“อาการเขาสาหัสพอควร ถูกอาคมหลายอย่าง เลยทำให้อ่อนแรง” หมอหวง ชายชรารูปร่างอ้วนท้วน ผู้เป็นหมอประจำสำนักโม่ฝ่าช่าน อธิบายอาการของอาติให้ทุกคนฟัง “อาจต้องพักรักษาตัวที่นี่ก่อน อย่างน้อยก็หนึ่งถึงสองเดือน ต้องกินยาหลายอย่าง และหยุดใช้อาคมในช่วงนี้ด้วย”

ช่วงถอนใจเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว กัณหากับแหวนได้แต่มองหน้ากันอย่างวิตกกังวล ไม่คิดว่าอาการของอาติจะรุนแรงขนาดนี้

ก็เห็นยังยิ้มยังหัวเราะได้ปกติ

“คงไม่ถึงตายใช่ไหมท่าน” เจ้าตัวยังยิ้มร่าอยู่บนเตียงในห้องนอนแม้ใบหน้าซีดยิ่งกว่าไก่ต้ม

“การบาดเจ็บจากอาคมบางอย่างเป็นการบาดเจ็บจากภายใน แม้อาการภายนอกไม่รุนแรง ภายในอาจแย่กว่าที่เราคิด”

“เอาเถอะ เราจะอยู่นี่จนกว่าอาติจะหายดี” ช่วงตอบโค้งให้หมอหวง “ขอบคุณท่านหมอมาก”

“เรื่องยาเดี๋ยวข้าจะให้สาวใช้จัดมาให้” หมอหวงตอบก่อนออกไปจากห้อง

หลังจากหมอหวงออกไปจากห้อง อาติก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปทันที

“ไม่น่าเชื่อว่าหมอนี่จะอาการสาหัส ถ้าหมอไม่บอกนี่ข้าไม่รู้เลย” แหวนมองไปทางอาติ “อดทนชะมัด เป็นข้าคงร้องโวยวายไปแล้ว”

“ชาววังมุกอยู่กลางทะเล ต้องเผชิญคลื่นลมและอุปสรรคมากมายที่คนบนบกไม่เจอ ชาววังมุกจึงมีความอดทนเป็นพิเศษ” ช่วงเองก็มองอาติอย่างกังวลใจ “ถ้าเขาเป็นอะไรไป ข้าคงไม่มีหน้ากลับไปพบบินตังแน่”

“ก็ควรอยู่หรอก เอาแต่เมาเหล้า ปล่อยให้เด็กสองคนต่อสู้กันตามลำพัง” แหวนตาเขียวใส่ช่วง

“แล้วเจ้าล่ะ ช่วยอะไรบ้างรึไง” ช่วงย้อน

“จริงๆ ต่อให้ช่วงอยู่ก็อาจจะไม่ช่วยอะไรมากหรอก” กัณหารีบปรามสงครามครั้งใหม่ “สามคนนั้นมีอาคม แต่ท่านไม่มี ในบรรดาพวกเรามีอาติที่มีอาคมสูงกว่าใคร คนที่จะสู้กับพวกเขาได้ก็มีแต่อาติ”

“จริง ข้าเห็นด้วย อย่าโทษตัวเองไปเลยท่านช่วง คนที่ควรจะโทษก็เหล่าลูกศิษย์ของที่นี่มากกว่า เมาเหล้ากันเสียจนไม่มีใครตื่น ทั้งที่เสียงการต่อสู้ต้องดังไม่ใช่น้อย” จี้ดพยักหน้าแอบนึกโมโหตนเอง ถ้าเขาออกไปเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย เขาคงจะช่วยกัณหากับอาติสู้กับคนเหล่านั้น คงไม่ปล่อยให้อาติต้องบาดเจ็บขนาดนี้

แหวนถอนใจ ก่อนเอ่ยต่อว่า “เอาเป็นว่าตอนนี้เราต้องพักอยู่ที่นี่ต่อไปก่อน เราน่าจะไปบอกบารัตไหม เขาน่าจะรออยู่”

“ไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง” จี้ดบอกก่อนโผบินออกไป

“ดี เริ่มใช้งานใช้การได้ล่ะ” แหวนมองตามหลังเจ้านกไป “เพิ่งมีประโยชน์นะเนี่ย”

