ข่าวดีของพวกเขาเรื่องการจับกุมเฉิงอี้ได้นั้นคงอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อกัณหา แหวน บารัตและจี้ดกลับมาถึงอารามซิงเซิงในตอนเช้า พวกเขาก็ต้องพบกับข่าวร้าย เมื่อช่วงกับอาติมาแจ้งข่าวว่า แสน ฉิมและซีห่าวหลบหนีไปได้ โดยช่วงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาใช้วิธีไหนหรือหนีไปเมื่อใด เพราะเมื่อตื่นเช้ามาก็พบกับห้องที่ว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรแล้ว แหวนดูหงุดหงิดใจเมื่อทราบเรื่องนี้ เธอบ่นว่ากว่าจะจับได้ก็ลำบาก แต่สำหรับกัณหาเธอมองว่า การที่ช่วงและอาติปลอดภัย ไม่ถูกทำร้ายเหมือนคราวที่ทั้งสามคนเข้ามาชิงต้นหยกมังกรก็ถือว่าดีแล้ว ส่วนเจ้าสามคนนั้นอยากจะหนีไปแล้วตามขโมยคัมภีร์ต้าจินหลงต่อไปก็ช่างมันเถิด

“ข้าว่าต่อไปจะอันตรายนะสิ” แหวนแย้งทันที “เราหลอกพวกนั้นมาติดกับ แถมขโมยต้นหยกมังกรที่พวกเขาอยากได้ไป คิดหรือว่าพวกมันจะไม่แค้น”

“เอาเถอะ อีกประเดี๋ยว เราก็จะออกไปจากต้าชิงแล้วล่ะ” กัณหาปลอบ “พวกนั้นคงตามหาไม่เจอหรอก”

“แล้วท่านไม่ต้องไปเรียนกับเจ้าสำนักโม่ฝ่าช่านแล้วหรือ” บารัตสงสัย

“เรียนอะไรหรือ” อาติหันมาถามกัณหา

กัณหาเล่าเรื่องต้นหยกมังกรและความหมายโดยนัยของมันให้อาติกับช่วงฟัง ทั้งอาติและช่วงก็เห็นอย่างเดียวกับบารัตและแหวนว่ากัณหาน่าจะอยู่ที่นี่ก่อน เผื่อจะได้เรียนกับอาจารย์จางหมิ่นตามที่ท่านอาจารย์จวงต้องการ

“แล้วการเดินทางของเราล่ะ” กัณหายังไม่ยอมง่ายๆ นัก

“ยังไงอาติก็ยังต้องรักษากับหมอหยูอยู่ หมอหยูบอกว่าเขายังต้องกินยาและพักรักษาตัวอีกสักพักถึงจะออกเดินทางได้ ระหว่างนี้ท่านก็ไปเรียนอาคมกับเจ้าสำนักโม่ฝ่าช่านเถอะ”

“งั้นเหรอ” กัณหาถอนใจ นึกแล้วว่าเธอคงไม่ได้ไปจากต้าชิงง่ายๆ

 

หลังจากจับเฉิงอี้ได้ กัณหาและเพื่อนๆ ได้รับอนุญาตให้กลับมาพักที่เรือนพักรับรองแขกของสำนักโม่ฝ่าช่านอีกครั้ง หมอหยูเองก็ได้กลับมาอยู่ในสำนักโม่ฝ่าช่านเช่นกัน เขาแวะมาหาและมาตรวจอาการของอาติแทบทุกวัน ซิงอีได้รับมอบหมายจากอาจารย์จางหมิ่นให้ช่วยเป็นคู่ฝึกของกัณหาในระหว่างฝึกพลังลมปราณที่นี่ ส่วนเฉิงอี้และศิษย์อีกสองคนนั้น ได้ยินว่าถูกลงโทษจากสำนัก แต่ลงโทษอย่างไรกัณหาไม่อาจทราบได้ เพราะซิงอีบอกว่าเป็นเรื่องภายในของสำนัก ไม่อาจบอกพวกเขาได้

“ทีตอนมาขอให้เราช่วย ไม่เห็นบอกว่าเป็นเรื่องภายใน” แหวนบ่นเมื่อได้ยินคำตอบของซิงอี กัณหาและช่วงรีบเหยียบเท้าของแหวนไว้คนละข้าง

