หลังทานอาหารเสร็จกัณหาก็เดินตามเจ้าผีพรายมาที่เรือนพยาบาลผู้ป่วยที่อยู่ที่เรือนไม้ไผ่หลังยาวที่อยู่แถวชายป่า ภายในเป็นห้องโล่งๆยาวๆ มีเตียงมากมาย แต่ละเตียงถูกกั้นจากกันด้วยผ้าม่านผืนใหญ่ มีหลายเตียงที่มีผ้าม่านบังอยู่จนไม่เห็นเตียง

          “นั่นอำพัน พยาบาลคนสวยของเรา” เจ้าผีพรายชี้ไปทางหญิงสาวร่างสูงคนหนึ่งที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่หลังโต๊ะไม้ไผ่อันใหญ่ที่สุดปลายห้องโถง “อย่าไปถามจู้จี้จุกจิกกับนางมากนะ อาจจะโดนไล่ออกไปจากที่นี่ได้”

           กัณหาชะงัก เงยหน้าขึ้นมองเจ้าผีพรายที่ยักคิ้วอย่างอารมณ์ดี นึกสงสัยว่านี่พูดเล่นหรือพูดจริง เจ้าผีพรายพยักพเยิดให้เธอเดินตามไปจนถึงปลายสุดห้องโถงที่ที่อำพันกำลังสาละวนกับการเทของเหลวบางอย่างลงในถ้วยใบเล็กๆ

           อำพันเป็นหญิงวัยกลางคนร่างสูง ผมสีดำของหล่อนถูกรวบตึงไว้เป็นมวยด้านหลัง หล่อนก็นุ่งโจงกระเบนและห่มสไบสีขาวเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่นี่ สิ่งที่แตกต่างออกไปคือผ้ากันเปื้อนสีขาวที่ผูกไว้ที่เอว และใบหน้าเคร่งเครียดกว่าใคร

           “อำพัน นี่กัณหา เด็กที่มากับพ่อช่วง” ผีพรายผายมือมาทางกัณหา อำพันไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองเธอเลยสักนิด “เขาอยากมาเยี่ยมเพื่อนๆของเขาว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง”

           “อาการก็ดีขึ้นนะ” อำพันตอบทันที ยังคงเทแบ่งของเหลวสีฟ้าสดใสเหมือนยาพิษลงไปในถ้วยใบเล็กๆอีกใบ 

           “แล้วเพื่อนๆเขาอยู่ไหนละ” เจ้าผีพรายชำเลืองมองไปเตียงใกล้เคียง “จะได้ให้เขาเจอเพื่อนหน่อย”

           “ไม่มีประโยชน์ที่จะมาเยี่ยมคนที่ต้องอาคม” อำพันว่า ในที่สุดหล่อนก็เงยหน้ามามองที่กัณหา ดูมีท่าทีหงุดหงิด “จะมาเยี่ยมรบกวนผู้ป่วยทำไม”

          “แหมๆ เขาก็เป็นห่วงเพื่อนเขา ให้เห็นหน้าเห็นตาว่าปลอดภัยก็ยังดี ใจคอเจ้าจะให้เขาวิตกกังวลถึงเพื่อนๆอยู่นอกเรือนไปตลอดรึ”

           อำพันดูหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็เดินออกมาจากหลังโต๊ะไม้ไผ่ ถือถ้วยใบเล็กๆที่ใส่ของเหลวสีฟ้ามาด้วย เธอเดินไปที่เตียงที่มีม่านบังที่ใกล้ที่สุดแล้วเปิดม่านออก

           แหวนนอนอยู่บนเตียงนั่น ร่างหล่อนถูกห่อด้วยผ้าสีขาว มีเพียงใบหน้าโผล่ออกมา ดวงตาจับจ้องที่เพดานห้องเพียงอย่างเดียว แต่แววตาของเธอดูมองอย่างมีจุดหมายมากกว่าตอนที่อยู่ในทะเลอาคม เมื่ออำพันก้าวเข้าไปใกล้ ดวงตาคู่นั้นก็เหลือบมองมาทางอำพัน 

          “ถึงเวลากินยาแล้ว” อำพันบอกแหวน เธอโบกมือเพียงเล็กน้อย ร่างของแหวนก็ค่อยๆลุกนั่งขึ้นทั้งๆที่ยังห่อด้วยผ้าสีขาวอยู่ราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นพยุงร่างแหวนให้ลุกนั่งขึ้นมา อำพันค่อยๆขยับไปนั่งหลังแหวนและค่อยๆป้อนของเหลวสีฟ้าสดใสให้เธอกิน แหวนมองมาทางผีพรายและกัณหาอย่างสนใจสักพัก ก่อนหันไปมองทางอื่น

