23 ตอน เหตุร้ายในวังมุก(1)
โดย นกเป็ดน้ำ
เสียงรถม้าวิ่งกุบกับไปตามทางเล็กๆในป่า กัณหานั่งมองไปด้านนอกหน้าต่างอย่างสนอกสนใจ มีเจ้าผีพรายนั่งบรรยายเล่าเรื่องต่างๆประกอบไปตลอดทาง ภายในรถม้านั้นนอกจากกัณหาและผีพรายแล้ว อำพัน ค่อม เจ้างูใบตอง และชายวัยกลางคนร่างสูงผิวขาวอีกคนชื่อ ทับ มาด้วย
หลังจากอำพันไปขออนุญาตท่านอาจารย์ออกเดินทางไปยังวังมุกเพื่อนำไข่มุกอันดามันมารักษาอาการของเพื่อนร่วมทางทั้งสี่ของกัณหาแล้ว อำพันก็มาชวนกัณหาและค่อมที่อาการดีขึ้นแล้วให้ออกเดินทาง ค่อมตอบตกลงในทันที ตอนแรกที่จะออกเดินทางนั้น ท่านอาจารย์ให้เจ้างูใบตองและทับมาช่วยอารักขาคุ้มครองพวกเขาไปจนถึงวังมุกด้วย แต่ปรากฏว่าตอนที่พวกเขากำลังจะออกเดินทาง เจ้าผีพรายมาอ้อนวอนขออำพันว่าอยากไปด้วย ด้วยเหตุผลว่าตั้งแต่เกิดจนตายไปแล้วหล่อนยังไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นวังมุกเลยสักครั้ง เมื่อมีโอกาสจึงอยากขอตามไปด้วย อำพันมีท่าทีไม่เห็นด้วยนัก หล่อนบอกแต่เพียงว่า “ข้าจะไปเอาไข่มุกมาทำยาไม่ได้ไปเที่ยว” เจ้าผีพรายต้องไปอ้อนวอนท่านอาจารย์ จนสุดท้ายท่านก็อนุญาตให้ไป
จากที่กัณหาฟังที่ผีพรายเล่า เธอพอสรุปได้ว่า วังมุก เป็นอาคารสีขาวที่อยู่กลางทะเล ใช้เป็นที่เลี้ยงหอยมุกและสวนสมุนไพรทางทะเลหลายอย่าง วังมุกถือเป็นสถานที่ต้องห้าม ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันควร ทุกคนที่จะเข้าไปได้ ต้องได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์เท่านั้น สาเหตุหลักเพราะกลัวคนจะเข้าไปรบกวนเหล่าบรรดาหอยมุก พอได้ยินเรื่องนี้ทีแรก กัณหาไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องกลัวคนเข้าไปรบกวนขนาดนั้น เมื่อถามถึงเหตุผล เจ้าผีพรายก็ไม่อาจบอกได้ชัดเจน
“พวกหอยมุกต้องการความสงบมากนะ” อำพันตอบแทน เมื่อเจ้าผีพรายไม่สามารถอธิบายได้ “ต้องอยู่ในน้ำทะเลที่นิ่ง ไม่มีคลื่นลม ไม่มีใครไปกวน มันถึงจะสร้างไข่มุกได้ดี อีกอย่างไข่มุกพวกนี้สวยงาม มีราคาแพงมาก ใช้เวลานานกว่าจะได้แต่ละเม็ด ให้คนเข้าไปได้ง่ายๆก็หายหมดพอดี”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” กัณหาพยักหน้างึกงัก “แล้วเราไปกันเยอะขนาดนี้ จะไม่เป็นไรใช่ไหมจ้ะ”
“ไม่หรอก” เจ้างูตอบเรียบๆ “ใกล้ถึงแล้วละ ข้าเห็นทะเลแล้ว”
รถม้าของพวกเขาวิ่งออกจากแนวร่มไม้มาถึงบริเวณชายหาดโล่ง เบื้องหน้าพวกเขาคือ ท้องทะเลสีฟ้าครามที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
“แล้ววังมุกอยู่ตรงไหนละ” กัณหามองไปรอบๆอย่างงุนงง
“วังมุกอยู่กลางทะเลลึก มองไม่เห็นจากชายฝั่งหรอก ต้องลงเรือไปอีกหน่อย” อำพันตอบก่อนเปิดประตูรถม้า “ลงมากันเถอะ ข้าว่าอีกสักประเดี๋ยวเจ้าบินตัง คงให้คนจะมารับแล้ว”
“บินตัง?”