“ท่านช่วง ท่านช่วง อยู่ไหม” เสียงเรียกจากด้านนอกเรือนดังขึ้น ทั้งสามหันไปมองทางประตูห้องของอาติพร้อมกัน

“ใครกัน” ช่วงแปลกใจ แต่ก็ลุกออกจากห้องอาติไปดู ช่วงออกไปเพียงสักครู่ก็กลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“มีอะไรหรือ” แหวนชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย

“พวกลูกศิษย์ของท่านอาจารย์จางหมิ่นอยากคุยกับคุณหนูสักหน่อย” อีกฝ่ายดูกังวล

“ข้าไปด้วย” แหวนพูดทันที

“เจ้าอยู่ที่นี่แหละ ข้าจะตามคุณหนูไปเอง” ช่วงขัดขึ้นมา แหวนมีทีท่าไม่ยอมจะขอตามไปกับกัณหาด้วย

“แหวนอยู่นี่แหละ ช่วยดูแลอาติเถอะ” กัณหาบอกหล่อน หล่อนมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยอมหยุดแต่โดยดี กัณหาลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ข้างเตียงอาติ และออกเดินไปพร้อมกับช่วง เมื่อมาถึงหน้าเรือนที่พักของพวกเขา เสี่ยวจินมารอรับและนำทางพวกเขาไปยังห้องโถงที่จัดงานฉลองเมื่อคืน

 

 

ภายในห้องโถงวันนี้ดูเคร่งเครียดไปถนัดตา ชายหนุ่มและหญิงสาวผู้เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์จางหมิ่นนั่งรอพวกเขาภายในห้องโถงด้วยท่าทีเคร่งเครียดนัก แต่วันนี้ท่านอาจารย์จางหมิ่นไม่ได้มาด้วย คนที่นั่งตรงพื้นที่ยกสูงที่สุดในห้องโถงเป็นชายวัยกลางคน ผิวขาว ท่าทางเคร่งขรึม

“ขอบใจมากเสี่ยวจิน เจ้าออกไปได้” ชายคนนั้นเอ่ย สาวใช้โค้งให้เขาเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ถอยออกไป “เชิญท่านทั้งสองนั่งเถิด”

“ท่านมีธุระอะไรกับเราทั้งคู่หรือ” ช่วงเกริ่นขึ้นมาก่อน

“ข้า เฉิงอี้ เป็นศิษย์เอกของท่านอาจารย์จางหมิ่น” เขาแนะนำตัว “หลังจากเรื่องเมื่อคืนที่ของขวัญอันล้ำค่าของท่านอาจารย์หายไป พวกเราเหล่าลูกศิษย์รู้สึกละอายมากที่ไม่อาจปกป้องรักษาของขวัญอันมีค่ายิ่งที่ท่านอาจารย์แห่งเขาริมอ่าวสู้อุตส่าห์จัดหามาให้ท่านอาจารย์ของข้าได้ พวกเราต้องจับคนร้ายให้ได้ และเอาเลือดมันมาล้างความอัปยศของพวกเรา แต่โชคร้ายนักที่เมื่อคืนไม่มีใครสักคนได้เห็นคนร้ายเลย มีแต่ท่านที่บอกเราว่า เด็กสองคนที่มากับท่านสู้กับขโมยในชุดดำ แล้วขโมยก็หนีไปใช่หรือไม่”

“ใช่” ช่วงตอบอย่างมั่นใจ “เด็กทั้งสองแจ้งแก่ข้าแบบนี้ ท่านข้องใจอันใดหรือ”

“เอ่อ…” เฉิงอี้ดูลังเลใจที่จะเอ่ยออกมา

“ศิษย์พี่ของข้าก็คลาแคลงใจนะสิ สำนักเราตั้งมาเป็นร้อยปี ไม่เคยมีข้าวของสูญหายแต่อย่างใด แต่เมื่อพวกท่านมาถึง จู่ๆ ทุกคนในสำนักก็ต้องมนต์อะไรบางอย่างทำให้หลับใหลไม่รู้เหนือรู้ใต้ แล้วของขวัญอันล้ำค่าของท่านอาจารย์ก็หายไป ในตอนนี้หลักฐานเท่าที่เรารู้คือเด็กในปกครองของท่านสองคนนี้เท่านั้นที่เห็นเหตุการณ์ จะให้เราเชื่อได้อย่างไร” ชายคนหนึ่งตอบขึ้นทันควัน

