“ไม่เป็นไรน่า อำพันแค่โมโหประเดี๋ยวเดียว พอนางหายโกรธ นางก็จะให้เจ้ากลับไปทำงานแหละ ยิ่งช่วงนี้คนไข้เยอะ อาการก็ไม่ค่อยดี นางทำคนเดียวไม่ไหวหรอก ก็แค่ปากดีไปเท่านั้นแหละ” ผีพรายปลอบค่อม ขณะเดินพาเขามาโรงอาหาร 

            ค่อมยังคงไม่พูดอะไร เขาเดินอยู่เงียบๆข้างกัณหา งูใบตอง และผีพราย กัณหารู้ว่าค่อมต้องเสียใจมาก แม้ว่าเขาจะไม่แสดงออกก็ตามที แต่กัณหาก็รู้สึกได้ว่าเขาดูพูดน้อยกว่าปกติ เมื่อพวกเขาเดินมาถึงปากประตูโรงอาหารค่อมก็ขอตัวจากไป โดยบอกเพียงว่าเขาไม่หิว ไม่แม้แต่จะให้โอกาสผีพรายได้ทัดทาน กัณหาและเจ้างูได้แต่มองตามเขาไป 

            “ค่อมต้องเสียใจมากแน่” เจ้างูกระซิบ เขาเองก็มีท่าทีเสียใจแทนค่อมอยู่ไม่น้อย “อำพันก็เกินไปจริง”

            “เป็นเพราะเจ้าคนเดียวเลย” ผีพรายหันมาต่อว่ากัณหา “เจ้าวิ่งโร่ไปฟ้องอำพันทำไม”

            “ฉันไม่ได้ฟ้องนะ” กัณหารีบบอก “ฉันแค่เอาสมุนไพรนี่ไปให้อำพันดูว่าจะให้ล้างได้ไหม ก็เท่านั้นเอง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีพิษ พออำพันเห็นก็เลยถามฉันใหญ่เลยว่ามันมาได้ไง ใครเอามา เอามาทำอะไรก็เท่านั้น”

            เจ้าผีพรายมองกัณหาด้วยสีหน้าโกรธเคืองหน่อยๆ เจ้างูส่ายหน้า เอาหางฟาดทะลุร่างของเจ้าผีพราย 

            “เจ้าก็พูดจาเกินไป เจ้าก็รู้อยู่ว่ากัณหาจะรู้ได้ไงว่ามันมีพิษ ขนาดค่อมทำงานในเรือนพยาบาลมานานยังพลาดได้เลย แล้วตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมากัดกัน เราควรช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะทำไงให้อำพันหายโกรธค่อม เพราะเราก็รู้ว่าค่อมเสียใจมากแค่ไหน และอำพันเองก็ต้องการคนช่วย”

            “แม่นี่ก็หยิ่งยโสซะเหลือเกิน” ผีพรายเบะปาก “จริงๆข้าว่าเป็นแบบนี้ก็ดีนะ ปล่อยให้นางทำงานหนักๆคนเดียว นางจะได้รู้ว่า ค่อมช่วยนางมากแค่ไหน จะได้เลิกทำอารมณ์ใส่ค่อมอีก”

            “ข้าว่าอำพันจะตายก่อนนะสิ หรือไม่งั้นเจ้าสี่คนนั้นอาจจะตายก่อน” เจ้างูส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด “เจ้าก็รู้ว่าต่อให้ตายคาที แม่อำพันตัวดีนั่นไม่มีวันอ้อนวอนขอความช่วยเหลือใครหรอก”

            “หยิ่งยโสจริงๆ” ผีพรายว่า “ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่นะ ข้าจะ..” หล่อนทำท่าฟาดแขนใส่อากาศ เจ้างูมองตามแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

 

            กัณหาเดินกลับมาที่บ้านพักของตน เจ้านกน้อยบินออกมาต้อนรับเธอ เมื่อเธอมาถึง มันส่งยิ้มแฉ่งให้แต่ก็หุบลงเมื่อเห็นใบหน้าของเด็กน้อย

            “มีอะไรรึเปล่า” เจ้านกน้อยว่า “ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

            “เรื่องมันยาว เข้ามาก่อน” กัณหาตอบ เดินไปเปิดประตูเข้าไปในที่พัก เจ้านกน้อยบินตามเข้ามา มันโฉบลงมาจับบนโต๊ะข้างเตียง “แล้วเธอละเป็นไงบ้าง ได้ออกไปบินยืดเส้นยืดสายแล้วเป็นอย่างไร”