“ผู้ดูแลวังมุกนะ” งูเขียวใบตองบอก “เป็นลูกศิษย์อีกคนของท่านอาจารย์ เป็นหัวหน้าวังมุก ลงมาจากรถม้าเถอะ”
กัณหาลงมาจากรถม้าตามหลังเจ้างูใบตองและทับ หลังจากพวกเขาลงจากรถม้าสักพักก็มีเรือหางยาวลำเล็กมีประทุนเรือลำหนึ่งเข้ามาเทียบที่ชายหาด มีชายผิวดำร่างสูงเก้งก้าง เขาสวมเสื้อผ้าแบบที่กัณหาไม่เคยเห็นมาก่อน เสื้อเป็นเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีขาว มีผ้าตารางหลากสีสันยาวจากเอวถึงเข่าพันทับไว้อีกทีอยู่บนเรือนั้น เขากระโดดลงจากเรือออกมาต้อนรับ
“กระผม อาติ ผู้ช่วยจากวังมุกได้รับคำสั่งให้มารับท่านทั้งหลายครับ” เขาบอกอย่างอารมณ์ดีแถมโค้งให้พวกเขาด้วย “เชิญขึ้นเรือขอรับทุกท่าน”
“เจ้าอาติเรอะ” เจ้างูอุทาน “โอ้นี่ข้าไม่ได้ไปวังมุกนานขนาดนั้นหรือนี้ เจ้าโตเป็นหนุ่มแล้ว ข้าใบตอง จำได้รึไม่”
“จำไม่ได้ขอรับ” อาติหัวเราะ ยักคิ้วอย่างอารมณ์ดี “ขึ้นเรือเถิดครับ แนะนำตัวบนเรือก็ได้”
เจ้างูเขียว ผีพราย และทับหัวเราะตามกัน อำพันย่นจมูกเหมือนทำนองว่า จะขำอะไรกันหนักหนา ในขณะที่ค่อมไม่แสดงสีหน้าท่าทางใดๆ อำพันพยักพเยิดให้ทุกคนรีบขึ้นเรือ หลังจากทุกคนนั่งบนเรือลำเล็กเรียบร้อยแล้ว อาติก็เริ่มลากเรือออกสู่ทะเลก่อนกระโดดตามขึ้นมาบนเรืออย่างชำนาญ
“พ่อเป็นไงมั่ง อาติ” เจ้างูชวนคุย “เบื่อรึยัง อยากกลับไปรับใช้ท่านอาจารย์บนฝั่งบ้างหรือไม่”
“คงยากขอรับ เคยอยู่แต่ในทะเล กลับไปอยู่บนฝั่ง เห็นทีจะเดินไม่คล่องทีเดียว” อาติตอบ “กระผมขอเร่งเครื่องสักนิดนะขอรับ กลัวจะไปถึงช้าเกินไป พ่อท่านจะรอนาน”
“เอาสิ ข้าก็อยากถึงเร็วๆเหมือนกัน” อำพันเริ่มมีน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย อาติเหมือนจับน้ำเสียงนั้นได้ เขายิ้มเหมือนขบขัน ก่อนเอามือเคาะที่กราบเรือสามครั้ง แล้วเรือก็แล่นเร็วขึ้นทันทีทันใด จนกัณหาต้องเอามือจับกราบเรือไว้ รู้สึกเหมือนกำลังจะหลุดออกจากเรือ
“แม่เจ้าประคุณ” เจ้างูอุทาน เอาหางพันเสาประทุนไว้ อำพันกับค่อมเอามือเกาะกับกราบเรืออย่างตกใจไม่ต่างจากกัณหา ทับกับผีพรายหัวเราะกับท่าทีของคนอื่นๆ
“ช่วงนี้เก็บไข่มุกได้เยอะไหม อาติ” ผีพรายตะโกนแข่งกับเสียงคลื่นลมและเสียงเรือที่แล่นผ่านทะเลไป
“เยอะขอรับ ปีนี้เก็บได้หลายพันทีเดียว” อาติตะโกนตอบกลับมา “มีคนมาจองซื้อแล้วด้วยขอรับ”
“อ้าว แล้วอย่างนี้ จะมีเหลือให้เราเอาไปทำยารึ” ผีพรายถาม
“น่าจะแบ่งไปได้นะขอรับ” อาติยิ้มให้หล่อน “แต่กระผมไม่แน่ใจ เหมือนเคยได้ยินพ่อบอกว่า ไข่มุกที่เอามาทำยากับไข่มุกที่เอาไปทำเครื่องประดับเป็นคนละชนิดกัน”