“อาติบาดเจ็บจากอาคม” ช่วงสวนทันที “ท่านคงไม่คิดว่าเขาทำร้ายตนเองปางตายใช่ไหม ข้าว่า หากท่านไปถามอาการเขากับท่านหมอหวง ก็จะรู้ว่าอาการเขาหนักมาก มากเกินกว่าจะเสแสร้งได้กระมั้ง”

“ก็ไม่แน่ ท่านอาจจะอยากได้ต้นหยกมังกร ท่านวางแผนขโมย เขามาห้าม ท่านก็เลยทำร้ายเขา และปิดปากเขาไม่ให้มาพบเราก็ได้ ถ้าท่านบริสุทธิ์ใจจริงเหตุใดไม่พาเขามาด้วยเล่า” ชายอีกคนหนึ่งสวนขึ้นมา

“ก็ข้าให้สาวใช้มาแจ้งก่อนจะมาแล้วว่าเขาเจ็บหนัก ลุกเดินเหินไม่ได้ หากท่านไม่เชื่อทำไมไม่ลองถามอาการเขาจากหมอหวงดูเล่า” อีกฝ่ายชักเริ่มหงุดหงิด “และที่สำคัญตัวข้าไม่มีอาคม ไม่มีวันทำร้ายเขาแบบนั้นได้”

“พวกฉันอุ้มต้นหยกมังกร ข้ามน้ำข้ามทะเลมา หากประสงค์จะขโมยจริง แกล้งทำหายหรือแจ้งว่าถูกลักขโมยไประหว่างทางก็ได้นี่ เหตุใดต้องคิดแผนซ้ำซ้อนมาชิงของขวัญต่อหน้าคนเป็นร้อยให้วุ่นวายด้วยล่ะ หากพวกท่านลองย้อนคิดสักนิด ตรรกะพื้นฐานธรรมดาๆ แบบนี้ใครก็คิดได้” กัณหาแย้งขึ้นมาก่อนเหล่าบรรดาลูกศิษย์จะเถียงช่วงอีก

พวกเขาพากันนิ่งไป รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเสียจนชา หญิงสาวคนหนึ่งกลางวงล้อมของเหล่าบรรดาศิษย์ผู้ชายตั้งต้นหัวเราะเสียงดัง

“ขำอะไรนักหนา ซิงอี” เฉิงอี้ดูไม่พอใจ

“ข้าก็แค่ตลกขบขัน ชายไร้อาคมหนึ่งคนกับเด็กสองคนที่มีอาคมแค่พื้นฐานปกป้องต้นหยกมังกรข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเถียนอันได้อย่างปลอดภัย พอมาถึงในมือลูกศิษย์เอกทั้งหลายแห่งสำนักโม่ฝ่าช่าน ของขวัญกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย แถมยังมาตั้งข้อสงสัยพยายามหาทางจับพวกเขาเพื่อกู้หน้าตนเองเสียอีก” หญิงสาวหัวเราะขบขัน “แล้วเช่นนี้หน้าตาและชื่อเสียงของสำนักโม่ฝ่าช่านจะเอาไปไว้ที่ไหน ใครได้ยินเรื่องนี้คงจะพากันขบขันเสียเต็มประดา อาจารย์แห่งเขาริมอ่าวคงได้หัวเราะเยาะเย้ยพวกเราเป็นแน่”

“ข้าไม่ได้หาแพะ ข้าแค่เรียกมาสอบถามให้มั่นใจ” เฉิงอี้ขึ้นเสียงใส่นาง “ข้าแค่ข้องใจเฉยๆ ว่าเหตุใดจึงมีแค่เด็กสองคนนี้ที่ไม่โดนอาคมให้หลับใหลเฉกเช่นคนอื่น”

“ข้าว่าข้ารู้สาเหตุแล้วล่ะ” ซิงอีพูดอย่างมีชัย เหล่าบรรดาลูกศิษย์คนอื่นๆ ต่างมองนางอย่างตกตะลึง