            “ดีมากเลย” นกน้อยยิ้ม “ปีกของข้าใช้การได้เหมือนปกติทุกอย่างแล้ว ต้องขอบใจ แม่อำพันจริงๆ เธอเป็นหมอยาที่มีความสามารถมาก ตอนที่ข้าโดนธนูนั่นยิงข้านึกว่าจะตายแน่แล้วเชียว ถ้าไม่ได้เธอช่วย ข้าคงเป็นนกพิการบินไม่ได้แน่ๆ” 

            “เธอเก่งจริง” กัณหาบอกอย่างเศร้าสร้อย แล้วถอนใจ

            “มีอะไรรึเปล่า ท่านดูไม่สบายใจเลย”

            สีหน้าสดชื่นของนกการเวกที่เพิ่งหายเป็นปกติดี เริ่มเปลี่ยนเป็นวิตกกังวลไปด้วย เมื่อฟังเรื่องราวที่กัณหาเล่า เจ้านกน้อยได้แต่ส่ายหน้าหลังฟังเรื่องจบลง 

            “เป็นธรรมดาแหละ แม่อำพันเขาเก่งมาก และใส่ใจดูแลผู้ป่วยไข้ดีมากด้วย เป็นธรรมดาที่เขาจะโมโหมากเพราะเรื่องนี้ แต่ข้าเข้าใจเขานะ เขาทำงานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตผู้อื่น เขาย่อมต้องเครียดมากและต้องการความสมบูรณ์แบบมากตามไปด้วย เพราะถ้าผิดแม้สักนิด ก็หมายถึงอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องเสียไป” เจ้านกถอนใจสั้นๆก่อนเอ่ยต่อว่า “แล้วข้าก็เข้าใจเพื่อนของเจ้า ข้าเชื่อว่าเขาคงไม่มีเจตนาร้ายหรอก เขาอาจแค่เข้าใจผิด จำผิด และตัวเขาเองก็คงเสียใจมากไม่ต่างกัน ตอนที่ข้าพักอยู่ที่นั่น ข้าเห็นว่าเขาดูเอาใจใส่คนไข้ดีมาก ข้าว่าตอนนี้เขาต้องกำลังรู้สึกผิดมากเป็นแน่”

            “แล้วฉันควรทำอย่างไรดี” กัณหาถาม “ฉันรู้สึกผิดต่อค่อมมากเลย เขาดีกับฉันมาก แต่ฉันกลับทำให้เขาถูกลงโทษ แล้วที่สำคัญตอนนี้ทุกคนก็อาการแย่ลงจากพิษตัวใหม่เข้าไปอีก ไม่รู้จะตายหรือไม่”

            “ไม่ใช่ความผิดท่านหรอก ไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้นแหละ มันเป็นอุบัติเหตุ ที่ไม่ได้มีใครอยากให้เกิดขึ้น”

            “แล้วฉันควรทำอย่างไรดี” กัณหาถามซ้ำๆอย่างรู้สึกผิด 

            “ข้าว่าสิ่งสำคัญตอนนี้คือ ช่วยกันหาวิธีล้างพิษเจ้าใบอะไรนั่นที่เขาใส่ลงไปจะช่วยแก้ปัญหาได้” เจ้านกน้อยบอกอย่างสุขุม “มันจะช่วยลดความเครียดของอำพัน และความรู้สึกผิดของค่อมได้”

            “อำพันบอกว่าไม่มียาแก้พิษ” กัณหาบอกอย่างเศร้าสร้อย

            “ไม่มียาแก้พิษ ไม่ได้แปลว่าไม่มีทางรักษา ยาพิษบางอย่างแม้ไม่มียาแก้พิษโดยตรง แต่อาศัยการกินยาอย่างอื่นช่วยขับพิษก็อาจจะหายได้” เจ้านกบอก 

            “จริงหรือ เธอคิดว่ามีวิธีการอื่นในการรักษาพิษชนิดนี้หรือ” กัณหาครุ่นคิด “ถ้ามันมีอยู่จริงและค่อมเป็นคนหาวิธีเจอด้วยตัวเขาเอง เขาก็จะรู้สึกผิดลดลง บางทีอาจจะทำให้อำพันหายโกรธอีกด้วย” กัณหากระโดดลุกจากเตียง

