“งั้นก็ดี พวกเจ้าเดินทางมาไกล คงอ่อนล้ามาก เชิญพักผ่อนดื่มกินตามสบาย” ท่านอาจารย์ผายมือไปที่เก้าอี้ข้างตัวเขาซึ่งมีเพียงตัวเดียว กัณหาพยักพเยิดให้ช่วงนั่งส่วนตนเองเดินตามสาวใช้สองคนไปนั่งด้านข้างพร้อมกับอาติและแหวน ตำแหน่งด้านข้างนั้นมีฟูกที่นั่งและโต๊ะเล็กๆจัดไว้สำหรับแต่ละคน เมื่อพวกเขานั่งลงบนฟูกก็มีสาวใช้รินน้ำชาให้และเอาจานใส่ขนมรูปทรงแปลกๆมาวางไว้
         หลังจากนั้นการแสดงก็เริ่มต้นขึ้น เป็นการแสดงของสาวงามสิบคนรำพัดด้วยท่าทีที่อ่อนช้อย มีเสียงดนตรีประกอบไปกับการแสดง ระหว่างการแสดงนั้นสาวใช้ทยอยเอาอาหารมาวางไว้บนโต๊ะของแต่ละคน แหวนดูชอบใจมากที่ได้เห็นอาหารจำนวนมากมายเรียงรายให้ทานแบบนี้
        “หือออ ดูเหมือนเจ้าใหญ่นายโตเลยนะ คุณหนู” แหวนแอบกระซิบอย่างเริงร่า ขณะตักน้ำแกงเข้าปาก “เรากินอย่างอดอยากมานานแล้ว วันนี้ข้าจะกินให้พุงกางเลยทีเดียว”
        “ตอนเที่ยงยังไม่พออีกหรือ ระวังท้องแตกตาย” อาติกระซิบ แต่แหวนไม่สนใจ 
        กัณหาไม่ได้สนใจกินอาหารสักเท่าไหร่ อาจเพราะเธอรู้สึกเหมือนเพิ่งกินอาหารเที่ยงไปไม่นานนัก เธอจึงสนใจดูการแสดงมากกว่ารอบตัวเธอลูกศิษย์คนอื่นๆของท่านอาจารย์จางหมิ่นกำลังดื่มกินและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนไม่ได้สนใจดูการแสดงมากนัก อาจารย์จางหมิ่นก็กำลังนั่งคุยกับช่วงอย่างออกรส และยกถ้วยน้ำชาชนกันหลายครั้ง
        “ไม่กินเหรอ” อาติถาม มองดูจากอาหารของกัณหาที่พร่องลงไปไม่มาก
        “ฉันยังรู้สึกอิ่มอยู่เลย สงสัยตอนเที่ยงกินไปมากโขอยู่” กัณหาตอบ “น้ำชานี่ก็ขม ฉันไม่เข้าใจว่าคนอื่นกินกันได้อย่างไร”
        “ข้าว่าโต๊ะอื่นไม่ใช่ชาหรอก น่าจะเป็นเหล้า” อาติชำเลืองมองรอบข้าง ที่ยกถ้วยเล็กๆดื่มเอาดื่มเอา “ประเดี๋ยวก็เมาปลิ้น”
        “เธอไม่กินอะไรหรือ” กัณหามองไปที่อาหารของอาติที่ดูไม่พร่องลงเช่นกัน 
        “ข้าว่าข้ายังอิ่มอยู่เช่นกัน เมื่อเที่ยงนะกินอย่างคนอดอยากมานาน ตอนนี้เลยท้องอืดเลย” อาติยิ้มให้ กัณหาแอบขำตามเขา 
       “อาหารไม่อร่อยหรือเจ้าค่ะ” ฟางเหนียงเอ่ยขึ้น เมื่อหล่อนเอาอาหารมาให้พวกเขาเพิ่มแต่กลับพบว่าอาหารเดิมของพวกเขายังอยู่เต็มจาน 
       “อร่อยสิ อร่อยมาก” กัณหายิ้มรีบตักชิ้นเนื้อเข้าปาก 
