แสงดาวส่องสว่างท่ามกลางคืนเดือนมืด แสงไฟจากโคมของคณะลูกศิษย์สำนักโม่ฝ่าช่านส่องต้องกระทบกำแพงของโรงเตี๊ยมร้างในย่านถนนชิงซือ เสียงเพลงของจี้ดยังดังเล็ดลอดออกมาจากภายในโรงแรม ทำให้บรรดาลูกศิษย์ที่ตามมาเริ่มนิ่งงันราวกับตกอยู่ในภวังค์ คงจะมีก็แต่อาจารย์จางหมิ่นที่ยังมีแววตาที่สงบและซิงอีผู้เดินตามมาข้างๆ ที่มีแววตาหวั่นวิตก

“จี้ด” กัณหาร้องเรียก แล้วสักพักเธอก็สัมผัสได้ว่าห้วงภวังค์ดังกล่าวได้สิ้นสุดไป

“มันคือมนต์ใดกัน” ท่านอาจารย์จางหมิ่นเอ่ยขึ้นเมื่อเสียงเพลงเงียบไป “ไพเราะราวกับไม่ได้มาจากโลกมนุษย์”

“เอ่อ… เรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” กัณหารีบแทรกขึ้นมาก่อนเพราะขี้เกียจตอบคำถามเรื่องจี้ด

อาจารย์จางหมิ่น ซิงอี และกัณหาเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม เหล่าบรรดาลูกศิษย์ที่เดินตามมาดูเหมือนจะเริ่มฟื้นจากภวังค์ พวกเขางุนงงเล็กน้อย และค่อยๆ เดินตามเข้ามาในเขตโรงเตี๊ยม

ภายในโรงเตี๊ยมที่เงียบสงบ ชายสี่คนนอนฟุบอยู่ที่พื้นโรงเตี๊ยมคนละมุม กัณหามองขึ้นไปที่ชั้นสอง เธอไม่เห็นใคร แต่คาดว่าบารัตกับจี้ดคงจะซ่อนอยู่บนนั้น

อาจารย์จางหมิ่นมองไปยังคนทั้งสี่ที่ฟุบอยู่กับพื้น แล้วมองไปรอบๆ กัณหาเชื่อว่าเขามองหาต้นตอของสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์นี้ ในระหว่างนั้นเอง ชายทั้งสี่คนเริ่มขยับตัวลุกขึ้น และมองไปรอบๆ อย่างงุนงง ราวกับคนเพิ่งตื่นนอน

“ท่านอาจารย์” เฉิงอี้สะดุ้งเมื่อสายตาเขามาสะดุดที่ชายชราเบื้องหน้า เขารีบลุกขึ้นอย่างว่องไว แล้วมาคุกเข่าเบื้องหน้าอาจารย์ ไกลออกไปหมอหยูและชายอีกสองคนก็สะดุ้งเช่นกัน ทั้งหมดลุกขึ้นและโค้งทำความเคารพอาจารย์

“ท่านอาจารย์” หมอหยูพูดเสียงเบาอยู่ในลำคอ ฟังดูคล้ายเสียงสะอื้น

“วันนี้เป็นวันมงคลของสำนักของเรา ควรรึที่พวกเจ้าจะต่อสู้กัน” ท่านเอ่ยด้วยเสียงสงบนิ่งที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ “พวกเจ้าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักกัน กินนอนด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ควรรึที่จะมาฆ่ากันตายในสถานที่แห่งนี้ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก”

“ท่านอาจารย์ ข้ามาที่นี่เพื่อตักเตือนศิษย์พี่ที่ขัดคำสั่งของท่านอาจารย์” เฉิงอี้รีบพูดใส่ไฟทันที เขาเงยหน้าขึ้นเจรจา “ท่านอาจารย์ให้อภัยในความผิดของเขา ให้โอกาสเขากลับตัว กำชับหนักหนาให้เขาเนรเทศตนเอง ห้ามเข้ามาเหยียบเมืองเถียนอันอีก แต่เขาก็ยังฝ่าฝืนคำสั่ง”

“ข้าเป็นคนบังคับให้ศิษย์พี่มาเอง ท่านอาจารย์” ซิงอีรีบลงไปคุกเข่าข้างเฉิงอี้ “เพราะต้องการจับกุมศิษย์พี่เฉิงอี้ในความผิดที่เขาก่อไว้ ตัวข้าไม่มีวรยุทธมากพอ จึงขอร้องแกมบังคับให้ศิษย์พี่จางเหว่ยเดินทางมาช่วยข้า การที่ศิษย์พี่เข้ามาในเมืองนี้เป็นความผิดของข้าทั้งหมด ท่านอาจารย์”