            “ท่านจะไปไหน”

            “ฉันจะไปหาวิธีรักษาพิษใบสามแฉกนะสิ” กัณหาตอบเอาผ้าอีกผืนขึ้นพันรอบหัวก่อนไปที่ประตู เจ้านกน้อยบินตามเธอออกมานอกบ้านอย่างตกใจ

            “แล้วจะไปหาที่ไหน ยังไง” มันถาม

            “หอสมุด” กัณหาตอบทันใจ “ตามฉันมา”

 

 

            “เล่มนี้ก็ไม่มี” กัณหาวางหนังสืออีกเล่มลงบนกองหนังสือด้านซ้าย แล้วเอามือมาอังปากไว้ตอนที่หาว “เฮ้ย”

            “เอ้า เล่มนี้ละ” เจ้านกทิ้งหนังสืออีกสองเล่มลงบนโต๊ะตรงหน้ากัณหา

            ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนที่มืดสนิทมีเพียงแสงไฟจากตะเกียงเพียงดวงเดียวที่ตั้งอยู่บนโต๊ะที่กัณหานั่งอ่านหนังสืออยู่ ตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมากัณหาใช้เวลาตอนค่ำและตอนกลางคืนแทบทุกคืนมานั่งอ่านหนังสือเป็นจำนวนมากในหอสมุดที่ไม่ไกลจากเรือนพยาบาลมากนัก ในหอสมุดนี้เต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับคาถาอาคมต่างๆที่เก็บรวบรวมไว้ให้บรรดาลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มาค้นคว้าได้ตามต้องการ ปกติหอสมุดปิดไว้ตลอดเวลา เมื่อใครก็ตามต้องการเข้ามาอ่านหนังสือที่นี่ก็แค่ทาบมือไว้กับประตูหอสมุด ประตูจะเปิดเอง เมื่ออยากมานั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะใด ตะเกียงไฟที่โต๊ะนั้นจะสว่างขึ้นมาทันที เมื่อใช้หนังสือเล่มใดเสร็จก็แค่เอาไปวางไว้ที่โต๊ะที่เขียนว่า“คืนหนังสือ” หนังสือเล่มนั้นจะสามารถพุ่งกลับไปอยู่บนชั้นที่มันถูกเก็บไว้ได้เองอย่างน่าอัศจรรย์ ทุกคนสามารถเปิดเข้ามาในหอสมุดนี่ได้ทุกเวลาตามต้องการ 

            นับจากวันที่เกิดเรื่องขึ้นกัณหาก็มาที่หอสมุดแทบทุกวันเพื่อค้นคว้าหาทางแก้พิษใบสามแฉก เธอหวังว่าถ้าเธอค้นคว้ามันเจอ เธอจะแอบเอาไปทิ้งไว้ให้ค่อมเห็น เมื่อเขาพบวิธีรักษาพิษนี้ได้ค่อมน่าจะรู้สึกดีขึ้นและดูดีขึ้นในสายตาของอำพัน ระหว่างนี้อำพันก็ยังพยายามทุกวิธีเพื่อขับเอาพิษที่คั่งในร่างกายคนทั้งสี่ออกมา แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะทุกคนดูบวมขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะจำหน้าไม่ได้ และอาการเพ้อของพวกเขาหนักขึ้นกว่าเดิม ส่วนค่อมนั้นไม่ได้มาทำงานที่เรือนพยาบาลหลายวันแล้ว เจ้าผีพรายบอกว่าเขาเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านพัก ไม่ยอมกินข้าวกินปลา จนเจ้างูใบตองต้องหอบอาหารไปให้ แต่เขาก็แทบจะไม่แตะต้องอาหารเหล่านั้น

            กัณหายกหนังสือขึ้นมาส่องกับไฟ และนั่งไล่ทีละบรรทัดอย่างรวดเร็ว เพื่อหาข้อความที่ตนเองต้องการ หลังจากค้นคว้าอย่างเหนื่อยอ่อนมาเกือบสัปดาห์ในที่สุดเธอก็พบมัน

            “ฉันเจอแล้ว ฉันเจอแล้ว!!!” กัณหาร้องเสียงดังขึ้นมา เจ้านกสะดุ้งปล่อยหนังสือที่มันกำลังใช้เท้าหยิบออกมาจากชั้นหล่นลงพื้น 