ในระหว่างที่รอการฟื้นตัวของอาติ กัณหาไปเรียนการใช้พลังลมปราณกับอาจารย์จางหมิ่นในช่วงเช้าและไปฝึกกับซิงอีต่อในช่วงบ่ายที่ลานฝึก ตอนนี้กัณหาเริ่มใช้พลังลมปราณได้คล่องขึ้น เธอสามารถต่อสู้พื้นฐานโดยใช้ลมปราณได้ สกัดจุดเพื่อให้ศัตรูอยู่นิ่งนานพอที่จะหลบหนี และเหาะได้คล่องขึ้นมาก

หลังจากผ่านไปราวสี่สัปดาห์ อาการของอาติก็หายดี เขาลุกวิ่งไปวิ่งมาได้คล่องแคล่วเหมือนเดิม ในที่สุดหมอหยูก็อนุญาตให้เขาใช้อาคมได้ วันนี้อาติจึงมาฝึกใช้อาคมที่ลานฝึกของกัณหา กัณหานั่งดูเขาฝึกสักพัก เธอยังรู้สึกว่าอาติยังใช้อาคมได้ไม่คล่องเท่าเมื่อก่อน

“เป็นอย่างไรบ้าง” กัณหาถามเขาหลังจากเฝ้าดูการฝึกอาคมของเขา

“ยังขัดๆ นิดหน่อย” อาตติยิ้ม ลองพยายามใช้อาคมยกหิน “หมอหยูบอกว่าอาจเป็นแบบนี้บ้างช่วงแรกๆ แต่ถ้าฝึกบ่อยๆ อาการแบบนี้จะหายไปเอง”

“เมื่อเช้าฉันได้ยินว่าหมอหยูให้เธอหยุดกินยาแล้ว”

“ใช่ หมอหยูบอกกับข้าเมื่อเช้าว่า หายดีแล้ว เหลือแค่ฟื้นฟูกำลังและฝึกอาคมให้กลับมาใช้คล่องเหมือนเดิม

“งั้นก็ถึงเวลาที่เราต้องออกเดินทางแล้วสินะ” กัณหาเอ่ยขึ้นมาอย่างดีใจ

“ก็น่าจะใช่” อาติพูดไปด้วยเสกอาคมไปด้วย สักพักเศษกิ่งไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นเริ่มลุกขึ้นมาเต้นระบำราวกับมีชีวิต

“มนต์ดี” เสียงของท่านอาจารย์จางหมิ่นดังขึ้น เขาเดินก้าวยาวๆ ข้ามลานฝึกมาหาพวกเขา “แข็งแรงขึ้นแล้วรึ”

“ขอรับ” อาติโค้งให้อาจารย์จางหมิ่น

“ท่านอาจารย์” กัณหาเอ่ยทักทายตามมารยาท “มาทำอะไรหรือเจ้าค่ะ”

“ข้ากำลังจะขึ้นไปยังหอสูง พวกเจ้าไปด้วยกันสิ” ท่านพูดและเดินก้าวยาวๆ จากไป กัณหากับอาติมองหน้ากันและตามไปอย่างงุนงง

ท่านอาจารย์เดินมาถึงริมสระที่ข้างลานฝึก กลางสระนั้นมีอาคารสีแดงทรงเจดีย์แบบต้าชิงสูงหลายชั้นตั้งอยู่ตรงกลาง อาคารนั้นถูกล้อมรอบด้วยสระทุกด้าน ไม่มีทางเข้าไป กัณหาเคยถามซิงอีว่าเป็นอาคารที่ใช้ทำอะไร ทำไมถึงดูสวยงามแปลกตากว่าอาคารอื่นๆ ในสำนัก ซิงอีได้บอกว่าเป็นที่ต้องห้ามแล้วก็ไม่พูดถึงอาคารนี้อีกเลย

“ท่านจะเข้าไปที่นั่นหรือเจ้าค่ะ” กัณหาถามเมื่อเห็นอาจารย์จางหมิ่นหยุดอยู่ริมขอบสระมองดูอาคารนั้น แต่จะเข้าไปได้อย่างไรเจ้าค่ะ มันไม่มีทางเข้า”

