“เจ้านี่มันแกว่งปากหาเสี้ยน รู้ตัวรึยัง” เจ้างูใบตองด่า

            “ข้ารู้ แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ นางก็ไม่ได้เรียนอาคมนะ” 

            “แล้วไง การขอให้แม่นั่นช่วย เป็นไงละ แย่ยิ่งกว่าเก่าอีก” เจ้างูส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด “ถ้าไม่ไปช่วยนางทำงาน นางต้องไปบอกท่านอาจารย์แน่ๆ โอกาสได้เรียนก็เป็นศูนย์ แต่ถ้าไปช่วยนางทำงาน จะต้องรออีกกี่ปีกี่ชาตินางถึงพอใจและยอมไปขอร้องท่านอาจารย์ให้”

            “แต่เจ้าก็รู้ในสถานการณ์แบบนี้ไปขอท่านอาจารย์สอนให้ด้วยตัวเอง โอกาสสำเร็จยาก” ผีพรายพยายามโน้มน้าวด้วยสีหน้าและแววตาสำนึกผิด เจ้างูมองเขม็งอย่างไม่พอใจ

            “ช่างเถอะ ฉันรู้ว่าผีพรายหวังดี” กัณหาตัดบทเมื่อเห็นทีท่าของเจ้าผีที่ดูหงอยลง 

            กัณหา ผีพรายและเจ้างูใบตองนั่งอยู่ด้วยกันในโรงอาหารไม้ไผ่ พอเจ้างูทราบเรื่องข้อตกลงของอำพันที่ว่าจะให้กัณหาไปช่วยงานเธอจนกว่าเธอจะพอใจ แล้วเธอจะไปช่วยขอร้องอาจารย์ให้สอนอาคมให้ เจ้างูก็มีทีท่าไม่พอใจมากและต่อว่าผีพรายไม่หยุดปาก

            “แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร จะไปช่วยงานอำพันตามข้อเสนอจริงรึ” เจ้างูใบตองถาม “ถ้าเจ้ายังไม่รู้ข้าขอบอกไว้ก่อนว่า งานที่เรือนพยาบาลนะหนักมาก ก่อนหน้านี้ก็มีหลายคนที่อาจารย์ไม่รับสอน ไปขอทำงานที่นั่นเพื่อหวังให้อำพันไปขอร้องให้แทน มีไม่กี่รายหรอกที่อดทนทำงานได้จนนางยอมใจอ่อนไปขอให้ ส่วนใหญ่เลิกไปก่อนทั้งนั้น นางเป็นพวกใจแข็งมากนะ ต้องทำงานกับนางอยู่หลายปีทีเดียว”

            “แต่ทุกรายที่นางไปขอให้ ท่านอาจารย์ก็ยอมรับเป็นศิษย์หมดไม่ใช่เหรอ แม้ว่าก่อนหน้านี้ท่านจะเคยปฏิเสธไปแล้วก็ตาม” ผีพรายรีบสอดขึ้นมา เจ้างูตวัดหางตาไปมองอย่างโกรธเคือง 

            “เท่าที่ข้าเคยเห็น คนที่ใช้วิธีนี้สำเร็จมีแค่สองราย จากหลายพันคน” 

            “ก็ยังมีโอกาสอยู่นะ” กัณหายิ้ม เจ้างูหันมามองเด็กน้อยอย่างตกใจ เจ้าผีพรายแอบยิ้มแหยๆส่งมาให้ “ฉันคิดว่าลองดูก็ไม่เสียหายนะ ยังไงฉันก็ต้องรอทุกคนฟื้นตัวก่อนถึงจะออกเดินทางไปเกาะที่มีเรือเหาะตามที่ท่านว่านั่น ฉันว่าระหว่างรอฉันจะไปอยู่ช่วยอำพันทำงานก่อน ส่วนจะได้ผลหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่ได้ผล แล้วเพื่อนๆฉันฟื้นตัวก่อน ฉันก็จะออกเดินทางอยู่ดี แม้ว่าจะไม่ได้ฝึกอาคมก็ตาม”

            เจ้างูกับผีพรายมองหน้ากันอย่างไม่ใครสบายใจนัก เจ้างูยังคงส่งสายตาขุ่นเขียวให้ผีพรายแม้ว่าจะไม่ได้พูดว่าอะไร