            “อะไร” นกการเวกรีบบินมาหา “เจอแล้วเหรอ ไหน”

            “นี่ไงฟังนะ ไข่มุกอันดามัน…ยาขับพิษชั้นดีจากทะเล ในดินแดนของเรานี้ไม่มีสมุนไพรใดจะมีคุณสมบัติในการขับพิษและบำรุงร่างกายได้ดีไปกว่าไข่มุกอันดามันอีกแล้ว ไข่มุกนี้ได้มาจากหอยมุกอาคมที่อาศัยอยู่ในทะเลอันดามันบริเวณที่น้ำสงบนิ่งเท่านั้น ใช้เวลาในการสร้างราว 5-10 ปี ไข่มุกทุกใบต้องผ่านการอาบด้วยแสงจันทร์ 3 คืน หลังจากนั้นจะกลายเป็นยาวิเศษที่สามารถขับพิษแทบทุกชนิดได้ แม้จะเป็นพิษร้ายแรงไม่มีทางรักษา เช่น ใบยอดเตี้ย ใบสามแฉก ผลตังเหลือง นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณบำรุงร่างกายทำให้ฟื้นฟูกำลังวังชาได้เป็นอย่างดี แล้วข้างล่างนี่ยังเขียนบรรยายวิธีการปรุงไข่มุกอันดามันเป็นยาอย่างละเอียดด้วย”

            “ไข่มุกอันดามันเหรอ” นกน้อยมองอย่างสนใจ “ทะเลอันดามันอยู่ไม่ไกลนัก บินไปชั่วพริบตาเดียวก็ถึง” 

            “จริงหรือ” กัณหาตื่นเต้น “งั้นเรารีบไปบอกค่อมกันเถอะ”

            “ไป” เจ้านกน้อยรีบบินตามหลังกัณหามา 

กัณหาไปที่ประตูหอสมุด เอาหนังสือทาบที่ประตูแล้วตามด้วยเอามือของเธอทาบ เป็นวิธีการยืนยันกับประตูหอสมุดว่าเธอขอยืมหนังสือเล่มนี้จากหอสมุด สักพักมีเสียงสัญญาณดังขึ้น บ่งบอกว่าการยืมหนังสือสำเร็จแล้ว ทั้งคู่ก็ออกจากหอสมุดเดินลัดเลาะไปตามทางเดินจนถึงบ้านของค่อมที่อยู่ที่ชายป่า อย่างไรก็ตามก่อนที่กัณหาจะทันได้ร้องเรียกค่อมนั้นเธอก็เห็นเงาคนตะคุ่มๆอยู่หน้าบ้านค่อมอย่างลับๆล่อๆ กัณหาเห็นเงาร่างนั้นชะเง้อคอดูเข้าไปในบ้านของค่อม

            “ทำอะไรนะ” กัณหาตะโกน เงาร่างนั้นสะดุ้งหันมา ทั้งกัณหาและเงาร่างนั้นต่างตกใจเมื่อเห็นหน้ากัน

            “กัณหา!!!”

            “อำพัน!!!” 

            “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” อำพันถามทันที มองมาที่กัณหาอย่างแปลกใจ “นั่นหนังสืออะไรนะ”

            “เออ..” กัณหาจะซ่อนหนังสือก็ไม่ทันเสียแล้ว

            “เอามานี่สิ” อำพันมองกัณหาราวกับจับได้ว่าเธอมีพิรุธ ก่อนกัณหาจะทันได้ทำอะไรหล่อนก็ฉวยข้อมือกัณหาแล้วหยิบหนังสือไปจากมือเธอ ก่อนเปิดไปที่หน้าที่เธอคั่นไว้

            “คือ… ฉันเพิ่งเจอข้อมูลเรื่อง ไข่มุกอันดามัน” กัณหาบอก อำพันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ มองมาทางเธออย่างขบขัน   

             “แล้วทำไมต้องซ่อนด้วยละ” หล่อนมองอย่างสงสัย แล้วก็หัวเราะเบาๆ 

             “เอ่อ…” กัณหาไม่รู้จะว่าอย่างไร อำพันมองมาทางเธอก่อนมองเข้าไปในบ้านแล้วหล่อนก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