“นั่นคือหอสูง สถานที่เก็บรวบรวมคัมภีร์โบราณ ขุมทรัพย์อันมีค่าของสำนักเรา” อาจารย์จางหมิ่นยิ้ม “อย่างที่เจ้าบอก มันไม่มีทางเข้า หนทางเดียวที่จะเข้าไปได้คือ เหาะไป”

“โอ้วว” อาติอุทาน “เท่ชะมัด ท่านอาจารย์ แต่ข้าเหาะไม่ได้”

“ไม่ต้องห่วง ข้าช่วยเจ้าได้” ท่านตอบอย่างอ่อนโยน “ส่วนเจ้ากัณหา เหาะตามข้ามาล่ะ”

กัณหากับอาติมองหน้ากันอีกครั้ง กัณหาเอ่ยช้าๆ อย่างระมัดระวังคำพูดขึ้นมาว่า “สถานที่แบบนั้น ข้ากับอาติที่เป็นคนนอกสำนัก สามารถเข้าไปได้รึเจ้าค่ะ จะเหมาะสมหรือ”

“ได้สิ ในอดีต เราเคยใช้หอสูงเป็นสถานที่ต้อนรับแขกมากมายจากทุกสารทิศที่มาที่นี่เพื่อศึกษาคัมภีร์ต้าจินหลง” ท่านอาจารย์ตอบก่อนใช้พลังลมปราณช่วยยกร่างอาติลอยขึ้นฟ้าไปโดยไม่ทันตั้งตัว อาติร้องตกใจเสียงหลง กัณหาเองก็ยืนอึ้งอยู่สักพักก่อนจะใช้พลังลมปราณเหาะตามไป

พวกเขาร่อนลงบนระเบียงพื้นกระเบื้องที่ชั้นล่างสุดของหอสูง รอบๆ ข้างเงียบสงบ ไม่มีแม้แต่เสียงนกหรือเสียงลม น้ำในสระที่อยู่รอบๆ หอส่องประกายล้อแดด ผิวหน้าน้ำนิ่งเรียบไม่มีคลื่นแม้แต่นิดเดียว

“ตามมาสิ” อาจารย์จางหมิ่นเอ่ยก่อนเดินนำไปที่ประตูทางเข้าที่ปิดไว้ อาจารย์วางมือทาบบนประตูสักพัก ประตูก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบ ภายในเป็นห้องมืดๆ แต่เมื่อพวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ภายในห้องก็สว่างขึ้นมาทันที ราวกับมีคนจำนวนมากจุดคบไฟที่อยู่บนเสาทุกต้นพร้อมกันในทุกชั้น ห้องชั้นแรกที่พวกเขาเข้าไปเป็นห้องว่างๆ ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย มีเพียงเสาสีแดงหลายต้นกับผนังล้อมรอบเท่านั้น เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน กัณหาก็ต้องทึ่งกับความงดงามของหอแห่งนี้ จากจุดที่เธอยืนอยู่สามารถมองทะลุขึ้นไปจนเห็นถึงชั้นด้านบนได้ ทุกชั้นล้วนจุดไฟสว่างไสว

“งดงามมากขอรับ” อาติเองก็อดทึ่งไม่ได้ด้วยเช่นกัน สายตาเขายังคงมองขึ้นไปยังเพดานด้านบน

“หอแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเก็บสมบัติอันล้ำค่าที่สุดของสำนักเรา นั่นก็คือ คัมภีร์ต้าจินหลง” ท่านอาจารย์กล่าว เขาผายมือไปที่เสาเหล่านั้น ในฉับพลันตัวอักษรต้าชิงสีทองจำนวนมากปรากฏขึ้นบนเสาสีแดงทุกต้นตั้งแต่ชั้นล่างขึ้นไปจนถึงชั้นบน ตัวอักษรเหล่านั้นต้องแสงเป็นประกายระยิบระยับสวยงาม

“โอ้ววว” กัณหากับอาติอุทานพร้อมกัน ไม่อยากเชื่อว่าจะมีสถานที่สวยงามเช่นนี้อยู่

“แล้วท่านมาบอกพวกเราทำไมเจ้าค่ะ” กัณหาแปลกใจ สิ่งที่เธอข้องใจมากกว่าที่อยู่ของคัมภีร์เสียอีก เพราะขนาดศิษย์ในสำนักอย่างเฉิงอี้ หมอหยู ท่านอาจารย์จางหมิ่นยังไม่บอกเลย จนทำให้พวกเขาเข้าใจผิดว่าคัมภีร์อยู่ที่อาจารย์จวง

“ข้าได้ยินเรื่องราวที่เจ้าทำเพื่อพยายามปกป้องมันจากน้ำมือของคนชั่ว หากเจ้ายอมเอาชีวิตเข้ามาเสี่ยงเพื่อจะปกป้องมัน โดยไม่แม้แต่จะคิดครอบครองมัน ข้าก็อยากให้พวกเจ้าได้เข้าใจคัมภีร์ต้าจินหลงอย่างถ่องแท้ เจ้าจะได้รู้ว่าตนเองกำลังเผชิญอยู่กับอะไร และจะเจอเรื่องใดต่อในอนาคต” ท่านตอบอย่างสงบ และส่งยิ้มให้กับทั้งสองที่มองหน้ากันอย่างตื่นๆ “คัมภีร์ต้าจินหลง เป็นคัมภีร์โบราณ กำเนิดเกิดขึ้นเมื่อใดไม่มีใครรู้ มันเป็นคัมภีร์ที่เกิดจากการเขียนต่อๆ กันมานานนับศตวรรษ มีการคัดลอก ส่งต่อ ถ่ายทอดมาหลายครั้งนับไม่ถ้วน เป็นคัมภีร์ที่ทำให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงกันไม่จบสิ้น บางดินแดนถึงขั้นมีการทำสงครามกันจนคนล้มตายทั้งเมืองก็เคยมี เจ้าจะได้ยินเรื่องนี้ไปทั่วทุกแห่งที่คัมภีร์นี้เดินทางผ่านไป มันเป็นตำนานที่สร้างความเจ็บปวดมานานนับศตวรรษ”

“แต่ถ้าคัมภีร์จริงคือตัวหนังสือในหอสูง แล้วสิ่งที่พวกเขาแย่งชิงกันคืออะไรล่ะขอรับ” อาติดูงุนงง “คัมภีร์ปลอมหรือ”

อาจารย์จางหมิ่นหัวเราะชอบใจ เสียงของท่านก้องสะท้อนไปทั่วทั้งหอสูง

“ก็อย่างที่ข้าบอกว่าคัมภีร์นี้มีการถ่ายทอดกันมานานนับเป็นศตวรรษ เราไม่รู้หรอกว่ามีการคัดลอกคัมภีร์นี้ออกไปมากน้อยแค่ไหน คัมภีร์ที่อาจารย์เจ้ามีอาจเป็นหนึ่งในนั้น ของที่สำนักโม่ฝ่าช่านได้มาก็คงไม่ต่างกัน แต่การคัดลอกต่อๆ กันย่อมเกิดความผิดเพี้ยนได้ ท่านอาจารย์ของข้าจึงให้มีการจารึกคัมภีร์นี้ไว้ในสิ่งที่คงทนไม่บุบสลายง่าย ท่านสร้างหอนี้ขึ้นมาเพื่อบันทึกคัมภีร์นี้ไว้ ให้เป็นหลักประกันว่า ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ข้อความในคัมภีร์ก็จะไม่เปลี่ยน”

“แสดงว่ามีการคัดลอกคัมภีร์ออกเป็นหลายเล่ม คัมภีร์ต้าจินหลงไม่ได้มีเพียงเล่มเดียว”

“เจ้าคงไม่คาดหวังว่า บันทึกที่เขียนต่อๆ กันมาเป็นร้อยๆ ปี จะมีเพียงเล่มเดียวหรอกจริงไหม” อาจารย์จางหมิ่นตาเป็นประกาย “แต่ละที่ แต่ละสำนักก็คัดลอกกันในรูปแบบที่แตกต่างกัน บางสำนักก็ตั้งชื่อใหม่ให้เสียด้วย แต่โดยรวมข้าว่าเนื้อหาในคัมภีร์คงไม่ต่างกันมากนัก”

“แล้วถ้ามันมีหลายเล่มจริง ทำไมต้องแย่งชิงกันขนาดนั้นด้วยเล่าขอรับ” อาติยังข้องใจ “ทุกคนพูดเหมือนมันมีเล่มเดียว ต้องตามหาให้เจอ”

อาจารย์จางหมิ่นยิ้มให้กับทั้งคู่