       “ชาของพวกท่านไม่พร่องเลย” น้ำเสียงนางฟังดูเศร้าสร้อย เมื่อเปิดกายังเห็นชาอยู่เต็ม 
       “เอ่อคือ..” อาติกับกัณหาได้แต่มองหน้ากัน 
       “หรือขมเกินไปเจ้าค่ะ ข้ามีชาดอกเว่ยจื่อ กลิ่นหอมมากไม่ขมด้วย ลองชิมไหมเจ้าค่ะ”
       “ดีเลย” อาติรับคำ แล้วฟางเหนียงก็ขยับเอากาน้ำชาอันใหม่สองอันวางบนโต๊ะให้พวกเขา “ลองชิมเจ้าค่ะ” 
        ฟางเหนียงริมน้ำชาลงในถ้วยน้ำชาสองใบ กัณหากับอาติรับมากลิ่นชาหอมมากก็จริง แต่กัณหาที่รู้สึกอิ่มจนอืดแน่นท้องไปหมดกลับรู้สึกว่าถ้ากินลงไปอีกเธออาจจะได้คืนอาหารออกมาให้ฟางเหนียงเห็น เธอจิบนิดหนึ่งเพราะเกรงใจฟางเหนียง แต่เมื่อนางเผลอก็แอบเททิ้งลงในแกงบนโต๊ะ 
        “อร่อยมาก หอม ไม่ขมเลย” กัณหายิ้มให้ อาติก็พยักหน้ารับคำด้วยเช่นกัน
         กัณหาแกล้งจิบอีกรอบ ฟางเหนียงดูพอใจแล้วจึงขยับตัวลุกขึ้นไป เมื่อหล่อนเดินจากไปแล้ว อาติก็ถอนใจ เอาชาในถ้วยเททิ้ง
         “ไม่อยากเสียมารยาทนะ แต่ข้าอืดเสียจนไม่อาจจะกินอะไรลงอีกแล้ว แม้แต่ชาสักถ้วยก็ตาม” อาติถอนใจ “แต่พวกนางดูอยากให้คนดื่มกินกันมากนะ ดูมากจนเกินปกติ” 
         “นั่นก็กินได้มากจนเกินปกติ” กัณหาพยักพเยิดไปที่แหวนที่ยกชามาดื่มอย่างเอร็ดอร่อย แล้วก็ยังตักกินอาหารอย่างเพลิดเพลินจนไม่สนใจเพื่อนอีกสองคนที่นั่งข้างๆ
          การแสดงชุดต่อไปมีหญิงสาวถือผ้าสีผืนยาวจำนวนมากออกมาร่ายรำอย่างอ่อนช้อยเช่นเดิม พวกเขาเปลี่ยนเพลงใหม่แต่ก็ยังฟังดูไพเราะมากอยู่ดี กัณหานั่งดูอย่างเบื่อๆ เริ่มรู้สึกง่วงนอนมากเต็มที แม้จะเพิ่งทานอาหารเย็นไปแค่สองสามคำ เสียงเพลงในห้องโถงยิ่งช่วยให้เธอง่วงนอนมากขึ้นอีก
          หลับซักงีบคงไม่เป็นไร…
          “กัณหา!!!” กัณหาสะดุ้งกำลังจะเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ กลับรู้สึกว่ามีมือหนึ่งกดหน้าเธอไว้ให้นอนแนบกับโต๊ะเหมือนเดิม
          “อย่าเพิ่งขยับ ประเดี๋ยวพวกมันจะรู้ตัว” เสียงอาติลอยมาจากไหนไม่รู้
          กัณหาลืมตาขึ้น  แม้จะยังง่วงมาก เธอก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น
          ตอนนี้เธอกำลังนั่งฟุบโต๊ะอยู่ในห้องโถงที่มืดสนิท ไกลออกไปเธอเห็นกลุ่มคนใส่ชุดสีดำคล้ำกำลังถืออะไรบางอย่างแล้วเร่งรีบออกไป
          ต้นหยกมังกร!
          พวกมันกำลังขโมยต้นหยกมังกร!!