“เจ้ารู้ได้ไง” ชายเสียงแหลมอีกคนพูดทันที

“เมื่อเช้าข้าไปที่ห้องครัวมา พวกสาวใช้กำลังล้างกาน้ำชาและโถเหล้าเมื่อคืน พวกนางสังเกตเห็นความผิดปกติ พวกนางพบคราบสีขาวที่ก้นภาชนะเหล่านั้น มียาอยู่ในน้ำชาและเหล้าเมื่อคืน”

เหล่าบรรดาลูกศิษย์พากันคุยกันเสียงดังอย่างตกตะลึง

“พอ” เฉิงอี้ยกมือขึ้นห้าม “ยางั้นหรือ”

“ยาฟู่เถา ข้ามั่นใจ อยู่ในเครื่องดื่มในงานเมื่อคืนสิ่งที่ทำให้พวกท่านหลับใหลไม่ได้สติ ไม่ใช่อาคมอะไร”

“จริงด้วย” กัณหาอุทานออกมา “เมื่อคืนฉันกับอาติไม่ได้กินอะไรในงานเลี้ยง เพราะเราอิ่มมากตั้งแต่เที่ยง อาติไม่แตะอะไรเลยไม่ว่าอาหารหรือน้ำชา แต่ฉันจิบน้ำชาไปหนหนึ่งแล้วก็ง่วงไปสักพัก”

“ถ้างั้นต้องเป็นคนใน” ชายเสียงแหลมรีบแทรกขึ้นมา

“ข้าจะไปสืบหาคนวางยาเอง ศิษย์พี่” ชายที่กล่าวหากัณหากับช่วงอาสาทันที เฉิงอี้พยักหน้าให้ เขาก็รีบออกไป

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าเห็นหน้าของคนร้ายไหมล่ะเด็กน้อย ช่วยเล่าให้เราฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง” เฉิงอี้ถามต่อ

“ไม่เห็นหรอก เขาใส่ผ้าคาดหน้าไว้” กัณหาตอบ “พวกเขามีกันสามคน ตัวสูงใหญ่ แต่ข้ารู้จักอยู่คนหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือพ่อฉิม”

“พ่อฉิม?”

“พ่อฉิม ศิษย์เอกของท่านอาจารย์ของฉัน ฉันได้ยินว่า เขาอยากได้คัมภีร์มหาเวท เขาเคยพยายามชิงคัมภีร์มาแล้วหนหนึ่งแต่พลาดท่าถูกจับได้ ท่านอาจารย์ขังเขาไว้ในเขาริมอ่าว ฉันไม่แน่ใจว่าเขาหนีออกมาจากเขาริมอ่าวได้อย่างไร แต่ฉันมั่นใจว่าเขาคือพ่อฉิมแน่ๆ”

“พ่อฉิมที่เจ้าว่านี่เป็นชาวเสียนหลัวหรือ” ชายเสียงแหลมถาม

“ชาวอะไรนะ” กัณหาชะงัก

“เสียนหลัว หมายถึง อยุธยา” ช่วงตอบกัณหาแล้วหันไปบอกเฉิงอี้ “ข้าว่าน่าจะใช่ ข้าได้ยินว่าเขาเป็นบุตรขุนนางคนหนึ่ง”

“ที่นี่เรามีลูกศิษย์จากเสียนหลัวหลายคน” เฉิงอี้บอก “ข้าว่าถ้าเขามาที่นี่เขาอาจจะไม่ได้ใช้ชื่อว่าพ่อฉิม แต่จะใครไปหาดูว่าใครมีพิรุธ แล้วอีกสองคนล่ะ เจ้าไม่เห็นหน้าเลยหรือ”

กัณหาส่ายหน้า “พวกเขาคลุมหน้าไว้มิดชิดมาก ฉันแค่พอบอกได้ว่า เขาร่างสูง และ…”

จู่ๆ กัณหาชะงักไป คำพูดค้างไว้เช่นนั้นอยู่นาน จนลูกศิษย์คนอื่นๆ คิดว่าเธอโดนอาคม

“มีอะไรหรือ” เฉิงอี้ดูไม่สบายใจกับท่าทางของเธอ

“ฉันได้ยินพ่อฉิมเรียก ชายอีกคนว่า อะไรนะ” กัณหาพยายามระลึกถึงชื่อนั้นแต่ก็นึกไม่ออก ดูราวกับชื่อนั้นติดอยู่ที่ปลายลิ้น แล้วจู่ๆ เธอก็นึกได้ว่าตนเองสาปชายสองคนนั้นให้ตาบอด “ฉันนึกชื่อไม่ออก แต่ฉันสาปสองคนนั้นให้ตาบอดไปแล้ว ท่านลองหาคนตาบอดอาจจะตามหาง่ายกว่า”