 

 

            กัณหาเริ่มงานในเรือนพยาบาลในเช้าวันถัดมา หลังจากไปเยี่ยมเพื่อนๆตอนเช้า เธอเข้าไปหาอำพันและบอกว่าเธอยอมรับข้อเสนอของอำพัน อำพันไม่ได้แสดงท่าทียินดียินร้ายอะไรในเรื่องนี้ หล่อนเรียกชายหลังค่อมของหนึ่งที่ใส่ผ้ากันเปื้อนเหมือนหล่อนไม่มีผิดให้ออกมาหา ชายคนนั้นเตี้ยมาก มีผิวสีดำคล้ำ ใบหน้าบูดบึ้ง ขนคิ้วเข้มหนาเขม่นอย่างไม่พอใจนักเมื่ออำพันแนะนำกัณหาให้เขารู้จัก

            “นี่ค่อม ผู้ช่วยข้าเอง” อำพันผายมือไปทางเขา “ข้าให้เจ้าช่วยงานของค่อม เจ้าต้องเริ่มงานตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นและจะเลิกงานได้ก็ต่อเมื่อพระอาทิตย์ตกแล้วเท่านั้น เข้าใจนะ”

            “จ้ะ” กัณหารับคำ เธอส่งยิ้มให้ค่อมเล็กน้อย แต่ค่อมไม่ได้แสดงท่าทีดีใจมากนักที่ได้เจอเธอ 

            “ส่วนเรื่องอาหารการกินของเจ้าก็ไปกินที่โรงอาหารได้ตามปกติ แล้วก็นี่ผ้ากันเปื้อน ใส่ไว้ซะ” 

            กัณหารับผ้ากันเปื้อนมาผูก อำพันหันไปสนใจงานบนโต๊ะของเธอต่อ ค่อมพยักหน้าเป็นเชิงว่าเรียกให้กัณหาไปหาเขา

            “ตามข้ามา” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า กัณหาเดินตามเขาไปด้านหลังเรือนพยาบาล มีเรือนหลังเล็กๆอยู่ที่นั่นภายในเรือนเล็กมีชั้นมากมาย บางชั้นมีส่วนของพืชและสัตว์ เช่นรากไม้ ผลไม้แห้ง ใบไม้ เขากวาง วางอยู่ บางชั้นมีขวดแก้วใสที่ภายในมีน้ำและมีของอะไรบางอย่างดองอยู่ในนั้น 

            “ช่วงนี้งานเยอะนะ” เขาบอก ดึงกระบะใส่รากไม้อันหนึ่งออกมายื่นให้กัณหา “ต้องปรุงยาให้พวกที่โดนอาคมทุกวัน เจ้าช่วยเอานี่ไปล้างแล้วกัน มีบ่อน้ำเล็กๆอยู่ด้านนอกนั่น” เขาชี้มือไปที่ประตูอีกด้านของเรือนหลังเล็ก

            “จ้ะ” กัณหารับคำ หยิบกระบะออกไปด้านหลัง และตรงไปที่บ่อน้ำเพื่อล้างรากไม้

            หลังจากนั้นชีวิตของกัณหาก็วนเวียนอยู่อย่างนี้เกือบทุกวัน เธอต้องตื่นตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วไปที่เรือนหลังเล็กหรือเรือนเก็บสมุนไพรทุกเช้า เอาพวกสมุนไพรที่หามาได้เมื่อวานไปล้างเอามาผึ่งรอตากแดดเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น จากนั้นก็ขนสมุนไพรที่อยู่ในเรือนเก็บสมุนไพร ไปที่โรงปรุงยาที่อยู่ไม่ห่างกัน หลังจากนั้นก็แวะไปกินอาหารที่โรงอาหารสักพัก กินเสร็จก็กลับมาที่เรือนพยาบาลเพื่อมาขนพวกเสื้อผ้าของผู้ป่วยที่ใช้แล้วไปซักที่บ่อน้ำด้านหลังเรือนสมุนไพร จากนั้นก็มาทำความสะอาดเรือนพยาบาล เรือนสมุนไพร และโรงปรุงยา กว่าเธอจะทำเสร็จก็เที่ยงหรือบ่าย กัณหาลากร่างอันเหนื่อยอ่อนไปที่โรงอาหาร กินข้าวและพักสักพักก็กลับมาที่เรือนสมุนไพรอีก เพื่อตามค่อมออกไปหาเก็บสมุนไพรในสวนที่ปลูกไว้หรือบางทีก็เข้าไปเก็บในป่าในช่วงบ่าย กว่าจะเสร็จงานก็เกือบพลบค่ำพอดี 