“เจ้ายังมีหน้ามาพูดกับท่านอาจารย์อีกรึ ซิงอี” เฉิงอี้หันขวับมาหาต่อว่านางทันที “เจ้าสมคบกับศิษย์พี่ ลักลอบขโมยของขวัญจากท่านอาจารย์แห่งเสียนหลัวที่อุตส่าห์ส่งมาให้ท่านอาจารย์ แล้วยังมีหน้ามาใส่ร้ายข้าอีกเรอะ เจ้านี่มันชั่วช้าสามานย์ เห็นทีคงต้องถูกสวรรค์ลงโทษในสักวัน”

“พอเถอะ” อาจารย์จางหมิ่นขัดขึ้น ซิงอีที่อ้าปากกำลังจะเถียงจึงหุบปากลง “พวกเจ้าเป็นศิษย์ร่วมสำนักกัน ทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงคัมภีร์กัน ถือว่าน่าอายยิ่งนัก มันบ่งชัดว่าข้าเองที่บกพร่อง อบรมพวกเจ้ามาไม่ดีพอ”

เฉิงอี้ชะงักไป ซิงอีอ้าปากจะพูดแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ

“ข้าได้ยินเรื่องที่เจ้าพูดคุยกับจางเหว่ยเมื่อครู่หมดแล้ว” อาจารย์จางหมิ่นพูดขึ้นช้าๆ ลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่เบื้องหลังเขาพากันมองมาที่เฉิงอี้อย่างไม่พอใจเช่นกัน

“ได้ยิน?” เฉิงอี้ดูงุนงง มองไปรอบๆ ด้วยคำถาม

“ใช่ ศิษย์พี่ พวกเราได้ยินเรื่องท่านคุยกับศิษย์พี่จางเหว่ยดังจากตัวสิงโตเชิดที่แสดงคืนนี้” ชายเสียงแหบกล่าวขึ้น

เฉิงอี้ชะงัก ดวงหน้าเขาเต็มไปด้วยคำถาม

พวกนั้นได้ยินได้ไง? ก็เขาคุยกับจางเหว่ยที่นี่!

“มนต์วิเศษจากศิษย์อาจารย์แห่งเสียนหลัว” ซิงอียิ้มกว้างตอบใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเฉิงอี้ “กัณหาเสกมนต์ลงไปในตัวสิงโตเชิดให้มันขยายเสียงที่ท่านคุยกันในโรงเตี๊ยมกับศิษย์พี่ ให้มันดังออกมาจากตัวสิงโตเชิด สิ่งที่ท่านคุยกันนั้นได้ยินดังไปทั่วทั้งลานแสดง ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าท่านเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก!!!”

“เจ้า!!!” เฉิงอี้โกรธจัดขึ้นมา หันไปชี้หน้าด่าซิงอี “เจ้าร่วมกับจางเหว่ยจัดฉากเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อหาทางกำจัดข้าออกจากสำนักใช่ไหม เจ้าคงอยากเอาจางเหว่ยมาเป็นหัวหน้าสำนักแทนท่านอาจารย์ละสิ”

“ถึงนางจะจัดฉากอย่างไร ก็คงไม่อาจเปลี่ยนคำพูดที่ออกจากปากเจ้าได้หรอก ศิษย์ข้า” อาจารย์จางหมิ่นเอ่ยขึ้น ใบหน้าของท่านดูเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม ถัดไปด้านหลังลูกศิษย์หลายคนพยักหน้าตาม “คำพูดของเจ้ามันบอกชัดว่าเจ้าคิดเห็นอย่างไร ต่อสำนักของเราและศิษย์ร่วมสำนัก”

“ท่านอาจารย์ ข้าถูกใส่ร้าย” เฉิงอี้รีบลนลานไปกอดเข่าอาจารย์จางหมิ่น “ข้าถูกนางหลอกลวง ท่านอาจารย์ ท่านกำลังติดกับดักของนาง!!!”

“หลักฐานเห็นอยู่ทนโท่ขนาดนี้แล้ว ท่านยังมีหน้ามาโทษผู้อื่นอีกหรือศิษย์พี่” ซิงอีส่ายหน้า “คนอย่างท่านไม่สมควรเป็นศิษย์สำนักโม่ฝ่าช่านเสียด้วยซ้ำ”

“ข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนมีฝีมือ ฝึกฝนปราณและวรยุทธมา ย่อมอยากเก่งเหนือใครๆ” อาจารย์จางหมิ่นถอนใจ “เสียงเล่าลือเรื่องคัมภีร์สูงส่งที่ใครได้ครอบครองจะเป็นใหญ่ในใต้หล้าก็ย่อมจะดึงดูดความสนใจเป็นธรรมดา เพราะคนเราล้วนอยากเจริญก้าวหน้า อยากเป็นใหญ่เป็นโตกันทุกคน แต่หากวิธีที่เจ้าได้มันมาไม่บริสุทธิ์ เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะได้ครอบครองมันตลอดไป เจ้าฆ่าคนเพื่อให้ได้มันมา สักวันเจ้าก็จะถูกฆ่าเพื่อชิงมันไปจากเจ้าเช่นกัน หากวิธีที่ได้มันมาต้องทำลายคนรอบข้างที่รักและเป็นห่วงเจ้า ต่อให้เจ้าได้คัมภีร์มาจริง แต่ไม่เหลือใครสักคนที่อยู่รอชื่นชมความสำเร็จของเจ้า มันจะมีประโยชน์อย่างไรรึ ศิษย์ข้า”

“ท่านโทษข้าว่าละโมบโลภมากหรือท่านอาจารย์” เฉิงอี้หายใจติดขัด กำหมัดแน่น ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโมโหโทโสที่ยากจะควบคุม “ทั้งหมดเป็นเพราะท่านนั่นแหละ ข้าฝึกฝนตนมามากมาย จนชำนาญทั้งวรยุทธและพลังลมปราณ แต่ท่านก็ยังไม่อนุญาตให้ข้าได้มีโอกาสศึกษาคัมภีร์นั่น ทั้งๆ ที่มันถึงเวลาที่ข้าควรได้ศึกษามัน ท่านคอยกีดขวางข้าไว้ เพราะกลัวว่าข้าจะเก่งกาจเหนือท่านรึเปล่า”

“ข้าก็ได้แจ้งเหตุผลแก่เจ้าไปแล้ว ศิษย์ข้า เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าใจ ข้าอธิบายให้เจ้าฟังแล้วว่าคัมภีร์นั้นอันตรายแค่ไหน”

“แจ้งแก่ข้าแล้วงั้นหรือ” น้ำเสียงของเขายิ่งเย็นเหยียบมากขึ้น ในฉับพลันเขายกมือขึ้นมาหมายจะซัดพลังทำร้ายอาจารย์จางหมิ่น แต่ฉับพลับร่างของเขาก็หงายหลังไป โดยที่ไม่มีใครขยับเขยื้อนเลย แต่กัณหากลับรู้สึกถึงพลังลมปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากอาจารย์จางหมิ่น แม้อีกฝ่ายจะทำเพียงแค่ยืนมองเท่านั้น

น่ากลัว น่ากลัวจริงๆ

สายตาที่อาจารย์จางหมิ่นมองไปยังเฉิงอี้นั้นดูน่ากลัว แต่ที่น่ากลัวกว่าคือพลังลมปราณที่แผ่ซ่านออกมา พลังนั้นรุนแรงมากจนแม้แต่คนรอบข้างก็ยังสัมผัสได้ แม้จะไม่มีใครล้มหงายหลังไปเหมือนเฉิงอี้ก็ตาม

“เอาตัวกลับสำนักทั้งสามคน” อาจารย์จางหมิ่นกล่าว ลูกศิษย์สามคนเอาผ้าเข้าไปห่อตัวเฉิงอี้ไว้ ลูกศิษย์อีกห้าหกคนเข้าไปจับชายสองคนที่ตามเฉิงอี้มา “เจ้าก็ตามกลับไปกับข้าด้วย ซิงอี จางเหว่ย พวกเจ้ายังมีความผิดต้องสะสาง”

“ขอรับ ท่านอาจารย์” หมอหยูและซิงอีทำความเคารพอาจารย์พร้อมกัน

อาจารย์จางหมิ่นละสายตาเขม็งจากเฉิงอี้ หันมาส่งยิ้มให้กับเด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างหวาดกลัว

“เรื่องเดือดร้อนในสำนักของเราแท้ๆ กลับต้องมาลำบากเจ้าเสียจริง” ท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงแจ่มใส “ข้าชอบมนต์ขยายเสียงของเจ้ามาก ข้าเคยได้ยินว่ามีแต่ชนเผ่าอู่ซ่าน พวกที่อยู่ในทะเลทรายที่มีมนต์แบบนี้ ไม่คาดคิดว่าสหายรักของข้าก็เสกมนต์นี้เป็นด้วย”

“เอ่อ…” กัณหาไม่รู้จะตอบว่าไง เธอนึกอยากบอกจับใจว่าเธอไม่ได้เรียนมันมาจากอาจารย์แห่งเขาริมอ่าวหรอก แต่เรียนมาจากบันทึกของสามสหายแห่งการายาต่างหาก “อิฉันหัดมานิดหน่อย แค่พื้นฐานเจ้าค่ะ ว่าแต่…” เธอเหลือบสายตาไปมองต้นหยกมังกรในมือหมอหยู “ต้นหยกมังกรต้นนี้ ท่านอาจารย์อย่าลืมเอาไปด้วยนะเจ้าค่ะ”

“โอ๊ะ” หมอหยูสะดุ้ง เพิ่งนึกได้ รีบเอาต้นหยกมังกรย่อส่วนมาส่งให้ท่านอาจารย์

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อาจารย์จางหมิ่นหัวเราะชอบใจ เมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าว “อาจารย์เจ้าช่างใช้ได้ถูกคนเสียจริง เจ้าคงจะไม่วางใจจนกว่าของขวัญจะถึงมือข้าใช่ไหม ข้าขอบใจมากจริงๆ” ท่านยกต้นหยกมังกรที่ถูกย่อส่วนขึ้นมาดู

“เจ้าค่ะ เมื่อส่งถึงมือท่านแล้ว อิฉันก็ถือว่าสำเร็จภารกิจ จะได้เดินทางต่อไปได้อย่างหมดห่วง คัมภีร์ต้าจินหลงก็จะได้กลับสู่สำนักโม่ฝ่าช่านอย่างปลอดภัย ไม่ต้องกังวลว่าจะไปตกอยู่ในมือของคนชั่วอีก”

“คัมภีร์ต้าจินหลงรึ” ท่านอาจารย์จางหมิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นขัน “ไม่ใช่คัมภีร์ต้าจินหลงหรอกเด็กน้อย ตัวเจ้าต่างหาก ของขวัญที่อาจารย์ของเจ้าส่งมาให้ข้า”

“เอ๊ะ” คนรอบข้างพากันชะงักหันมามองอาจารย์จางหมิ่น

“ท่านอาจารย์หมายความว่ากระไรนะ เจ้าค่ะ” กัณหางุนงง “อิฉันหรือเป็นของขวัญ”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้นหยกมังกรมีความหมายว่าไง” อาจารย์จางหมิ่นเอ่ยนัยน์ตาเป็นประกาย

กัณหาส่ายหน้า อาจารย์จางหมิ่นหัวเราะขบขัน

“ต้นหยกมังกร เป็นต้นไม้ที่ไม่มีอยู่จริง” ท่านกล่าว “ในอดีตเวลาพ่อแม่ต้องการจะนำลูกไปฝากกับอาจารย์ท่านใด ก็ต้องหาของมีค่ามากที่สุดที่ตนเองมี เอามามอบให้กับอาจารย์สำนักนั้น เพื่อขอฝากฝังลูกของตนให้ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขามีให้ได้ สำนักโม่ฝ่าช่านเองก็เช่นกัน เมื่อหลายร้อยปีก่อน ชายตัดฟืนหนึ่งต้องการจะพาลูกชายชื่อ อาหลง มาฝากเป็นศิษย์สำนักโม่ฝ่าช่าน แต่โชคร้ายนัก เขาไม่มีทรัพย์สมบัติใด สิ่งเดียวที่เขามีคือฟืนดำๆ ที่สำนักของเรามีอย่างเหลือเฟือ ชายคนนั้นจึงตัดสินใจขึ้นไปบนเขา ตามหากิ่งไม้จากไม้เนื้อดี มาทำเป็นต้นไม้ประดับ เอาผ้าชิ้นเล็กๆ มาทำเป็นใบของมันของประณีต แล้วนำมาให้ที่สำนักของเรา ลูกศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักเมื่อเห็นมัน ต่างพากันหัวเราะเยาะเย้ยของขวัญชิ้นนี้ แล้วก็พากันถามอาหลงว่า ไม่อายบ้างหรือที่พ่อของเจ้าเอาของขวัญห่วยๆ นี้มาให้สำนักที่ดังที่สุดในต้าชิง พออาหลงได้ยินดังนั้น ก็ตอบว่า เขาไม่อาย เพราะเขารู้ว่ากว่าพ่อของเขาจะได้มันมา พ่อต้องเดินข้ามเขาสูงนับสิบๆ ลูกอย่างยากลำบากเพื่อหากิ่งไม้เนื้อดีที่สุด พ่อต้องฝ่าฟืนหลังขดหลังแข็งกว่าจะมีเงินซื้อเศษผ้าราคาแพงนี้มาประดับทำเป็นต้นไม้มงคลเพื่อนำมาให้เจ้าสำนัก ของขวัญชิ้นนี้แม้จะไร้ราคาสำหรับสำนักโม่ฝ่าช่าน แต่มีค่าและราคาสูงยิ่งสำหรับชายตัดฟืนเช่นพ่อของเขา เพราะมันทำมาจากความรักของพ่อที่มีต่อเขา เจ้าสำนักโม่ฝ่าช่านชอบใจคำตอบมาก จึงรับอาหลงเป็นศิษย์และเสกต้นไม้ประหลาดของที่พ่อเขานำมา ให้ต้นมันกลายเป็นทอง และใบของมันกลายเป็นหยก ท่านตั้งชื่อให้ว่า ต้นหยกมังกร ต้นหยกมังกรต้นนี้ยังคงถูกเก็บรักษาอยู่ในสำนักโม่ฝ่าช่านมาจนถึงปัจจุบัน มันเป็นสัญลักษณ์ถึงยอมรับลูกศิษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าศิษย์คนนั้นจะเป็นใครมาจากไหน หากมีคุณสมบัติตามที่สำนักเราต้องการ เจ้าสำนักก็จะรับทุกคน หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น สำนักโม่ฝ่าช่านเป็นสำนักแรกๆ ที่ห้ามมิให้บิดามารดานำของขวัญสูงค่ามาให้ตอนเอาบุตรหลานมาฝาก”

ลูกศิษย์ที่อยู่รอบๆ ท่านอาจารย์บางคนแอบเช็ดน้ำตา

“ถ้าเช่นนั้นมันเกี่ยวอะไรกับอิฉันด้วยเจ้าค่ะ” กัณหายังคงไม่เข้าใจ

“อาจารย์เจ้า ให้เจ้าเอาต้นหยกมังกรนี่มาให้ข้า ก็เป็นนัยว่าต้องการให้ข้ายอมรับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ด้วยเหมือนกันนะสิ” อาจารย์จางหมิ่นยิ้มน้อยๆ “เขาคงต้องการให้ข้าสอนเจ้าด้วย ตอนแรกข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาถึงอยากให้เจ้ามาเรียนกับข้านัก”

“เอ่อ…” กัณหาไม่อาจเข้าใจได้เหมือนกัน เธอนึกอยากบอกจับใจว่าเธอมีแผนการเดินทางอีกไกล แต่อาจารย์จางหมิ่นพูดขนาดนี้แล้ว จะปฏิเสธก็ดูน่าเกลียดเสียเหลือเกิน “ถ้างั้นสรุปว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิดใช่ไหมเจ้าค่ะ ในต้นหยกมังกรต้นนี้ ไม่ได้มีคัมภีร์ต้าจินหลง หากเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าคัมภีร์ต้าจินหลงก็ยังคงหายสาบสูญอยู่ แล้วเราควรทำอย่างเจ้าค่ะ”

อาจารย์จางหมิ่นหัวเราะเสียงดัง

“คัมภีร์ต้าจินหลงเป็นสมบัติของสำนักโม่ฝ่าช่าน เราได้มันมาอย่างถูกต้อง เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีใครนำมันออกไปจากสำนักโม่ฝ่าช่านได้หรอก เด็กน้อย”

กัณหามองท่านอย่างงุนงง แต่ดูจากสีหน้าของผู้ที่อยู่รายรอบอาจารย์จางหมิ่นแล้ว คนอื่นๆ ก็คงงุนงงไม่ต่างกัน

“แต่หมอหยูบอกว่ามันหายไป มันหายไปจากหอที่เก็บคัมภีร์ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เฉิงอี้คิดว่ามันอยู่ที่ท่านอาจารย์จวง” กัณหามองอาจารย์จางหมิ่นอย่างงุนงง

อาจารย์จางหมิ่นยิ่งหัวเราะเสียงดังยิ่งขึ้นไปอีก

“ก็อย่างที่ข้าบอก คัมภีร์ต้าจินหลงเป็นสมบัติของเรา เมื่อเราได้มันมาอย่างถูกต้อง ก็จะไม่มีใครมาชิงมันไปจากเราได้” ท่านยืนยัน