“จริงหรือ อำพัน” ผีพรายหันไปถาม แต่อำพันทำหน้าซีดเผือดเหมือนจะอาเจียนอยู่แล้ว หล่อนจึงได้แต่ถลึงตาเป็นคำตอบ เจ้าผีพรายจึงหยุดถาม เมื่อหล่อนมองไปรอบๆตัวก็เห็นสภาพคนเป็นคนอื่นๆ (ยกเว้นอาติและทับ)ก็ไม่ต่างกัน
หลังจากนั่งเรือไม่นานนัก ผีพรายก็ชี้ให้กัณหาดูอาคารสีขาว ยอดแหลมที่ลอยอยู่กลางทะเล อาติเริ่มลดความเร็วเรือลงเมื่อเข้าไปใกล้อาคารสีขาวดังกล่าว เมื่อเรือเข้าไปใกล้มากขึ้น กัณหาจึงได้เห็นว่าอาคารดังกล่าวไม่ได้มีอาคารเดียว แต่มีอาคารหลังเล็กๆสีขาวที่ดูรูปทรงคล้ายบ้านพักหลังเล็กๆจำนวนมากลอยอยู่ใกล้ โดยมีอาคารสีขาวที่มียอดแหลมเป็นจุดศูนย์กลาง สักพักอาติค่อยๆหยุดเรือ เขากระโดดลงจากเรือหางยาวไปยังท่าเทียบเรือสีขาว และเอาเชือกเรือผูกไว้กับหลักที่ท่าเรืออย่างชำนาญ ก่อนค่อยๆออกแรงลากเรือเข้าไปเทียบท่า
“เชิญ ขอรับ” อาติยิ้มกว้างให้กับสีหน้าของทุกคน ก่อนส่งมือให้ทุกคนจับตอนขึ้นจากเรือ
“ไหวไหม ขอรับ” เขาเลียบเคียงถามอำพันที่ดูจะหน้าซีดเซียวที่สุดในกลุ่ม หลังจากหล่อนขึ้นถึงท่าแล้ว อำพันไม่ตอบว่าอะไร ได้แต่พยักหน้าให้ “ถ้างั้นเชิญทางนี้ขอรับ” เขาผายมือไปตามทางเดินสีขาวที่ลอยน้ำอยู่ ทาทับขอบทางด้วยสีทองสวยงาม
กัณหาเดินตามคนอื่นๆไปตามทางเดินนั้น เธอมองไปรอบตัวอย่างตื่นเต้น วังมุกดูเป็นสถานที่แปลกใหม่และแปลกตามากสำหรับเธอ รอบตัวเธอมีบ้านและอาคารลอยน้ำที่มีสีขาวแวววาว แต่ละหลังแยกจากกันอย่างชัดเจน และขยับขึ้นลงอย่างอิสระตามการจังหวะการกระเพือมของน้ำทะเล แต่ละหลังมีทางเดินสีขาวออกมาจากตัวบ้านเชื่อมกับทางเดินหลักที่พวกเขาเดินอยู่ เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆบ้านและอาคารรอบตัวก็หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน พวกเขาเดินมาจนถึงอาคารหลังใหญ่สูงเสียดฟ้า ตัวอาคารมีสีขาวแวววาวสะท้อนแสงสวยงาม ชั้นแรกของอาคารเป็นลานโล่งทาพื้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน
“โอ้ มากันแล้ว” ชายวัยกลางคนผิวคล้ำคนหนึ่งยืนส่งยิ้มและอ้างแขนกว้างให้พวกเขาจากกลางลานสีน้ำตาล เขามีรูปร่างสมส่วนดูทะมัดทะแมง สวมชุดคล้ายกับอาติ แต่เป็นสีน้ำตาล และสวมหมวกสีเข้มไว้บนศีรษะ “ดีใจที่ได้เจอ”
“บินตัง ไม่ได้เจอกันนานเลย” ทับร้อง ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนเดินเข้าไปกอดเขาไว้แน่นและตบบ่าเบาๆ
คนอื่นๆรอบตัวกัณหาพากันยิ้ม ไม่เว้นแม้แต่อำพันและค่อม