            กัณหาไม่เคยทำงานเก็บกวาดซักล้างหรือหาสมุนไพรมาก่อน เพราะแต่ก่อนตอนอยู่ในวังมีคนทำให้ทั้งหมด เมื่อมาที่นี่วันแรกเธอจึงทำอะไรไม่เป็นเลย โชคดีที่ได้ค่อมคอยช่วยสอน แม้บุคลิกภายนอก ค่อมจะเป็นคนพูดน้อย และดูไม่ค่อยอยากคุยกับใครมากนัก แต่ลึกๆแล้วกัณหารู้สึกว่าเขาใจดีมาก เขาคอยช่วยสอนงานให้กัณหาทุกอย่าง ทั้งการล้างสมุนไพร การตากสมุนไพร การซักผ้า การทำความสะอาดเรือนพยาบาล และการหาสมุนไพรในป่า หลังจากมาอยู่ที่นี่ได้ราวสองสัปดาห์กัณหาก็ทำเองได้อย่างคล่องแคล่ว

            กัณหารู้สึกเหนื่อยมากจนไม่ได้ดูว่าวันคืนผ่านไปนานแค่ไหน คงเป็นเพราะต้องทำงานหนักเกือบตลอดทั้งวัน สัปดาห์แรกที่เริ่มทำงาน กัณหารู้สึกท้อแท้ใจมาก เพราะไม่เคยทำงานหนักมาก่อน จู่ๆต้องมาทำงานหนักขนาดนี้ เธอจึงแอบร้องให้บ่อยๆในตอนกลางคืน แล้วก็นึกถึงแม่นมขึ้นมา คิดว่าถ้าแม่นมยังอยู่ต้องไม่ปล่อยให้เธอลำบากขนาดนี้แน่นอน แม่นมต้องช่วยเธอทำหรือหาคนมาทำให้เธอ แต่ตอนนี้ท่านไม่อยู่แล้ว เธอจึงต้องเหนื่อยเพียงลำพัง วันที่เหนื่อยมากๆกัณหาก็รู้สึกท้อแท้ใจจนถึงขั้นคิดว่าจะหนีออกจากเกาะนี้ ไม่ทำงาน ไม่ไปตามหาน้ำอมฤตแล้ว แต่เมื่อเห็นภาพแม่นมวิ่งกลับมากอดเธอทุกครั้งที่เธอร้องไห้คราใด กัณหาก็กลับมาหยุดความคิดนั้นแล้วก็ท่องไว้ในใจว่า เพื่อแม่นม เพื่อแม่นม

            “เราต้องอดทนให้ได้ เส้นทางยังอีกยาวไกล นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง”

            ที่เรือนพยาบาลมีอำพันเป็นหัวหน้า มีผู้ช่วยสองคนคือค่อม คอยช่วยทำหน้าที่เก็บสมุนไพรและช่วยปรุงยา อีกคนคือนวล ทำหน้าที่ช่วยดูแลคนไข้และทำความสะอาดแบบเดียวกับที่กัณหาทำ กัณหาไม่เคยเจอนวลเลย ค่อมบอกว่า นวลไม่สบายมากหนึ่งถึงสองวันก่อนกัณหามาที่นี่ อำพันจึงให้เธอหยุดงาน และตอนนี้เธอหายแล้ว พอนวลได้ยินว่ามีกัณหามาช่วยงานที่เรือนพยาบาลเพิ่มแล้ว นวลก็มีท่าทีบ่ายเบี่ยงไม่ยอมมาช่วยงานที่เรือนพยาบาลอีก อำพันดูโมโหมากหลังทราบเรื่องจากผีพรายว่านวลไม่ยอมมาทำงานที่นี่แล้ว