          กัณหายกหัวขึ้นจากโต๊ะ มองไปยังชายพวกนั้นที่กำลังออกไปทางปากประตูทางเข้าห้องโถง จู่เธอก็ผุดลุกขึ้นวิ่งผ่านห้องโถงที่มืดสนิทตรงไปหาพวกมันโดยไม่ทันคิด และไม่ทันสังเกตถึงความร้อนที่เกิดขึ้นจากจี้ที่แนบอยู่บริเวณอกภายในเสื้อ
         “หยุดนะ หัวขโมย” กัณหาตะโกน 
         “โอ๊ย ยายบ้า บ้าดีเดือดเสียจริง” อาติตกใจรีบลุกขึ้นวิ่งตามกัณหาที่วิ่งตามขโมยออกมาที่ลานด้านนอกห้องโถง
ที่ลานอิฐด้านนอกนั้น แสงจันทร์ส่องกระทบร่างชายสามคนในชุดดำ ทั้งสามหันมามอง ชายคนหนึ่งถือต้นหยกมังกรที่เธออุตส่าห์หอบข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเมืองเถียนอันแห่งนี้ กัณหาไม่รู้สึกกลัวพวกเขาเลยสักนิด สิ่งที่เดียวรู้สึกตอนนี้คือโมโหเจ้าพวกหัวขโมยที่ฉวยโอกาส
        “นิสัยไม่ดี มาลักขโมยของของคนอื่นได้อย่างไร เอาคืนมานะ” เด็กน้อยโมโหจนลืมตัวว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงร่างเล็กในขณะที่ชายทั้งสามร่างสูงใหญ่ และถือสิ่งที่ดูคล้ายดาบไว้ในมือ
        “ยายบ้า จะมาหวงของอะไรตอนนี้ อยากตายรึไง” อาติรีบมารั้งตัวเธอไว้
        “แค่เด็กสองคน จัดการมันซะ” เสียงชายคนที่ถือต้นหยกมังกรดังขึ้นก่อนที่เขาจะเหาะข้ามกำแพงออกไปต่อหน้าต่อตากัณหาและอาติ 
        “ไม่ได้นะ นั่นเป็นของขวัญจากท่านอาจารย์ มอบให้ท่านอาจารย์จางหมิ่นถ้าอยากได้ทำไมไม่ไปขอท่านอาจารย์เอง อย่ามาลักขโมยกันเช่นนี้”
        “จัดการมันซะ ไม่ต้องรีรอ” ชายอีกคนพูดขึ้นมา เขาหันฝ่ามือออกมาแล้วผลักมันมาทางกัณหาและอาติ สักพักทั้งคู่รู้สึกเหมือนมีลมอะไรบางอย่างอัดเข้ามาหาจนร่างของทั้งสองลอยไปกระแทกประตูห้องโถง
         กัณหารู้สึกจุกแน่นที่อกและปวดหลังส่วนที่กระแทกกับประตูมาก เธอจุกจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ระหว่างนั้นเธอคิดว่าอาติน่าจะสู้กลับด้วยอาคมอะไรบางอย่าง ทำให้ชายคนนั้นถึงกับหัวเราะเยาะเย้ยออกมา
        “อาคมของเจ้ายังอ่อนนัก คิดจะมาสู้กับข้ารึ” ชายคนนั้นหัวเราะ “เอาเถอะ วันนี้ข้าไม่รีบ ข้าจะมีเวลาเล่นกับพวกเจ้าทั้งคืนก็ยังได้”
        กัณหาลืมตาและมองชายคนนั้น ทั้งแววตาที่คุ้นเคย น้ำเสียงที่คุ้นหู และท่าทางการเดินที่เธอคุ้น
        “พ่อฉิมรึ” กัณหาเอ่ยขึ้นมา 
         ชายคนนั้นชะงัก แววตาสะดุ้งเมื่อเธอเอ่ยชื่อนั้น อาติหันมามองกัณหาด้วยความประหลาดใจ 
         “ฆ่ามันซะ” ชายอีกคนเอ่ยขึ้น “เร็ว”
         ชายชุดดำที่กัณหามั่นใจว่าเป็นพ่อฉิมแน่ๆซัดฝ่ามือไปกลางอากาศอีกที ร่างของอาติก็ลอยมากระแทกกับกัณหาที่กำลังพยายามจะลุกขึ้นยืน ทำเธอล้มลงไปอีกรอบ
         “นิสัยไม่ดี เอาเปรียบเด็ก” กัณหาตะโกนใส่เขา “นี่เหรอลูกผู้ชาย ไม่ได้เรื่อง” 