             “เจ้าคิดจะเอามาให้ค่อมดูสินะ” หล่อนว่าแล้วก็ยิ้มน้อยๆ “แต่หาไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะเรื่องนี้ข้ากับค่อมรู้ดีอยู่แล้ว”

            “อ้าว…” กัณหานิ่งไป ไม่รู้จะพูดอะไรสักพักก่อนเอ่ยขึ้นว่า “แล้วท่านละ มาทำอะไรลับๆล่อๆหน้าบ้านค่อม” 

            เด็กน้อยรู้สึกแปลกใจที่อำพันมีท่าทีอึกอักบ้าง  หล่อนนิ่งไปดูเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร กัณหาหรี่ตาลงเพ่งมองอีกฝ่าย กำลังนึกจะหาวิธีคาดคั้นคำตอบจากหล่อนบ้าง แต่ยังไม่ทำอะไร จู่ๆไฟก็ลุกพรึ่บขึ้นบนหลังคาบ้านค่อม

            “ค่อม…!” กัณหากับอำพันอุทานขึ้นพร้อมกัน 

 

 

            กัณหากับอำพันรีบวิ่งมาที่หน้าหน้าประตู เมื่อถึงอำพันก็เคาะประตูรัวๆ

            “ค่อมอยู่ข้างในไหม” อำพันตะโกน แม้เสียงจะดังมาก แต่กลับไม่มีคำตอบรับจากค่อม

            “หลับอยู่รึเปล่านะ” กัณหาร้อง”ค่อมๆ”

            “ไฟลุกขนาดนี้ เป็นใครก็ต้องตื่นแหละ เว้นเสียแต่ว่าสลบ” อำพันดูกระวนกระวายใจมาก และรัวเคาะประตูไม่หยุด 

            “ทำไงดีละ ไฟเริ่มลามลงมาแล้วนะ” นกน้อยว่า บินวนอยู่ข้างๆตัวเธอ

            “เธอไปตามคนอื่นมาช่วยเร็ว” กัณหาไล่เจ้านก “ไปสิ”  

            พอเจ้านกการเวกบินออกไป กัณหาก็หันไปบอกอำพันว่า “ถ้าค่อมสลบอยู่ข้างใน เราคงต้องพังประตูแล้วละ ไม่งั้นไฟลามลงมาก่อน เราจะเข้าไปช่วยเขาได้ยาก”

            “ทำยังไง พังประตูยังไง” อำพันดูร้อนรนและตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก 

           “ท่านถอยไป” กัณหาสั่ง เมื่ออำพันถอยออกไปแล้ว กัณหาก็ถอยหลังเช่นกัน กัณหานึกถึงตอนเธอเด็กๆ มีไฟไหม้ที่เรือนนางกำนัลในวัง กัณหาแอบวิ่งตามไปดูพวกเขาดับไฟ เห็นขุนครามใช้ไม้ทุบประตูที่เปิดไม่ออก เพื่อจะเข้าไปช่วยคนข้างใน แต่ทุบอย่างไรก็ทุบไม่ออก สุดท้ายขุนครามก็ถอยออกจากประตูไปไกล ก่อนวิ่งอย่างเร็วตรงมากระโดดถีบประตูจนพัง

            โครม!!!

            กัณหาวิ่งถีบประตูอย่างจัง จนประตูเปิดออกกระแทกพื้น เสียแต่ว่าเธอกระโดดไม่สูงและทรงตัวไม่ดีเท่าขุนครามทำให้แทนที่เธอจะยืนอย่างมีชัยเหนือประตูที่พังไปแล้วเหมือนที่เคยเห็นขุนครามทำ กลับกลายเป็นว่า เธอนอนงอตัวบนพื้นข้อเท้าเคล็ดเพราะติดอยู่ในประตูไม้ไผ่ที่หักอยู่บนพื้น อำพันรีบวิ่งเข้ามาดูเธอสีหน้าตกใจสุดขีด

           “เป็นอะไรรึเปล่า” อำพันดูตกอกตกใจ รีบทรุดตัวลงดูกัณหาที่พยายามแกะข้อเท้าที่พลิกออกจากประตูที่ล้มอยู่

           “ไม่เป็นไรจ้ะ” กัณหาแกะข้อเท้าออกได้สำเร็จ และค่อยๆลุกขึ้นยืนแบบกะเผลก “ค่อมอยู่นั่น” 