“ยินดีต้อนรับทุกคนสู่วังมุก ไม่ได้เจอทุกคนเสียนาน” บินตังยิ้มให้ หลังจากปล่อยตัวทับออกมาแล้ว “มาๆ เข้ามาในหอกลางก่อน”
“ใช่นานมาก ครั้งหลังสุดที่ข้ามา อาติ ลูกชายเจ้า ยังตัวพอๆกับกัณหานี่อยู่เลย” เจ้างูชี้มาทางกัณหา
“กัณหา?” บินตังหันมามองเด็กน้อยอย่างประหลาดใจ “ลูกใครกัน ลูกศิษย์ใหม่ท่านอาจารย์เรอะ”
“แม่หญิงตัวน้อยจากอยุธยา” เจ้างูเขียวตอบ ผลักร่างกัณหาออกไปยืนต่อหน้าบินตัง “เพื่อนพ่อช่วง”
“หรือลูกสาว” บินตังหรี่ตามองใบหน้าเด็กน้อย แล้วก็ยิ้มขำ “แต่หน้าไม่เหมือน แล้วพ่อช่วงเล่า ไม่มาด้วยรึ เหตุใดปล่อยให้มิตรน้อยมาผู้เดียว”
“พ่อช่วง จวนม่องเท่งแล้วนะสิ” ผีพรายว่าขำๆ แอบชำเลืองมองไปทางอำพัน
“หา ว่ากระไรนะ เกิดอะไรขึ้นมาเล่าให้ข้าฟังสิ”
แล้วพวกเขาก็นั่งลงบนพื้นอาคารนั่งพูดคุยและเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบกันนานพอสมควร หลังจากอำพันเล่าเรื่องอุบัติเหตุในการปรุงยาให้บินตังฟัง บินตังก็มีสีหน้าวิตกกังวลเล็กน้อย
“ตอนแรกท่านอาจารย์บอกข้าเพียงแต่ว่าอำพันจะมาเก็บไข่มุกไปปรุงยา ข้าก็นึกว่าแม่อำพันจะประดิษฐ์ยาสูตรใหม่เสียละกระมั้ง ไม่คิดว่าจะปรุงยารักษาพิษให้พ่อช่วงที่อาการหนักขนาดนี้” บินตังลูบคาง “แต่ถ้ากินยาพิษมานานขนาดนั้น อาจต้องใช้ไข่มุกสีทอง ถึงจะได้ผล”
“ไข่มุกสีทองรึ” อำพันว่า สีหน้าดูกังวลเช่นกัน “ข้าไม่อยากเข้าไปย่านนั้นเลย ตอนแรกข้าว่าจะมาขอเก็บไข่มุกสีขาวก็พอ”
“น่าจะต้องใช้สีทอง และใช้ได้เป็นบางตัวด้วย”บินตังครุ่นคิด “ถ้าเจ้ากังวลใจไม่อยากเข้าไปย่านนั้น ข้าจะไปเก็บให้เอง”
“ขอข้าไปด้วยเถิด” จู่ๆค่อมก็พูดขึ้นเป็นครั้งแรก “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าที่สะเพร่า ข้าอยากจะรับผิดชอบ”
“เจ้าดำน้ำไหวหรือ ค่อม” บินตังส่ายหน้า “น้ำลึกพอตัวเลยนะ ปกติเจ้าว่ายน้ำไม่แข็ง”
“หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าฝึกเพิ่มเติม ตอนนี้ข้าว่าข้าพอทำได้ชำนาญแล้ว ขอท่านโปรดวางใจเถิด ข้าอยากจะลงไปเก็บเอง เพื่อชดใช้ความผิดบาปในใจข้า” ค่อมก้มหน้า อำพันมองเขาอย่างเป็นห่วงแล้วหันมาทางบินตังว่า
“ให้เขาลงไปเก็บด้วยเถิด ข้าก็จะไปช่วยด้วย หอยมุกสีทองนะ อยู่ลึกและห่างไกลกันมาก คงต้องมีคนลงไปช่วยเก็บมากพอควร ข้ากะว่าน่าจะใช้สักราวๆหกถ้วยตวงนี่” อำพันชูถ้วยตวงให้บินตังดู
“ข้าจะลงไปช่วยเก็บด้วย” ทับบอก
“ก็ดี ตอนนี้มีสี่คน งั้นข้าจะหาอีกสามคนลงไปช่วย เป็นเจ็ดคน”
“พ่อ ข้าไปด้วย” อาติรีบเสนอตัว