         “นี่เจ้า” ชายอีกคนโมโหขึ้นมา “ดีละ พวกข้าจะฆ่าเจ้าช้าๆดีไหม ให้บทเรียนซะหน่อย จะได้หายปากเก่งในชาติหน้า”
         “อย่าหลงคารมนางไป นางจะทำให้เจ้าโกรธแล้วลอบกัด” ชายคนที่กัณหาคิดว่าเป็นฉิมพูดขึ้น แล้วหันมามองกัณหา “ที่นี่ห่างไกล ไม่มีใครมาช่วยเจ้าได้แล้ว ลูกไม้ตื้นๆของเจ้าใช้ไม่ได้ที่นี่หรอก”
         เขายกมือขึ้นซัดอาคมมาที่กัณหากับอาติที่นั่งทรุดกันอยู่ที่มุมประตู อาติตกใจรีบเอาร่างบังอาคมไม่ให้โดนกัณหา
         “อาติ” กัณหาตกใจ รีบประคองร่างอีกฝ่ายที่ทรุดลงมาอยู่ในอ้อมกอดของเธอ
         “เราต้องรวมพลังกัน พวกเขามีพลังมากกว่าเรา เธอสู้คนเดียวไม่ได้หรอก” กัณหากระซิบบอกอาติ แล้วหันไปตะโกนคุยกับชายทั้งสองว่า “ท่านจะกลัวอะไรกับการลอบกัดของฉัน ข้าแค่เด็กน้อยที่เรียนอาคมไม่จบ แต่ท่านเรียนจบแล้ว หากท่านมั่นใจในฝีมืออาคมของตนเองจริง ควรจะสู้กันตัวต่อตัว จะได้รู้หัวรู้ก้อย”
        “นางช่างต่อรองดีจริง” ชายอีกคนพูดขึ้นมา “อย่างที่เจ้าบอก เอาเถอะ เจ้ามีดีอย่างไรรีบเอามาแสดงเสียก่อนจะตาย มาสิ แสดงมา”
        “ข้าเหนื่อยมาก” อาติกระซิบ “ข้าไม่มีแรงแล้ว”
        “ทีเสือเธอยังยกได้ แค่ยกคนสองคนอย่าบ่นมากน่า” กัณหากระซิบจากมุมปาก “เมื่อฉันให้สัญญาณยกพวกเขาเขวี้ยงไปชนกำแพงเลย”
        “แต่ตอนนี้ข้าไม่ไหว” อาติกุมหน้าอกไว้ กัณหาเห็นเขาหน้าตาซีดเซียว ดูท่าทางเขาจะเจ็บหนัก “พวกเขาแข็งแกร่งเกินไป เราต้องหาจุดอ่อนเขาให้เจอ ลำพังอาคมของพวกเราอย่างเดียวในสภาวะที่เราอ่อนแอแบบนี้ คงไม่อาจสู้กับพวกเขาได้”
        “จุดอ่อนงั้นหรือ” กัณหาทวนคำ
         จุดอ่อนของมนุษย์งั้นหรือ
          ดวงตาเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ และเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดด้วย
        “เอาเร็ว อยากแสดงอะไรก็รีบแสดงมา แต่ถ้าชักช้านัก อย่าหาว่าข้าเอาเปรียบเด็ก”  ชายอีกคนบอกอย่างสบายๆ       ฉิมหันไปมองเขาอย่างไม่สบายใจนัก เพราะเคยรู้ฤทธิ์พิษสงของเด็กน้อยหน้าตาใสซื่อนี้
         เขาประมาท ชะล่าใจเพราะอีกฝ่ายยังเยาว์วัยกว่า 
         ความประมาทที่อีกฝ่ายรออยู่แล้ว
         กัณหาถือโอกาสที่อีกฝ่ายเผลอ ตั้งต้นร่ายอาคมที่เคยอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง แม้ยังไม่มีโอกาสลองแต่กลับจำได้ขึ้นใจ
         “โอ๊ย” ชายคนดังกล่าวเอามือกุมตาตนเอง
         “ซีห่าวเป็นอะไร” ชายที่กัณหาคิดว่าเป็นพ่อฉิมเอ่ยขึ้น 
         “ตาข้า ทำไม…” เขาชะงักหันมองซ้ายขวามองไปมองมาราวกับมองไม่เห็น “ทำไม ทำไมมันมืดเช่นนี้”
         “เจ้า ทำอะไรเขา” พ่อฉิมร้องเสียงดัง หันมาทางกัณหาทันที เขายกแขนขึ้นทันทีแต่ก่อนที่เขาจะทันได้เสกอาคม ไฟก็ลุกโพลงขึ้นที่ชายแขนเสื้อของเขา เขาสะบัดมือเพียงชั่วครู่ไฟที่ลุกไหม้ก็ดับสนิท ขณะเดียวกันร่างของกัณหาถูกยกขึ้นเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาแล้วปล่อยลงกระแทกพื้น “เจ้า ทำ อะ ไร เขา” เขาพูดตามจังหวะที่กัณหากระแทกพื้น