            “เออดี เป็นเช่นนั้นก็อย่ากลับมาเฉียดที่นี่อีก” อำพันคาดโทษ “ข้านึกแล้วเชียว คนอย่างมันทนทำอะไรได้ไม่นานหรอก อย่าว่าแต่เรียนอาคมเลย ทำงานเฉยๆมันก็ทำไม่ได้”

 

            สุดท้ายก็เลยเหลือเพียงกัณหาและค่อมอยู่เป็นผู้ช่วยของอำพันแบบจำยอม เพราะอำพันไม่อาจหาคนมาทำงานแทนได้ งานพวกเก็บกวาดทำความสะอาดทั้งหมดจึงตกเป็นหน้าที่ของกัณหาไป

            เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น กัณหาล้มเลิกความคิดที่ว่าจะให้อำพันขอท่านอาจารย์สอนอาคมให้แล้ว เพราะดูแนวโน้มแล้วคาดว่าคงเป็นไปได้ยากอย่างที่เจ้างูใบตองพูด อำพันทำหน้าเหนื่อยใจทุกครั้งที่เห็นค่อมต้องสอนกัณหาทำงานง่ายๆที่คนอื่นๆทำเป็นกันหมดแต่กัณหาทำไม่เป็น เช่น ซักผ้า กวาดพื้น หลังจากทำหน้าอย่างนั้นเธอมักจะมีคำพูดเชิงเย้ยหยันว่า “แบบนี้นะรึ จะมาเรียนอาคม เรียนทำงานบ้าน ช่วยเหลือตัวเองก่อนดีไหม” เมื่อได้ยินแบบนั้นกัณหาไม่ตอบว่าอะไร เธอยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานไปเงียบๆตามที่ค่อมสอน ซึ่งนับว่าโชคดีที่ค่อมใจดีและใจเย็นพอที่จะสอนกัณหาทำงานเหล่านี้ จนพอครบสองสัปดาห์กัณหาก็ทำงาพวกนี้ได้คล่องและเลิกแอบร้องไห้ไปเอง เธอก้มหน้าก้มตาทำงานเงียบๆตามแบบค่อม โดยหวังว่าอาการของบรรดาเพื่อนๆของจะดีขึ้นในเร็ววัน ถ้าอาการดีขึ้นเมื่อไหร่ เธอจะได้ชวนพวกเขาออกไปจากที่นี่เสียที และเริ่มออกเดินทางตามหาน้ำอมฤตกัน

            แต่ทว่าความหวังของกัณหาก็ยังดูริบหรี่ซะเหลือเกิน เพราะบรรดาเพื่อนๆของเธอมีเพียงเจ้านกการเวกน้อยที่อาการดีขึ้นและหายกลับเป็นปกติแล้ว ส่วนคนอื่นๆอาการยังไม่กระเตื้องขึ้นเลยสักนิด แม้พวกเขาจะตื่นแต่ยังไม่รู้เรื่องและพร่ำเพ้อราวกับคนบ้า หรือบางทีก็กรีดร้องขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ แม้แต่อำพันก็ยังบอกว่าอาการของพวกเขาดีขึ้นช้ากว่าที่ควรจะเป็น แถมในช่วงสัปดาห์ที่สี่หลังจากมาที่นี่ พวกเขาเริ่มมีอาการตัวบวมมากขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุอีกด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้อำพันที่ปกติก็เครียดง่ายอยู่แล้วยิ่งเครียดมากขึ้นอีก เธอมักหงุดหงิดใส่ทุกคน โดยเฉพาะค่อม ดูจะโดนหนักสุด เพราะเป็นผู้ช่วยใกล้ชิดของเธอ กัณหานึกแปลกใจที่ค่อมยังทนทำงานต่อโดยไม่ปริปากบ่นเลยสักนิด แต่ก็อย่างว่า ค่อมเป็นคนไม่ค่อยพูดไม่ค่อยมีปากมีเสียงอยู่แล้ว เขาเลือกที่จะทำงานต่อเงียบๆโดยไม่พูดกับใคร