            ค่อมฟุบอยู่ที่มุมห้องด้านหนึ่ง ท่าทางเหมือนสลบอยู่ เปลวไฟเริ่มลามเลียรอบบริเวณที่เขานอนอยู่แล้ว ความร้อนระอุของเปลวไปแผ่มาถึงกัณหาและอำพันด้วย ควันที่คละคลุ้งในห้องค่อยๆลอยออกทางประตูที่พวกเขาเพิ่งถีบเข้ามา

            “ฉันเข้าไปเอง” กัณหาบอกอำพันที่หน้าซีดเผือดเหมือนจะเป็นลม “รออยู่นี่นะ”

            “เจ้าจะเข้าไปยังไง เดี๋ยวก็โดนไฟคลอกตายไปด้วยหรอก” อำพันห้าม รั้งข้อมือเธอไว้ “รอคนอื่นมาช่วยดีกว่า อย่าบุ่มบ่าม อีกสักประเดี๋ยวเขาก็จะมากัน”

            กัณหามองไปรอบห้องอย่างร้อนรน เพื่อหาว่ามีน้ำที่ไหนบ้าง เธอกลัวว่าไฟจะคลอกค่อมเสียก่อนคนอื่นจะมาถึงเธอมองไปเห็นเหยือกน้ำบนโต๊ะข้างเตียงของค่อม จึงรีบวิ่งไปคว้าเหยือกน้ำนั้นและเทน้ำลงบนเสื้อของค่อมที่พาดอยู่ที่เตียง ก่อนโยนเสื้อนั้นไปคลุมร่างของค่อมไว้ 

           “กัณหา อำพัน” เสียบตะโกนจากข้างนอกดังมา สักพักเจ้างูเขียวก็พรวดพราดเข้ามาในห้อง ตามมาด้วยผีพรายและมีอีกหลายคนตามหลังเข้ามา

           “ไฟไหม้รอบๆ เขาออกมาไม่ได้” อำพันบอกเจ้างูเขียว เจ้างูยอบตัวเองสักพักก็ขยับหางผ่านเปลวไฟเข้าไปรัดตัวค่อมออกมาจากตรงนั้น ก่อนจะรีบเลื้อยออกไปจากบ้านไม้ไผ่ กัณหาและอำพันรีบวิ่งตามมา เมื่อออกมาถึงหาดทรายนอกบ้านแล้ว เจ้างูก็วางร่างค่อมลงบนพื้นทราย ในขณะที่คนอื่นๆรวมตัวกันจับมือกันและกันแล้วหลับตาแน่นอยู่หน้าบ้านของค่อมที่ไหม้ไฟไปเกือบจะทั้งหลังแล้ว

            “พวกเขาทำอะไรกัน” กัณหามองกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างสงสัย

            “ดับไฟ” ผีพรายบอก “ไฟลุกท่วมขนาดนี้ดับคนเดียวไม่ได้ ต้องใช้หลายคนช่วยกัน”

             “ค่อมๆ” อำพันร้อง มือเขย่าร่างค่อมที่ยังนอนนิ่ง ใบหน้ากลายเป็นสีแดงสด ดูเหมือนไม่หายใจ นอกจากนี้แล้วเขาก็ดูปกติดี ไม่ได้ถูกไฟคลอกแต่อย่างใด

            “คงสูดควันไปเยอะ” เจ้างูว่า มันก็ใช้หางเขย่าร่างของค่อมเช่นกัน

             อำพันวางมือลงบนหน้าผากของค่อม พึมพำอะไรสักอย่าง สักพักกัณหาเห็นไอควันสีขาวค่อยๆลอยออกมาจากปากของเขาอย่างช้าๆ สีแดงบนใบหน้าของเขาค่อยๆลดลง ค่อมหายใจเฮือกสักพักแล้วกลับมาหายใจแรงๆอีกครั้ง

            “เราต้องพาเขาไปที่เรือนพยาบาล” อำพันหันมาบอกเจ้างูใบตอง เจ้าใบตองพยักหน้า ขยับตัวพันร่างของค่อมอีกครั้งแล้วเลื้อยพาไป

 

 