“เจ้ายังไปเก็บไข่มุกพวกนี้ไม่ได้หรอก” บินตังตอบ แล้วพยักพเยิดมาทางกัณหา “เจ้ากับแม่หนูนี่ ช่วยกันรอล้างไข่มุกก็แล้วกัน”
“ข้าดำน้ำได้คล่องมากนะ” อาติประท้วง “ข้าช่วยท่านเก็บได้แน่ๆ”
“ไข่มุกที่จะเอามาทำยาวิเศษ ไม่เหมือนไข่มุกที่เราเลี้ยงขายหรอกนะ” บินตังส่ายหน้าให้อาติที่มีสีหน้าขุ่นใจเล็กน้อย “ไข่มุกที่เราเลี้ยงขายเป็นไข่มุกธรรมดา ฝึกให้ใครเก็บก็ได้ แต่ไข่มุกวิเศษที่จะเอามาทำยาต้องมาจากหอยมุกที่มีอาคม หอยมุกพวกนี้เลี้ยงไม่ได้ และมักอยู่เฉพาะบางบริเวณในทะเลเท่านั้น ยิ่งหอยมุกตัวใหญ่ มีอาคมมาก ใช้เวลาเลี้ยงมุกนาน ไข่มุกที่ได้จะยิ่งมีพลังมาก ซึ่งก็แน่นอนว่า หอยมุกที่มีอาคมก็จะไม่ยอมให้เจ้าเก็บไข่มุกได้ง่าย เจ้าต้องดำน้ำลงไปเก็บและอาจต้องสู้กับมัน ถ้าฝีมือทางอาคมของเจ้าไม่ถึง เจ้าอาจตายจากการเก็บไข่มุกได้”
“แต่ข้าก็มีอาคมพอตัวนะ” อาติเถียง ทับยกมือขึ้นตบไหล่ของเขาเบาๆก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“สมัยหนุ่มๆ ข้าก็เคยคิดอย่างเจ้า จนข้าเห็นเพื่อนตายต่อหน้าต่อตาตอนเก็บไข่มุกนั่นแหละ จึงได้รู้ว่าการเก็บไข่มุกอาคมไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พ่อเจ้าเป็นห่วงเจ้า เจ้าก็ควรฟัง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะห้ามไม่ให้เจ้าเก็บมันตลอดไป เมื่อวันหนึ่งเจ้ามีอาคมแก่กล้า เจ้าจะถูกใช้ให้ไปเก็บจนหายอยากเลยทีเดียว เหมือนอย่างข้านี่ มีใครอยากได้ไข่มุกเมื่อไหร่ ท่านอาจารย์ก็เรียกใช้ข้าตลอด”
ทับกับบินตังสบตากันแล้วก็หัวเราะร่วน
“เอาเป็นว่าวันนี้เชิญทุกท่านพักผ่อนก่อน ข้าจะหาผู้ช่วยเก็บไข่มุกให้ได้ในวันนี้ แล้วพรุ่งนี้เช้าเราก็จะดำลงไปเก็บไข่มุกกัน” บินตังแจกยิ้มให้ทุกคนรอบวง แล้วชำเลืองมองมาทางกัณหาอย่างเอ็นดู “แม่หนูน้อย เจ้าอยากเห็นการทำน้ำล้างพิษหอยมุกไหม”
“น้ำล้างพิษหอยมุก” กัณหาทวนคำ ทำหน้างง
“พวกหอยมุกที่มีอาคมนะ พอพวกมันรู้ว่าเจ้าจะมาเอามุกไป พวกมันจะปล่อยพิษเคลือบมุกไว้ พอเจ้าสัมผัสไข่มุก ก็จะมือพองบวม” อำพันหันมาอธิบายให้ฟัง “จึงต้องมีการทำน้ำล้างพิษหอยมุกไว้ด้วย เมื่อเก็บไข่มุกขึ้นมาก็นำมาล้างทันที”
“อ้อ…”
“คืนนี้ข้าจะให้เมียข้า เตรียมน้ำล้างพิษหอยมุกไว้ เจ้าอยากเห็นไหมละ เมียข้ายินดีต้อนรับเต็มที่โดยเฉพาะเด็กๆ”
“อยากเห็นจ้ะ” กัณหาตอบ บินตังได้ยินก็หัวเราะเสียงดัง
“ชาวอยุธยารึ งามเสียจริงแม่คุณ ผิวขาวราวกระดาษ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเอ็นดูดังมาจากเมญ่า ภรรยาของบินตัง หล่อนเป็นหญิงรูปร่างท้วม ผิวคล้ำ ท่าทางใจดี มีใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเดียวกับอาติ หล่อนสวมชุดเสื้อแขนยาวสีขาว และนุ่งผ้าถุงเป็นลายสีทองสลับส้มสวยงามมาก