            และแล้วเหตุการณ์ที่นำความซวยมาสู่ค่อมและกัณหามากกว่าเดิมก็เกิดขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง กัณหารีบกินอาหารเที่ยงเสร็จแล้วก็กลับมาทำความสะอาดโรงปรุงยาดังเช่นทุกวัน แต่วันนี้แปลกกว่าทุกวันเพราะยาที่ควรจะต้มเสร็จตั้งแต่ก่อนเที่ยงยังต้มไม่เสร็จ ซึ่งโดยปกติแล้วกัณหาต้องรออำพันปรุงยาจนเสร็จก่อนจึงจะเริ่มเก็บกวาดทำความสะอาด วันนี้เมื่อเธอมาถึงเจออำพันกำลังเคี่ยวยาอยู่จึงหยุดยืนอยู่หน้าประตู

            “เข้ามาเลย วันนี้ข้าเปลี่ยนสูตรยาใหม่ เพราะเพื่อนๆของเจ้ายังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ เลยต้องใช้เวลาต้มยานานหน่อย” อำพันบอกระหว่างกวนยาในหม้อ “เจ้าเก็บกวาดที่อื่นไปก่อนเลย ประเดี๋ยวจะไม่ทันไปเก็บสมุนไพร”

            “จ้ะ” กัณหารับคำ เริ่มต้นเก็บเศษสมุนไพรตามพื้น นึกแปลกใจว่าวันนี้ค่อมไม่มาช่วยปรุงยาหรือ แต่ก็ไม่กล้าถามมาก เพราะช่วงนี้อำพันหงุดหงิดง่ายกว่าปกติอยู่แล้ว

            กัณหาเห็นต้นสมุนไพรที่ค่อมชอบเอาใส่ในยาเป็นอย่างสุดท้ายบ่อยๆอยู่ที่อีกฟากของห้อง กระจายเกลื่อนอยู่ที่พื้นอีกด้านหนึ่ง จึงก้มลงไปเก็บรวบรวมเป็นกำๆใส่กระจาด เธอเห็นว่าสมุนไพรนี้เปื้อนฝุ่นดินบริเวณที่มันหล่นเต็มไปหมด กำลังคิดจะเอาไปล้าง แต่เนื่องจากจำที่ค่อมเคยบอกว่าสมุนไพรบางตัวล้างหลายรอบไม่ได้ สรรพคุณจะเปลี่ยนเลยชั่งใจก่อนชำเลืองมองอำพันที่กวนยาอยู่ แล้วจึงตัดสินใจเข้าไปถาม

            “สมุนไพรตัวนี้ท่านจะใช้อยู่ไหม ฉันเห็นมันตกบนพื้นเปื้อนฝุ่นไปหมด ถ้าท่านจะใช้แล้วมันล้างอีกรอบได้ ฉันจะได้เอาไปล้าง” กัณหายื่นให้อำพันดู

            “ไหน ข้าดูสิ” อำพันว่า หยิบสมุนไพรนั้นขึ้นมาดู แล้วสักพักหล่อนก็หน้าซีดเผือด “สมุนไพรนี่เข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไง เอามาทำอะไรที่นี่” หล่อนหันมาถามกัณหาอย่างตกใจ 

            “ค่อมน่าจะเอาเข้ามานะ ฉันเห็นค่อมบดแล้วเอาใส่ในยาทุกวันเป็นอย่างสุดท้ายก่อนยกไปให้คนไข้” กัณหาตอบ มองอำพันอย่างงุนงง “มีอะไรหรือเปล่าจ้ะ”

            อำพันตาเบิกโพล่งอย่างตกใจ กัณหารู้ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีแน่ๆ เพราะเห็นหล่อนหน้าเสียมากกว่าเดิม หล่อนหายใจเร็วขึ้นเหมือนโกรธและนิ่งไปนานก็เอ่ยถามกัณหาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “เจ้ารู้ไหมว่าเขาใส่ไปมากน้อยแค่ไหน ใส่มานานรึยัง”

            “หม้อละ สองต้น” กัณหาพยายามนึกถึงที่ผ่านมา “เขาบดจนละเอียด คั้นน้ำแล้วเทใส่ลงไปในยา ตอนที่เขาใส่ลงไปนะ ยาจากสีฟ้าจะกลายเป็นสีม่วงชั่วครู่ คนไปสักพักมันก็กลับมาเป็นสีฟ้าดังเดิม ส่วนใส่ไปนานแค่ไหน ฉันไม่แน่ใจ ตั้งแต่วันแรกที่มา ฉันก็เห็นแล้ว”