“อาคมทำให้ตาบอดงั้นหรือ” ทุกคนในห้องโถงพากันส่งเสียงฮือฮา “นั่นมันศาสตร์มืด มนต์ดำของพวกพเนจรนี่ พวกเจ้าเป็นพวกใช้ศาสตร์มืดเรอะ”

ทุกคนหันมาเพ่งมองกัณหาเป็นตาเดียว หลายคนเริ่มยกอาวุธของตนขึ้นมา

“ศาสตร์จะมืดไม่มืดอยู่ที่คนใช้ ไม่ได้อยู่ที่วิชา” กัณหาเถียงขึ้นมาทันที “ถ้าท่านจะหมายถึง มันเป็นอาคมที่ไม่ดี ไม่ควรใช้ละก็ อาคมนี่ก็เพิ่งช่วยชีวิตฉันกับอาติจากคนที่พยายามฆ่าเรา ในระหว่างที่พวกท่านเมามายสุรานารีนั่นแหละ” เธอย้อนทันที “ถ้ามีคนกำลังจะฆ่าพวกท่าน พวกท่านก็คงจะไม่ใจดีกับพวกเขาเหมือนกันใช่ไหม ฉันแน่ใจ”

พวกลูกศิษย์พากันชะงัก หลายคนมีสีหน้าไม่พอใจ

“แล้วเจ้าเรียนมาจากไหน” เฉิงอี้ยังไม่ยอม “เจ้าต้องบอกให้เรารู้”

“เรียนมาจากไหนไม่สำคัญ มิใช่กิจธุระของท่าน เราไม่ใช่ศิษย์ของที่นี่ เราเป็นเพียงแขกมาเยี่ยมเยียน เราไม่ได้ใช้อาคมนี่ทำสิ่งไม่ดีหรือผิดกฎหมาย แค่นั้นท่านก็น่าจะพอใจแล้ว” กัณหานึกโมโห พวกลูกศิษย์สำนักนี้ดูไร้มารยาทที่สุด “แทนที่จะมาหาความฉัน ฉันว่าท่านไปตามหาขโมยจะดีกว่า ก่อนสำนักของท่านจะขายหน้าไปมากกว่านี้ ฉันบอกใบ้ให้ขนาดนี้แล้ว ไม่น่าจะหาตัวยากกระมั้ง”

กัณหาลุกเดินออกมาจากห้องโถง โดยไม่สนใจเหล่าลูกศิษย์สำนักโม่ฝ่าช่านที่มีสีหน้าไม่พอใจ ช่วงรีบตามเธอออกมา

“เรายังต้องอยู่ที่นี่จนกว่าอาติจะหาย ท่านอย่าเพิ่งหงุดหงิดทำอารมณ์ใส่พวกเขาหน่อยเลย” ช่วงเดินตามเธอมาติดๆ เสี่ยวจินที่รออยู่หน้าห้องโถงรีบวิ่งตามหลังเธอมา

“เราจะไปเดี๋ยวนี้ เราเสร็จงานที่นี่แล้วนี่” กัณหาตวาดใส่ช่วงจนอีกฝ่ายตกใจ เพราะไม่เคยเห็นกัณหาโมโหขนาดนี้ “ท่านก็เห็นพวกเขาไม่ใช่หรือ ว่าพวกเขาไม่ให้เกียรติเราเลย เราเอาของมาให้ถึงที่ แล้วของหายไป ดันมาโทษเรา หาเรื่องเราสารพัดแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน”

“ใจเย็นก่อน เจ้าสำนักนี้เขาเป็นสหายรักของท่านอาจารย์”

“ฉันไม่สน เขาไม่ใช่สหายฉันนี่ ความเกรงใจยังไม่มี จะเรียกว่าสหายกันได้อย่างไร” กัณหาเดินพรวดๆ กลับไปยังเรือนที่พัก เธอโมโหมากจนไม่สนใจช่วงหรือเสี่ยวจินที่วิ่งตามมา