“โอ๊ย แม่ พูดวนมาหลายรอบแล้วนะ” อาติบ่น ขณะกวนน้ำยาในหม้อต้มที่กำลังเดือดพล่าน
“แหม ก็แม่หนูน้อยนี่งามจริงๆนี่นา” เมญ่ายิ้ม “เป็นลูกเต้าเหล่าใครรึ แม่”
“เอ่อ…” กัณหาไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
“แล้วถ้าเขาบอกชื่อพ่อแม่เขา แม่จะรู้จักรึ” อาติย้อนถาม “แม่รู้จักชาวอยุธยาสักคนรึไง”
“ก็พ่อช่วงนั่นไง รู้จักอยู่คนเดียวนั่นละ” หล่อนเอามือเขกหัวลูกชาย แล้วหันมายิ้มให้กัณหา “แต่แม่หนูคงไม่ใช่ลูกพ่อช่วงใช่ไหมจ้ะ”
“ไม่ใช่จ้ะ พ่อฉันอยู่ในอยุธยา ส่วนแม่ตายตั้งแต่ยังเกิด” กัณหาตอบ
“โอ้…” เมญ่าไม่รู้จะพูดต่อว่าไง
ตอนนี้เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว กัณหามาช่วยปรุงน้ำยาล้างพิษหอยมุกที่ห้องครัวหลังบ้านของอาติ โดยมีเมญ่าช่วยสอนวิธีการทำให้อย่างละเอียดทีละขั้นตอน กัณหามาช่วยตั้งแต่เที่ยง กว่าจะเสร็จก็มืดค่ำ
“อ้าว ใส่อันนี้เป็นอย่างสุดท้าย” เมญ่าว่า เทน้ำสีเหลืองลงไปในหม้อ “หลังจากนั้นปล่อยต้มยาไว้ทั้งคืน พรุ่งนี้เช้าก็ใช้ได้ พอพรุ่งนี้เช้า เจ้าสองคนก็หิ้วถังน้ำยาล้างพิษไปตั้งไว้ที่ท่าน้ำ ใส่ถุงมือหนังไปรอรับไข่มุกจากพวกที่ดำน้ำลงไป จะได้เอาขึ้นมาช่วยกันล้าง ช่วยกันขัดได้สะดวก อย่าลืมนะ ตลอดเวลาที่ยังล้างพิษจากหอยมุกไม่หมดต้องใส่ถุงมือไว้ตลอดเวลา ส่วนเจ้าอาติก็ไปหาถุงมือมาเผื่อกัณหาด้วย”
“จ้า แม่” อาติรับคำ กวนน้ำในหม้อต่ออย่างแข็งขัน
หลังจากปรุงยาเสร็จ เมญ่าชวนให้กัณหาอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกัน โดยมีบินตังมาสมทบด้วย สามคนพ่อแม่ลูกคุยกัน หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน กัณหานั่งมองพวกเขาแล้วก็นึกถึงตนเอง ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา กัณหากินอาหารคนเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่ เธอแทบไม่เคยได้ร่วมโต๊ะเสวยกับพระบิดาของเธอเลย แม่ของเธอยิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนแม่นมก็คงไม่กล้ากินอาหารร่วมกับเธอ เหตุเพราะกลัวจะ “ผิดธรรมเนียม” ก่อนหน้านี้กัณหาไม่เคยรู้สึกอะไร เพราะนั่งกินคนเดียวจนชิน พอได้มาเห็นครอบครัวนี้นั่งกินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาและพูดคุยหยอกล้อกัน ดูแล้วบรรยากาศอบอุ่นเหลือเกิน แต่กลับทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวชอบกล
ถ้ามีแม่นมนั่งกินข้าวด้วยคงจะดี เสียแต่ท่านจากเธอไปเสียแล้ว ส่วนคนอื่นนั้นคงเป็นไปได้ยาก
“ประเดี๋ยว เจ้าพาแม่หนูน้อยไปส่งที่ที่พักหน่อยนะ เอานี่ไปด้วย” หล่อนยัดถุงขนมใส่มือกัณหาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหลังจากทานอาหารค่ำเสร็จ “เก็บไว้เผื่อหิวตอนกลางคืน”
อาติพากัณหาออกจากบ้านของเขาออกมาตามทางเดินหลัก เขาเล่าให้กัณหาฟังถึงวิธีการเลี้ยงหอยมุกเพื่อเอาไข่มุกมาขาย กัณหาตื่นเต้นมาก เพราะเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน เธอนึกบ่นเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสได้ไปดำน้ำเก็บไข่มุกกับคนอื่นๆด้วย
“ถ้าอยากดูวิธีการเก็บไข่มุกธรรมดา ไม่ยากหรอก เดี๋ยวข้าพาไป” อาติยิ้มให้เธอ “แต่ถ้าจะไปดูการเก็บไข่มุกอาคมพวกนั้นละก็ คงยากหน่อย เพราะมันกลายเป็นที่ต้องห้ามไปแล้ว”
“ที่ต้องห้าม?” กัณหาทวนคำอย่างประหลาดใจ “ทำไมถึงต้องห้ามละ ฉันได้ยินอำพันบอกว่า หอยมุกต้องการความสงบเงียบจึงจะสร้างไข่มุกได้ดีและกลัวคนไปขโมยไข่มุกออกมา จึงห้ามไม่ให้เข้าไป แต่ตอนมาถึงที่นี่พ่อของเธอบอกว่า หอยมุกอยู่ในน้ำทะเลลึก และการจะเก็บไข่มุกก็ยากต้องใช้คนมีฝีมือ ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมต้องกลัวคนไปขโมยหรือรบกวนมันด้วยละ”
อาติหันมามองกัณหาแล้วก็หัวเราะ “ช่างสังเกตดีนี่ จริงๆตั้งแต่ข้าเกิดมา ทะเลแถวนี้ไม่เคยเป็นที่ต้องห้ามหรอกนะ จนกระทั่งเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน อยู่ๆก็กลายเป็นที่ต้องห้ามขึ้นมา พ่อข้าบอกว่าเพราะมีคนถูกหอยมุกอาคมทำร้าย ไม่อยากให้ใครเข้าไปใกล้ แต่ข้าว่าไม่หรอก มีเหตุผลอื่นซ่อนอยู่”
“เหตุผลอะไร” กัณหาหรี่ตามองอีกฝ่าย
“ก็…” อาติพูดเสียงเบาลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบ เขากวาดสายตามองไปรอบๆก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเคยได้ยินข่าวลือเรื่องศิษย์เอกของท่านอาจารย์หรือไม่ละ”
“ไม่” กัณหาส่ายหน้า “ทำไม…”
อาติมองกัณหาอย่างชั่งใจว่าจะเล่าเรื่องต่อดีหรือไม่
“กัณหา!!!” เสียงอำพันร้องเรียกมาแต่ไกล กัณหากับอาติหมุนตัวกลับไปมองเห็นหล่อนกำลังเดินมาหาพวกเขา
“ปรุงยาเสร็จเสียค่ำเชียว ดึกแล้ว เจ้าไม่ควรเดินเพ่นพ่านนะ” หล่อนหันมาพยักพเยิดหน้าให้อาติ “เจ้าก็กลับไปเรือนที่พักได้แล้วอย่ามัวโอ้เอ้ พรุ่งนี้เราต้องเริ่มงานแต่เช้า”
“ขอรับ” อาติรับคำ ก่อนรีบหมุนตัวจากไป
Comments (0)