          “พวกเขาขยับตัวไม่ได้เลยหรือ” กัณหารู้สึกใจคอไม่ดีที่เห็นสภาพแหวน

         “ขยับได้ ถ้าปล่อยผ้าที่หุ้มอยู่นี่ก็เตะเจ้าได้ละ” อำพันบอก เทของเหลวใส่ปากแหวนจนหมด “แต่ยังไม่ค่อยมีสติเท่าใด ยังร้องโวยวายเป็นบางครั้ง ต้องใช้เวลาอีกสักพักจึงจะกลับมามีสติเหมือนเดิม

           “อีกนานแค่ไหนกัน ท่าน” 

           “ก็สักสองสามเดือนเป็นอย่างน้อย แต่อาจจะนานกว่านั้นอีกได้ แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน”อำพันตอบก่อนค่อยๆวางร่างแหวนลงบนเตียงอย่างเบามือ 

          “น่ากลัวมาก“ กัณหาพึมพำ 

          “ถ้าเจ้าออกเดินทางจริงๆเจ้าอาจจะเจออาคมที่แปลกประหลาดและรุนแรงมากกว่านี้อีก” ผีพรายบอก “ข้าถึงบอกว่าเจ้าควรขอให้อาจารย์สอนอาคมให้เจ้า ถ้าตั้งใจจะเดินทางจริงๆ

          “ท่านไม่สอนให้หรอก” อำพันลุกขึ้นยืนและมองมาที่กัณหาอย่างพินิจพิเคราะห์ “ถ้าท่านจะสอนให้ ท่านคงบอกเจ้าตั้งแต่แรกเจอแล้ว”

          “แต่นางมีอาคมนะ ท่านอาจารย์จะไม่สอนรึ คนมีพรสวรรค์ขนาดนี้” ผีพรายเถียงอย่างไม่พอใจ “ข้าว่าเผลอๆถ้านางเรียนอาคมจริง อาจเป็นก่อนพวกที่มานั่งๆนอนๆทำสมาธินี้ก็ได้”

           “ก็ลองถามดู” อำพันบอกอย่างไม่ใส่ใจ และเดินไปกำลังจะเปิดม่านอีกเตียง 

          “เจ้านี่มัน ไม่เคยคิดจะช่วยเหลือใครเลยรึไง” เจ้าผีพรายมองอำพันอย่างไม่ค่อยพอใจ “เจ้าก็รู้ว่าท่านอาจารย์ฟังความข้างเจ้ามากนัก ถ้าเจ้าบอกท่านว่านางมีพรสวรรค์ ท่านอาจารย์ก็จะฟังเจ้า”

          “แล้วทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น” อีกฝ่ายหันหน้ามาเผชิญหน้ากับผีพราย สีหน้าดูเอาเรื่อง “แค่ฝ่าทะเลอาคมเข้ามาได้รึ สำหรับข้า นั่นเรียกว่ารนหาที่ตายมากกว่า บุญเท่าไหร่แล้ว ที่ไม่กลายเป็นผีบ้าตามพวกนี้ไปด้วย”

           “เจ้ารู้รึเปล่าว่านางมาที่นี่ทำไม นางออกจากบ้านเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่เพื่อขอคำแนะนำในการออกตามหาน้ำอมฤทธิ์ เพื่อมาชุบชีวิตแม่นมของนาง คิดดูสิ ขนาดท่านอาจารย์บอกว่าถ้านางอยากเจอน้ำนั่นนางอาจต้องเดินทางพันโยชน์ แต่นางก็ยืนยันจะทำเพื่อหาน้ำอมฤทธิ์ให้เจอ เมื่อเจ้าได้ยินดังนี้แล้ว เจ้าก็ควรช่วยนาง อย่างน้อยสุดก็ให้มีวิชาเอาตัวรอดจากเส้นทางอันตรายที่นางอาจเจอในภายภาคหน้าหรือเปล่า”

            อำพันชำเลืองมามองเด็กหญิงแวบหนึ่ง แล้วก็หัวเราะเบาๆที่ฟังดูเหมือนเย้ยหยันมากกว่า

            “จะบอกว่ามีความมุ่งมั่นในการตามหาน้ำอมฤตงั้นรึ” รอยยิ้มมุมปากหล่อนกว้างขึ้น “ก็ได้ ถ้าข้าไม่ช่วยก็ดูจะแล้งน้ำใจไปใช่ไหม แต่ว่าคำปากคนจะพูดอะไรก็พูดได้ ถ้าเจ้าพิสูจน์ได้ว่ามีความอดทนมุ่งมั่นจริง ข้าอาจจะช่วยขอร้องท่านอาจารย์ให้ก็ได้”

           “แล้วจะพิสูจน์ยังไงละ” ผีพรายหงุดหงิด “จะให้เดินทางให้ครบพันโยชน์ก่อนรึไง”

           “ก็ถ้าเด็กของเจ้าทำงานรับใช้ในเรือนพยาบาลนี้ได้จนเป็นที่พอใจของข้าละก็ ข้าจะช่วยพูดให้”