          แม้จะถูกฟาดกระแทกพื้นหลายครั้งแต่กัณหายังคงตั้งจิตมั่น แล้วทันใดนั้นอาคมของเธอก็ได้ผล ชายที่กัณหาคิดว่าน่าจะเป็นพ่อฉิมตัวดีนั่นเอามือกุมตา การที่ตามืดบอดฉับพลันทำให้เขาตกใจและปล่อยกัณหาลงกระแทกพื้น กัณหารู้สึกขัดยอกไปทั้งตัว เธอรีบคลานหนีทันที 
          “อยู่ไหน มันอยู่ไหน” ชายคนแรกกล่าว
          พวกเขามองไม่เห็นแล้ว พวกเขากำลังเริ่มหวาดกลัวมาก กัณหาคิด แล้วเพ่งไปที่กระถางดอกบัวที่อยู่ไม่ไกลนัก ยกมันไปเทเหนือหัวพวกเขา พวกเขารีบเสกอาคมปัดป้อง สายตาสอดส่ายไปมาอย่างไร้ทิศทาง กัณหาหันไปมองกระเบื้องหลังคาจำนวนมาก ให้ไหลตกลงมากระทบพื้น ทั้งคู่พยายามเสกคาถาปัดป้องอีกครั้ง และดูเหมือนทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว  และถึงแม้ตาจะมองไม่เห็น พวกเขาก็ยังพยายามเสกอาคมใส่กัณหากับอาติอยู่ตลอด ตาที่บอดอาจจะทำให้พวกเขาช้าลง แต่ไม่ได้ทำให้พวกเขาเสกอาคมพลาด กัณหากับอาติถูกพลังอาคมกระแทกใส่อีกคนละทีสองทีจนล้มกลิ้งกันไปทั้งสองคน อาติที่อ่อนแรงอยู่แล้ว พยายามเสกอาคมสู้กลับ แต่ก็สู้พลังอาคมของทั้งคู่ไม่ได้
           ถ้ายังสู้อยู่พวกเราตายแน่
           สงครามถ้าสักแต่ใช้กำลังสู้ ก็มีแต่จะสูญเสีย สงครามที่เอาชนะโดยใช้ปัญญาการสูญเสียจะน้อยกว่ามากนัก  ถ้อยคำที่เคยได้ยินพระบิดาเจรจาด้วยเหล่าบรรดานายกองทั้งหลาย 
          “ถ้าท่านมัวแต่ชักช้า ไม่รีบไปรักษา ตาของพวกท่านอาจจะมืดบอดตลอดกาล” กัณหาตะโกนเสียงดังเหนือเสียงลมเอย วัตถุเอยที่บินไปบินมารอบตัวพวกเขา  “อยากจะฆ่าพวกฉันก็ได้ ตามใจ ทุกนาทีที่เสียไป โอกาสฟื้นกลับคืนมาของสายตาก็ลดลง”
          ทั้งคู่ชะงัก 
          “อย่าโกหกข้า” ชายอีกคนตะโกน “บอกมานะ ว่ารักษายังไง ไม่งั้นข้าจะฆ่าพวกเจ้า”
          “หมอรักษาอาคมที่นี่ไม่มีหรือไร ถึงมาคาดคั้นเอากับฉัน” กัณหาหัวเราะเยาะเย้ยให้น่าหมั่นไส้ที่สุด “เหตุใดถึงคิดว่าเด็กธรรมดาจะกลายเป็นหมอได้ ทั้งเมืองนี้ไม่มีหมอเก่งๆเลยรึ”
         “เจ้า!!!”
         “รีบไปเถอะ” พ่อฉิมว่า รีบลากชายอีกคนแล้วเหาะขึ้นข้ามกำแพงหนีไป
         “อาติ” กัณหารีบวิ่งไปหาอาติที่นั่งหอบหายใจอยู่ที่ริมประตูห้องโถง
         “เจ้าหนังหนานะ ขนาดโดนกระแทกพื้นขนาดนั้นดูไม่เจ็บปวดอะไรมากเลย” อาติมองกัณหาอย่างสงสัยที่เห็นอีกฝ่ายยังลุกวิ่งมาหาตนได้ “ไม่เจ็บเลยรึ”
        “เจ็บบ้างแต่ไม่มาก” กัณหาตอบ มองสำรวจอาติที่หน้าตาซีดเซียวลงกว่าเดิม “เธอละเป็นอย่างไรบ้าง ยังดีอยู่ใช่ไหม”
        “ดี ดีกว่าสองคนนั้นหน่อยเดียว” เขาอมยิ้มขำๆ “พวกเขาไม่ได้เสกอาคมบำรุงกำลังข้านะ”