            อำพันหายใจแรงขึ้นอีกพอๆกับหน้าที่ซีดเผือดลงกว่าเดิม กัณหารู้สึกได้ว่าหล่อนโกรธจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว แม้เธอไม่รู้เรื่องสมุนไพรแต่ก็พอจะเดาได้ว่าค่อมต้องใส่สมุนไพรลงไปผิดแน่ๆ อำพันถึงได้ดูโกรธมากขนาดนี้ ในจังหวะนั้นเองค่อมเดินเข้ามาในโรงปรุงยาพอดี พร้อมกับหิ้วตะกร้าใส่พืชสมุนไพรมาด้วย

            “เจ้าใส่อะไรลงไปในยาของข้า บอกมานะ” อำพันตะโกนใส่ค่อมจนเขาตกใจ พร้อมชูต้นพืชที่ได้มาจากกัณหาให้ค่อมดู “เจ้าเอาใบสามแฉกใส่ลงในยาของข้ารึ” 

            ค่อมยังคงนิ่งจ้องมองอำพัน กัณหารู้สึกว่าหน้าของเขาดูซีดเผือดลงเล็กน้อยแม้สีหน้าจะยังนิ่งสงบก็ตาม

            “เจ้าใส่มันลงไปทำไม มีเจตนาอะไร บอกข้ามา” อำพันยังตะโกนเสียงดังไม่หยุด แถมยังโยนต้นสมุนไพรนั้นใส่หน้าค่อม “อย่าบอกข้าว่าเจ้าไม่รู้ว่ามันเป็นพืชมีพิษ อย่าบอกว่าเจ้าบังเอิญทำมันหล่นลงไป”

            “มีเรื่องอะไรกัน” เสียงเจ้างูใบตองดังขึ้น แล้วเจ้างูใบตองกับผีพรายก็ปรากฏกายที่ปากประตูโรงปรุงยา

            “อะไรกัน อำพัน โวยวายอะไรเสียงดัง พูดจากันดีๆก็ได้” ผีพรายถาม มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสงสัย “มีเรื่องอะไรกัน”

            “ก็ข้าเพิ่งพบสาเหตุว่าทำไมเจ้าพวกนั้นถึงยังไม่หายสักที แถมยังบวมขึ้นทุกวันนะสิ” อำพันพูดรวดเดียวจบ หายใจแรงๆอย่างโกรธจัดมาก “ก็เพราะเจ้าเซ่อนี่ใส่ใบสามแฉกลงไปในยาของข้า”

            “ห๊ะ”เจ้างูอุทาน สีหน้าตกใจ แต่เจ้าผีพรายดูงุนงงก่อนถามว่า “แล้วไง มันเป็นยาพิษรึ”

            “ก็ใช่นะสิ” อำพันตะโกนอย่างโกรธจัด กัณหาเห็นเส้นเลือดที่คอของเธอเต้นตุบๆ “ใบสามแฉกมีพิษร้ายแรง ทำให้ฟั่นเฟื่อน แถมสะสมในเนื้อเยื่อทำให้บวมมากขึ้นด้วย เจ้าพวกนั้นถึงยังบ้อบอไม่หายสักทีไง แล้วที่สำคัญพิษของมันก็ร้ายแรงมาก และไม่มียาแก้พิษมันด้วย ถ้าปล่อยไว้อีกไม่นานเจ้าสี่ตัวนั่นถึงตายแน่”

            “เจ้าทำจริงหรือค่อม” เจ้างูเขียวหันไปถามค่อมอย่างใจเย็น “ทำไปทำไม ต้องการอะไร”

            ค่อมยังคงหน้านิ่งเงียบไม่พูดอะไร ไม่แม้แต่จะแก้ต่างให้ตัวเองแม้สีหน้าเขาจะดูซีดเผือดลงชัดก็ตาม

            “แล้วเจ้าเห็นรึว่าค่อมเอาใส่” ผีพรายเถียงแทนค่อม “ไหนหลักฐาน”

            “ก็แม่นี่ไงเห็น” อำพันชี้มือมาทางกัณหา ทุกสายตาหันมามองเธอเป็นตาเดียว “แล้วก็เห็นว่ามันจงใจใส่ลงไปในยาเสียด้วย มันจงใจฆ่าคนพวกนั้น”

            “ค่อมอาจเข้าใจผิดก็ได้มั้ง สมุนไพรมีตั้งเยอะ ค่อมจำผิดรึเปล่า อาจจะเข้าใจว่าเป็นสมุนไพรอีกอย่าง” เจ้าผีพรายยังคงเถียงแทนคนที่ยังคงเงียบ “ค่อมจะอยากฆ่าพวกนั้นทำไม มีเจตนาอะไร ค่อมไม่รู้จักพวกนั้นสักคน ตั้งแต่มาอยู่นี่ค่อมก็ไม่เคยมีปัญหากับใครมาก่อน แถมยังตั้งใจทำงานตลอด อู้งาน ขอพักงานสักวันยังไม่เคยมี”

            “นั้นสิ ค่อมอาจจะเข้าใจผิดก็ได้” เจ้างูเขียวช่วยพูด แล้วก็เอาหางม้วนเอาสมุนไพรต้นนั้นขึ้นมาดู “ข้าว่าใบสามแฉกนี่ดูๆไปก็คล้ายกับใบต้นโม่งนะ ข้าว่าค่อมอาจจะสับสนกับใบต้นโม่งก็ได้”

            “สับสนงั้นหรือ” อำพันทวนคำ หันไปมองค่อมอย่างไม่เชื่อ “เจ้าสับสนจริงๆหรือค่อม”

            “ข้า…”ค่อมพูดได้แค่นั้น แล้วก็พยักหน้า

            อำพันมองมาทางค่อมอย่างไม่อยากเชื่อ เธอนิ่งไปหลายอึดใจ ก่อนสูดหายใจลึกๆแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “จริงหรือ เจ้าสับสนแม้กระทั่งการแยกพืชง่ายๆขนาดนี้หรือค่อม ข้าเคยเชื่อว่าเจ้ามีพรสวรรค์เรื่องการรักษาและปรุงยามาก่อน แต่ถ้าเจ้ายืนยันว่าสับสนจริงๆดังเจ้าว่า ข้าคงต้องขอคิดใหม่แล้วละ ถ้าเจ้าสับสนขนาดนี้ ข้าว่างานปรุงยาเก็บสมุนไพรอาจไม่เหมาะกับเจ้านะ เจ้าน่าจะไปทำงานอื่นๆแทนดีกว่า”

            “อำพัน” เจ้างูส่ายหน้า “ใจเย็นน่า ใครก็ผิดพลาดกันได้รึเปล่า ผิดพลาดเล็กน้อยแค่นี้เจ้าถึงขั้นจะไล่ค่อมออกเลยรึ แล้วถ้าค่อมออกไปทำงานอื่นจริง ใครจะช่วยเจ้า”

            “ผิดพลาดแค่นี้รึ” อำพันทวนคำเสียงสูง “ถ้าข้ารู้ช้ากว่านี้อีกนิด เจ้าสี่ตัวนั้นคงกลายเป็นปุ๋ยไปแล้ว แล้วที่สำคัญถ้ามีคนที่มาช่วยทำงานแบบนี้ ข้าทำเองคนเดียวยังจะดีกว่า”

            ค่อมก้มหน้านิ่ง ไม่ตอบไม่เถียง กัณหาได้แต่มองเขาอย่ารู้สึกผิดและรู้สึกเสียใจแทนค่อมมาก เพราะเธอเคยได้ยินจากผีพรายว่าค่อมอยากเรียนรู้เรื่องสมุนไพรและการปรุงยามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงอดทนทำงานสารพัดให้กับอำพัน ทั้งที่ถูกด่าว่ามากมาย เพื่อเรียนรู้สิ่งเหล่านี้

            อำพันสูดหายใจลึกๆอีกทีก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ต่อไปนี้ เจ้าไม่ต้องเข้ามาช่วยข้าปรุงยาอีกต่อไปแล้ว เจ้าอยู่ทำงานเก็บกวาด ซักล้างของเจ้าไปเถิด”

            “อำพัน!!!” เจ้างูกับผีพรายอุทานขึ้นพร้อมกัน 

            อำพันหมุนตัวกลับมายกหม้อยาออกไป โดยไม่เหลียวหลังมามองค่อมหรือคนอื่นๆอีกเลย