิ่มจากท่านสิบสองตำลึง ท่านจะว่าอย่างไร ท่านเศรษฐี สิบสองตำลึงนี่ท่านคงไม่ขาดทุนหรอกนะ คงไม่ขัดค้านใช่ไหม”

“เอ่อ ก็ได้” เศรษฐีทองใบบอกมีความหงุดหงิดในน้ำเสียงเล็กน้อย ขณะที่สองแม่ลูกได้แต่มองหน้ากันอย่างตกตะลึง พอๆกับช่วงที่มองกัณหาราวกับว่าเธอบ้าไปแล้ว

“งั้นก็ไปเอาใบสัญญาซื้อขายทาสของนางมาสิ” กัณหาว่า เศรษฐีทองใบจึงเดินกลับไปเอาเอกสารบนเรือน

“ท่านจะบ้ารึ” ช่วงเอ่ยอย่างตกตะลึง “จะไปเสียเงินเสียทองให้พวกมันทำไม”

กัณหาไม่ตอบ เธอเชื่อแน่ว่าถ้าศิริกัลยาได้ยินเรื่องนี้ต้องด่าว่าเธอโง่แน่ๆ แต่ก็นั่นแหละ เมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาของสองแม่ลูกแล้วกัณหาก็สุดจะทนจริงๆ สุดท้ายเธอจะตกลงทำสัญญาซื้อขายนางนิ่มกับเศรษฐีทองใบจนเสร็จและพาตัวนางนิ่มและแหวนออกมาจากบ้านหลังนั้น

 

 

นางนิ่มและแหวนเดินตามช่วงและกัณหาออกมาจนถึงทางเดินหน้าบ้านเศรษฐี 

“ไปซะ ตอนนี้หล่อนเป็นอิสระแล้ว อยากไปไหนก็ไป พาลูกกลับไปด้วย” กัณหาบอกกับนางนิ่มแล้วหันมาทางแหวน “และต่อไปฉันหวังว่าเมื่อเธอได้แม่ของเธอคืนมาแล้ว เธอจะเลิกขโมยของอีก อย่าอ้างว่าขโมยของของผู้อื่นเพื่อคนที่เธอรัก เพราะเจ้าของทรัพย์ก็หาทรัพย์นั้นมาเพื่อคนที่เขารักเหมือนกัน”

ช่วงได้แต่มองกัณหาและส่ายหน้าเบาๆ เหมือนทำนองว่าพูดไปก็เท่านั้นแหละ

“แล้วเงินของท่าน” แหวนว่า มองพวงเงินที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยที่เอวของกัณหา “จะพอไปตามหาน้ำอมฤตเหรอ”

“ช่างมันเถอะ ถือว่าฟาดเคราะห์” กัณหาตอบ “ถึงนกจะหาย เงินจะหาย ฉันก็จะยังไปตามหาน้ำอมฤตอยู่ดี เพราะแม่นมของฉันก็สำคัญกับฉันมากเหมือนแม่ของเธอสำคัญกับเธอมากนั่นแหละ ”

เกิดความเงียบขึ้นหลังคำพูดนั้น แต่กัณหาไม่สนใจและออกเดินไปตามทางโดยไม่เหลียวหลังมามองสองแม่ลูกอีกเลย   

 

 

กัณหาออกเดินมาจนถึงบริเวณตลาดน้ำที่เต็มไปด้วยผู้คนเหมือนเช่นเมื่อวานที่เธอมาแวะกินข้าวเช้าที่ตลาดนี้ ช่วงเดินตามเธอมาห่างๆโดยไม่พูดอะไรอยู่นานมาก เมื่อกัณหาหันมากำลังจะเอ่ยปากไล่เขา เขาก็เอ่ยขึ้นว่า

“ท่านใจอ่อนเชื่อคนง่ายเช่นนี้ เดินทางเพียงลำพังคนเดียวไม่ได้หรอก” ช่วงยืนยัน “และที่สำคัญ ข้าคิดว่าข้ารู้แล้วละว่า ท่านจะไปถามหาน้ำอมฤตได้ที่ใด” 

“จริงหรือ ที่ใดละ” กัณหาถาม “ไหนท่านบอกว่าไม่รู้ไง”

“ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าใครจะสามารถตอบคำถามท่านได้ว่ามันอยู่ที่ใด เขาคนนั้นคือ อาจารย์ของข้า ท่านอาจารย์ เชี่ยวชาญในเวทมนตร์คาถา เขาต้องรู้ว่าจะหาน้ำอมฤตนั่นได้อย่างไรอย่างแน่นอน”

“จริงหรือ” กัณหาเอ่ยอย่างตื่นเต้น “แล้วท่านอยู่ที่ใดละ”

“บนขุนเขาที่ห่างไกลข้าจะพาท่านไปที่นั่นเอง”