            ค่อมยังคงพักรักษาตัวในเรือนพยาบาลต่ออีกสองถึงสามวัน อาการของเขาดีขึ้นค่อนข้างเร็ว อำพันบอกว่าพรุ่งนี้เขาก็น่าจะกลับไปพักที่บ้านพักหลังใหม่ที่ลูกศิษย์คนอื่นๆของท่านอาจารย์ช่วยสร้างขึ้นให้ใหม่ แต่ในระหว่างนี้ อำพันก็มีงานหนักกว่าเดิม เพราะต้องดูแลคนไข้เพิ่มอีกหนึ่ง ในขณะที่ผู้ช่วยของเธอเหลือเพียงกัณหาแค่คนเดียวที่ต้องทำทุกอย่างหนักกว่าเดิม จนผีพรายต้องไปลากนวล ผู้ช่วยคนเดิมให้กลับมาช่วยงานต่อ กัณหาจึงมีโอกาสได้เจอกับนวลซะที นวลเป็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วม  ผมสีดำยาวของหล่อนมัดรวบเป็นมวยตึงที่ด้านหลังศีรษะ นวลดูไม่ค่อยเต็มใจที่จะมาช่วยสักเท่าใดนัก

            บ่ายวันหนึ่งหลังจากค่อมกลับไปพักที่บ้านพักแล้ว ระหว่างที่กัณหากำลังเก็บสมุนไพรอยู่ในสวนกับอำพัน อำพันก็เอ่ยขึ้นมาว่า 

            “เจ้าเคยเห็นหอยมุกและไข่มุกจริงๆไหม” อำพันถามระหว่างเด็ดใบสมุนไพรใส่ลงในตะกร้า

            “ไม่เคยจ้ะ” กัณหาแปลกใจกับคำถามนั้น “ฉันเคยได้ยินว่ามันอยู่ในทะเลลึกมากไม่ใช่หรือ”

            “มันเป็นหอยตัวใหญ่มากอยู่ในทะเลน้ำ เป็นหอยที่สวยงามมาก และสร้างไข่มุกที่สวยงามหลากสีสัน สรรพคุณของมันก็อย่างที่เจ้าค้นเจอนั่นแหละ นอกจากจะนำมาทำเป็นเครื่องประดับแล้ว ยังมีสรรพคุณขับพิษได้เกือบทุกชนิดและเป็นยาบำรุงชั้นยอด”

            “ท่านจะไปเอามันมาทำยาหรือ” กัณหาเงยหน้ามามองเธออย่างตื่นเต้น “ฉันเคยถามผีพรายว่าทะเลอันดามันไกลจากที่นี่มากไหม เขาบอกว่าไม่ไกลเลย เดินทางแค่ไม่กี่วันก็ถึง”

            “ใช่ ข้าลองใช้หลายวิธีเพื่อขับพิษใบสามแฉกออกแล้วก็ยังไม่เป็นผล ข้าคิดว่าลองต่อไปอาจไม่เป็นผลดีกับพวกเพื่อนของเจ้าสักเท่าใดนัก เพราะยิ่งทั้งเวลาไว้นานเข้า พิษใบสามแฉกในร่างกายก็จะยิ่งแพร่กระจายไปทั่ว ข้าเลยตัดสินใจว่าจะเดินทางไปวังมุกที่ทะเลอันดามันเพื่อไปนำไข่มุกมา ข้าก็เลยจะมาถามเจ้าว่าเจ้าอยากไปด้วยไหมละ วังมุกนะเป็นสถานที่ที่สวยงามมาก แค่ได้เห็นก็นับว่าเป็นบุญตา แต่เป็นที่ต้องห้าม ไม่ใคร่จะอนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปนักถ้าไม่จำเป็น เมื่อเช้าข้าไปปรึกษากับท่านอาจารย์แล้ว ท่านเองก็เห็นว่า คงถึงคราวจำเป็นต้องเข้าไปที่นั่น จึงอนุญาต”

             “ท่านจะให้ฉันไปด้วยเหรอ” กัณหามองเธออย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าตนจะได้รับคำชวนนี้

             “ก็แล้วแต่เจ้าว่าอยากไปรึเปล่า”

             “ไปสิ ฉันอยากไป” กัณหาตื่นเต้น “แล้วฉันต้องเตรียมอะไรไปบ้างละ”

              อำพันมองกัณหาแล้วก็ยิ้มน้อยๆให้เธออย่างเอ็นดู เป็นยิ้มที่หาได้ยากยิ่งจากหญิงที่มีใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา