“คาถาในคัมภีร์นี้เป็นคาถาที่ละเอียดและซับซ้อน ซึ่งคนที่จะสามารถฝึกได้ก็มักจะต้องมีความรู้ด้านพลังจิตและมนตราเป็นอย่างดี ได้รับการฝึกมานานพอสมควร การเรียนการสอนคัมภีร์นี้จึงอยู่ในวงจำกัดมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีเพียงศิษย์ชั้นยอดเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้ฝึกฝนคาถาในคัมภีร์นี้” ท่านหุบยิ้มแล้วก็ถอนใจ “เนื่องจากมีคนฝึกไม่มาก พอคนเหล่านี้ตายจากการใช้คาถาในคัมภีร์ จึงไม่มีใครรู้ว่าเป็นผลจากการใช้คาถา จนกระทั่งเมื่อสามร้อยปีก่อน นักเดินทางคนหนึ่งถูกกล่าวหาว่าฆ่าอาจารย์เจ้าสำนักชื่อดัง เขาออกตามหาความจริงและพิสูจน์ได้ว่าการตายของอาจารย์หัวหน้าสำนักนั้นเกิดจากการใช้คาถาในคัมภีร์ นั่นคือต้นเหตุที่ทำให้คัมภีร์นี้กลายเป็นคัมภีร์ต้องห้าม มีการห้ามการเรียนการสอนกันในหลายสำนัก แน่นอน เหล่าบรรดาหนุ่มสาวทั้งหลายเมื่อได้ยินชื่อเสียงของคัมภีร์นี้มานาน และรู้ว่ามีเพียงศิษย์เอกเท่านั้นถึงจะได้ฝึก ต่างก็คิดกันมานานแล้วว่า การได้ฝึกคัมภีร์นี้เป็นเสมือนตัวแทนของความเก่งกาจและยิ่งใหญ่ เมื่อถูกเจ้าสำนักห้ามปราม ก็เกิดการประท้วง เกิดความพยายามแย่งชิงคัมภีร์ตามมา เจ้าสำนักหลายแห่งต้องหาวิธีป้องกันคัมภีร์ของตนเอง แต่มีคัมภีร์เล่มหนึ่งเล็ดลอดและถูกขโมยออกไปได้ คนที่ขโมยมัน ขโมยไปได้เพียงครึ่งเล่ม เพราะมันขาดออกจากกันตอนที่เขาขโมย เขาเอาคาถาในคัมภีร์นี้ไปใช้ทำให้ผู้คนหวาดกลัวและยอมสยบอยู่ใต้อำนาจของเขา และแน่นอนเขาเองก็ตายจากคาถาในคัมภีร์นี้เช่นกัน หลังจากเขาตาย คัมภีร์เล่มนี้ก็ถูกชิงไปโดยข้ารับใช้ใกล้ชิด และถูกชิงต่อๆ กันมาเรื่อย จนถึงขั้นมีการเข่นฆ่ากันในที่สุด คัมภีร์ครึ่งเล่ม เล่มนี้เอง คือสิ่งที่พวกเขาแย่งชิงกัน และแน่นอนข้าได้ยินว่า ศิษย์ใหม่ของสำนักเราสามคนที่เจ้าจับตัวได้ ก็กำลังตามหาคัมภีร์นี้เช่นกัน ถ้าพวกเขาหนีไปได้ พวกเจ้าเองก็ควรจะต้องระวังตัวไว้ให้มาก มีโอกาสที่พวกเขาจะย้อนกลับมาทำอันตรายพวกเจ้าได้ เพราะความโลภของคน ฆ่าคนมานักต่อนักแล้ว ต่อให้เจ้าจะมีหรือไม่มีคัมภีร์ต้าจินหลงตัวจริงก็ตามที”

กัณหากับอาติสบตากันอย่างไม่สบายใจ คำพูดของอาจารย์จางหมิ่นเหมือนจะสื่ออะไรมากกว่านั้น

“ข้าได้ยินว่า พวกเจ้าวางแผนว่าจะออกเดินทางกัน เมื่ออาการของอาติหายดีแล้ว โดยส่วนตัว ข้ามองว่าการที่เจ้าอยู่ในสำนักแห่งนี้ ฝึกพลังลมปราณสำหรับการต่อสู้ต่อไป น่าจะปลอดภัยมากกว่า แต่ข้าได้ยินจากซิงอีว่าเจ้ามีภารกิจสำคัญในการเดินทาง ข้าคงไม่อาจห้ามพวกเจ้าไม่ให้เดินทางได้ ข้าได้แต่อวยชัยให้พรพวกเจ้าให้เดินทางโดยปลอดภัย และอย่าลืมว่าจงระมัดระวังตัวเสมอในทุกๆ ก้าว” ท่านอาจารย์จางหมิ่นเอ่ยเตือนด้วยถ้อยคำธรรมดา ที่คนฟังนึกหวั่นใจขึ้นมา

“พวกเราจะระมัดระวังตัวเจ้าค่ะ” กัณหารับปาก

“ข้าได้ยินซิงอีบอกว่า พวกเจ้ามีแผนการเดินทางต่อไปยังเกาะโอสึกิใช่ไหม”

“เจ้าค่ะ”

“ข้ามีเพื่อนอยู่ที่เกาะโอสึกิคนหนึ่ง ชื่อ ฮิเทคาวะ เขาเป็นหัวหน้าซามูไรที่นั่น มีอำนาจพอตัว ข้าจะเขียนจดหมายฝากฝังพวกเจ้าไปให้ด้วย ตอนไปที่เกาะโอสึกิก็ไปพักกับเขาก็ได้ จะได้ปลอดภัยมากขึ้น” ท่านอาจารย์แนะนำ

“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือพวกเรา” อาติโค้งให้

“ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณพวกเจ้า ที่ได้ช่วยศิษย์สำนักโม่ฝ่าช่านไว้” ท่านอาจารย์โค้งคืนให้กับพวกเขา

ในที่สุดหลังจากอยู่ที่ต้าชิงราวเดือนเศษ พวกเขาก็ได้ฤกษ์กลับขึ้นเรือเหาะอีกครั้ง คราวนี้มีอาหารและสัมภาระมากมายที่ท่านอาจารย์แห่งสำนักโม่ฝ่าช่านให้ตระเตรียมเผื่อพวกเขาในการเดินทางด้วย อีกทั้งยังมีจดหมายไปถึงท่านฮิเทคาวะให้พวกเขาด้วย พวกเขาเข้าไปร่ำลาท่านอาจารย์จางหมิ่นแต่เช้า และออกมาร่ำลาศิษย์คนอื่นๆ ก่อนออกเดินด้วยเท้าจากเมืองเถียนอันไปยังเขาใกล้ๆ ที่พวกเขาซ่อนเรือเหาะไว้ เมื่อไปถึงบารัตเตรียมเรือเหาะไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาเข้าไปเก็บของข้างในเรือเหาะ ก่อนออกมาร่ำลาซิงอีและหมอหยูที่ตามมาส่งถึงที่

“ขอให้พวกเจ้าโชคดีในการเดินทางนะ หวังว่าเราจะได้พบกันอีก” ซิงอียิ้มให้ทุกคน

“ขอให้โชคดีเช่นกัน หากแวะมาเมืองเถียนอันเมื่อใด อย่าลืมแวะมาหาพวกเราด้วย” หมอหยูหยิบกล่องกล่องหนึ่งออกมาส่งให้พวกเขา “ในกล่องนี้มีสมุนไพรหลายตัว ข้าเขียนวิธีใช้และสรรพคุณใส่ในกระดาษไว้ด้วย ถ้าพวกเจ้าต้องการใช้ เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย การกินสมุนไพรพวกนี้ช่วยได้”

“ขอบคุณมากจ๊ะ ท่านหมอ” กัณหายิ้มรับกล่องมา

“ไป ออกเดินทางกัน” ช่วงโบกมือลาทั้งสอง และชวนทุกคนขึ้นเรือเหาะ

ในที่สุดเรือเหาะของพวกเขาก็ออกเดินเครื่องอีกครั้ง สายลมค่อยๆ พัดพาเรือเหาะของพวกเขาให้ลอยสูงขึ้นไปสูงขึ้นไป พวกเขายังคงยืนที่ดาดฟ้าเรือเหาะและโบกมือลาทั้งสองคนจนลับสายตาไป

 

 

“มาๆ มาดูสมุนไพรที่หมอหยูให้กันดีกว่า” แหวนตื่นเต้น รีบเปิดฝากล่องไม้ ภายในมีขวดแก้วเล็กๆ จำนวนมาก บางขวดมีน้ำอยู่ภายใน บางขวดเป็นผง จี้ดเองก็มาส่องดูด้วยความสนใจ

“นี่คงเป็นคู่มือการใช้สมุนไพรที่หมอหยูว่า” อาติหยิบสมุดเล็กๆ ที่พับอยู่ภายในกล่องออกมาดู “แต่ดูเหมือนหมอหยูจะลืมไปว่าเราไม่ใช่ชาวต้าชิง”

“อะไรนะ” แหวนหันไปมอง

อาติกางสมุดออกดูภายในเขียนด้วยตัวอักษรแบบต้าชิง ซึ่งแน่นอนต่อให้พวกเขาใส่สร้อยภาษาที่สามารถทำให้เข้าใจภาษาที่อื่นๆ ในโลกนี้ได้ แต่นั่นก็เฉพาะภาษาพูดเท่านั้น สร้อยภาษาไม่มีผลกับการอ่านและเขียนตัวหนังสือ

กัณหากับอาติหัวเราะออกมาพร้อมกัน แหวนมองมันอย่างแปลกใจ

“เจ้าอ่านไม่ออกเหรอ” แหวนถาม

“จะอ่านออกได้ยังไง พวกเราไม่มีใครรู้ภาษาต้าชิง” อาติขำ

“ข้าก็นึกว่าจะอ่านออกกัน” แหวนถอนใจ “เฮ้ย ข้าก็ดีแต่พูด ตัวข้าเองก็อ่านไม่ออกแม้แต่ตัวหนังสือในภาษาที่ตนเองพูด”

“เจ้าอ่านหนังสือไม่ออกเหรอ” จี้ดถามอย่างข้องใจ “ทำไมไม่ไปเรียนล่ะ”

คราวนี้แหวนถึงกับหัวเราะเสียงดังลั่นบ้าง จนช่วงและบารัตที่คุยกันอยู่ท้ายเรือเหาะต้องหันมามอง

“ข้าวปลา ข้ายังไม่มีจะกิน จะเอาเวลาไหนไปเรียน” แหวนหัวเราะ “แล้วอีกอย่างไพร่ในอยุธยามีใครเขาเรียนหนังสือกัน ขนาดผู้ชายยังไม่ได้เรียน ผู้หญิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง”

“ไม่เป็นไรหรอกแหวน เอาไว้แหวนว่าง ประเดี๋ยวฉันสอนเอง” กัณหายิ้ม “เรียนไม่ยากหรอก”

แหวนเงยหน้ามามองกัณหาอย่างซาบซึ้งใจ หล่อนดูดีใจมากที่จะได้เรียนหนังสือ ในระหว่างนั้นช่วงและบารัตเดินมานั่งล้อมวงกับพวกเขา

“หัวเราะอะไรกันเสียงดัง” ช่วงเอ่ยแล้วมองแหวนอย่างตำหนิ “เอ็งนี่ไม่มีมารยาทเสียจริง”

“ดูนี่สิ ท่าน” อาติยื่นสมุดเล็กๆ ที่หมอหยูเขียนให้

“ตายจริง” ช่วงถอนใจ “หมอหยูคงลืม ก็คุยกันรู้เรื่องขนาดนี้ เขาคงคิดว่าเราเข้าใจภาษาต้าชิงแหละ เลยเขียนเป็นภาษาต้าชิงมาให้ จริงสิบารัต เจ้าฟังภาษาต้าชิงเข้าใจไม่ใช่เหรอ อ่านภาษาต้าชิงออกไหม มาช่วยเราอ่านหน่อยเถิด”

“ข้าเข้าใจบางคำ ที่เกี่ยวกับการค้า การเดินทาง แต่ส่วนใหญ่ข้าก็ใช้สร้อยภาษาช่วยเพราะฟังไม่รู้เรื่องทั้งหมดหรอก” บารัตตอบ เขาล้วงกระเป๋าหยิบเอาสร้อยภาษาของตนออกมาให้ดู “ส่วนตัวหนังสือนั้นก็พออ่านออกเป็นบางตัว แต่ไม่มากพอจะอ่านออกได้ทุกอย่างหรอกนะ” เขาชะโงกหน้ามาดูตัวหนังสือที่หมอหยูเขียน “เช่นนี่ แปลว่า ไข้ น่าจะเป็นยาแก้ไข้นะ”

“เฮ้ย มีคนอ่านออก รอดแล้ว” อาติดูดีใจมาก แหวนกรีดร้องอย่างยินดีเช่นกัน

“ท่านเก่งมากเลย บารัต ท่านทำเป็นทุกอย่างจริงๆ แถมเป็นสุภาพบุรุษมาก” แหวนชื่นชมจากใจ ก่อนเหล่ตาไปมองช่วง “ไม่เหมือนบางคน”

“ใคร ที่เจ้าพูดถึงนะ ใคร” ช่วงเสียงเข้มใส่ แหวนยักไหล่และเบะปากให้

“ข้าอ่านออกแค่นี้แหละ” บารัตรีบบอกทันที “ที่เหลือก็เดาสุ่มเอา อย่างเช่นคำนี้แปลว่า ท้อง น่าจะเป็นยาแก้ปวดท้องมั้ง”

“โอ๊ย แค่นี้ก็ดีแล้วท่าน ดีกว่ามียา แต่ไม่รู้จะใช้อย่างไร เพราะอ่านไม่ออกกัน” แหวนยิ้ม “จริงสิคุณหนู ในบันทึกของท่านนี่ สามสหายนั้นเขาออกเดินทางไปเกาะโอสึกิอย่างไรรึ ข้าอยากรู้จริง ได้ยินคนที่สำนักนั่นบอกว่า เกาะนี่อยู่กลางมหาสมุทรไปทางตะวันออก ไกลมากๆ นี่นา ถ้าพวกเขาไม่มีเรือเหาะ พวกเขาไปอย่างไร”

“หลังจากพวกเขาข้ามเทือกเขาจิ๋วอู่หลาน พวกเขาไปที่เมืองฮงหวงที่อยู่ทางใต้ลงไป เมืองฮงหวงเป็นเมืองใหญ่มีเรือจำนวนมาก พวกเขาขอลงเรือไปกับพวกพ่อค้าวาณิช จริงๆ พวกเขาต้องการเดินทางไปเมืองอี้เหยิน ซึ่งอยู่ปลายแม่น้ำซุนหยาง แต่ขอขึ้นเรือผิดลำ กลายเป็นว่าเรือที่พวกเขาติดไปเดินทางล่องตามแม่น้ำซุนหยางและออกทะเลไปสู่เกาะโอสึกิแทน กว่าพวกเขาจะรู้ตัวก็ออกสู่ทะเลเสียแล้ว เลยเปลี่ยนจุดหมายไปเกาะโอสึกิแทน”

“แล้วเราไม่ต้องไปเมืองฮงหวงเหมือนกับพวกเขาหรือ” แหวนข้องใจ

“ซิงอีบอกว่าเมืองนั้นล่มสลายไปร้อยกว่าปีแล้วล่ะ” กัณหาตอบ “เราจึงข้ามไปเกาะโอสึกิเลย”

“ตลกจริงๆ” จี้ดว่า “สรุปว่าสาเหตุที่ไปเกาะนี้ก็เพราะแค่ขึ้นเรือผิดนะรึ”

“ใช่ แค่ขึ้นเรือผิด”

“เราก็เลยต้องเดินทางไกลตามพวกเขา” อาติหัวเราะชอบใจ “ข้าเบื่อภูเขาและเมืองใหญ่แล้ว อยากกลับไปทะเลมากกว่า”

“เหมือนกัน ข้าก็คิดถึงทะเล” บารัตพยักหน้าเห็นด้วย

“เดินทางมารอบนี้ กัณหาได้มาฝึกวิชาพลังลมปราณจากอาจารย์จางหมิ่นและซิงอีแล้ว ก็ถือว่าคุ้มนะที่มา มีแต่ข้าเนี่ยแหละ ยังไม่ได้เรียนอะไรเล้ย” อาติล้มตัวลงนอนแล้วแกล้งถอนใจเบาๆ บารัตเลิกคิ้ว

“ข้าว่าเจ้าได้เรียนรู้มากทีเดียว” เขายิ้มอย่างมีเล่ห์นัย “เรียนรู้ว่าควรประมาณกำลังฝีมือตนเองก่อนจะต่อสู้กับใคร จะได้ไม่เจ็บตัว และนอนเป็นผักนานขนาดนี้”

แหวน กัณหา ช่วงและจี้ดหัวเราะพร้อมกัน

“แล้วกัน” อาติว่าทำหน้างอนเล็กน้อย “ไม่มีใครเข้าข้างข้าเลย”

“เอาน่า อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะดีใจที่ได้เรียนรู้นะ” แหวนปลอบ คำปลอบที่ทำเอาคนรอบข้างพากันหัวเราะอีกรอบ

“ว่าแต่อาจารย์สำนักนี้เขาใจดีนะ” บารัตเอ่ยขึ้นมา “ตอนที่ข้าฟังเรื่องความหมายของต้นหยกมังกรนี่ข้าแอบน้ำตาซึมเลย”

“เขาแสดงให้เห็นไง ว่าอาจารย์ก็คืออาจารย์ ยินดีรับลูกศิษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน จริงๆ เฉิงอี้โชคดีมากที่มีอาจารย์ที่ดีขนาดนี้ เขาไม่น่าคิดทรยศสำนักเลยนะ”

“นั่นสิ” กัณหาเห็นด้วย “ความโลภทำให้คนตามืดบอดจริง”

“เหมือนที่ท่านทำให้ตาของสองคนนั้นบอดด้วยใช่ไหมล่ะ” แหวนแอบกระซิบข้างหู กัณหาชะงักและยิ้มแหยๆ

“ตอนที่หมอหยูตรวจตาของสองคนนั้น เขาบอกว่าเป็นคำสาปที่ร้ายแรงมาก อาจต้องฝังเข็ม กินยาหลายอย่าง และต้องพักฟื้นอีกนาน ไม่แน่ด้วยว่าจะกลับมามองเห็นได้อีกหรือเปล่า” กัณหาพูดอย่างรู้สึกผิด “ถ้าสามคนนั้นไม่หนีไป คงจะได้รับการรักษาจากหมอหยู แต่นี่ไม่ได้รับการรักษาไม่รู้จะตาบอดถาวรรึเปล่า”

บารัตกับช่วงมองหน้ากัน

“เจ้ายังจะห่วงสองคนนั้นอีกรึ ในความเห็นข้า แค่เสกให้ตาบอดนี่มันน้อยไปด้วยซ้ำ ถ้าไม่ทำแบบนี้เขาจะฆ่าพวกเรานะ” อาติพูดโพล่งออกมาทันที “จะว่าเราไม่ได้หรอกนะ เราทำเพื่อป้องกันตัว ถ้าเขาไม่มาทำร้ายเราก่อน เราก็คงไม่ต้องทำแบบนี้หรอก”

“จริง ข้าเห็นด้วย” ช่วงพูดต่อทันที “ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้ ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด ถ้าใจอ่อนหมายถึงชีวิต”

“จริง” แหวนเห็นด้วยอีกเสียง

“นานๆ ทีจะเห็นสองคนนี้มีความเห็นตรงกันนะ” จี้ดแซว “ถ้าขนาดนี้ ท่านเลิกกังวลได้แล้ว”

ช่วงกับแหวนเบือนหน้าหนีจากกัน กัณหายิ้มเพื่อนร่วมทางของเธอก็หาวิธีเข้าข้างเธอได้เสมอ