“เรือเหาะกำลังจะขึ้นแล้ว” หลังสิ้นสุดเสียงประกาศนี้ เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังมาจากผู้คนที่อยู่รอบๆลานนั้น กัณหาอดยิ้มกว้างอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อเห็นชาวตาโกนันมายืนรอส่งพวกเขาขึ้นสู่ท้องฟ้าไปกับเรือเหาะครั้งแรก เธอยืนเกาะอยู่ที่ขอบด้านหนึ่งของเรือเหาะ  มีจี้ดเกาะอยู่ที่ไหล่  แหวน อาติ และช่วงยืนอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินเสียงประกาศทุกคนต่างยึดจับขอบของเรือเหาะไว้แน่น 
        “ขึ้นแล้วครับทุกคน” เสียงประกาศดังลั่น เสียงโห่ร้องยิ่งดังยิ่งกว่าเดิม กัณหารู้สึกยวบยาบเหมือนพื้นใต้เท้าสั่นไหวเล็กน้อยก่อนพื้นจะขยับสูงขึ้น  กัณหายังคงจับขอบเรือไว้แน่น เจ้านกน้อยดูตกใจเล็กน้อย  สักพักเรือเหาะก็ลอยสูงขึ้นเหนือยอดไม้ และยังลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนผู้คนที่ยืนอยู่เบื้องล่างลดขนาดลงเหลือเท่าหัวเข็มหมุด ก่อนเรือเหาะจะลอยผ่านออกนอกหมู่บ้านผ่านต้นไม้และป่าไม้
        “ดูนั่น” แหวนน้องชี้มือไปเบื้องหน้า สักพักกัณหาก็เห็นทะเลตรงจุดนั้น พวกเขากำลังค่อยๆลอยไปหามัน
        “เงียบดีจริง” อาติชื่นชมอย่างปลาบปลื้มใจในเรือเหาะ แหวนกับกัณหาแอบส่งยิ้มให้กัน
เดิมทีอาติตั้งใจเดินทางมาที่เกาะสุลาวารีเพื่อเรียนรู้การขับเรือเหาะที่เกาะนี้เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจออกเดินทางไปค้นหาน้ำอมฤตกับพวกเขา แต่เมื่อมาถึงที่นี่ชาวตาโกนันรวมทั้งบารัตปฏิเสธที่จะสอนขับเรือเหาะ อาติไม่ละความพยายาม ยังคงตามตื๊อบารัตและขอออกเดินทางมากับพวกเขาด้วย เผื่อจะได้มีโอกาสขับเรือเหาะบ้าง

“แน่ใจนะ อาติ” ช่วงทวนคำเมื่อได้ฟังเหตุผลที่อาติจะขอเดินทางไปกับพวกเขา “เราไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ อาจเป็นสิบปี ยี่สิบปีก็ได้ และที่สำคัญการเดินทางไปกับพวกเราก็ไม่ได้แปลว่าบารัตจะสอนเจ้านี่นา”
        “ข้าจะไป” อาติยืนยัน “ต้องขอให้เขาสอนข้าให้ได้” 


         จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าบารัตจะสอนอาติเลย ไม่รู้ความพยายามของอาติจะได้ผลไหมนะ
         พวกเขายังคงยืนดูภาพเกาะสุลาวารีจากมุมสูงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเรือเหาะค่อยๆเคลื่อนผ่านออกจากเขตเกาะออกสู่ทะเล  เมื่อออกสู่ทะเลแล้ว ความเร็วของเรือเหาะก็เพิ่มขึ้น
         “นี่เป็นทะเลสุลาวารี” บารัตตะโกนมาจากที่ขับเรือเหาะข้างหลัง “เลยนี่ออกไปจะเป็นมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ ก่อนจะไปสู่ต้าชิง”
         “ต้าชิงอยู่อีกฟากของมหาสมุทรหรือ” กัณหาหันไปถามเขา
         “ไม่ๆ ต้าชิงอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรฟากเดียวกับเรา แต่อยู่เหนือเราขึ้นไป” บารัตส่งเสียงตอบมา
         “แล้วอีกฟากของมหาสมุทรละ” กัณหาสงสัย
         “มหาสมุทรนี้กว้างใหญ่มาก ไม่เคยมีใครเห็นอีกฟากของมันหรอก เคยมีชาวตาโกนันพยายามจะข้ามไปอีกฟากของมหาสมุทร ออกไปสำรวจ แต่ไม่สำเร็จ คนที่กลับมาได้บอกว่า เขาขับเรือเหาะไปเรื่อยๆจนพลังงานจวนจะหมด ก็ยังหาอีกฟากของมหาสมุทรนี้ไม่เจอ ระหว่างทางก็ไม่มีอะไรเลย แม้แต่เกาะก็ไม่มี ส่วนใหญ่ก็เลยหันหลังกลับ ส่วนคนที่ยืนยันจะไปต่อนั้นเกือบทุกคนหายสาบสูญไปหมดเลย”
        “หรือว่ามหาสมุทรนี้จะไม่มีฝั่งอีกด้าน” แหวนแปลกใจ
       “ข้าเคยได้ยินพวกนักเดินเรือไกลๆบอกว่า มันไม่มีอีกฟากหรอก เลยมหาสมุทรนี้ออกไปเป็นขอบโลก ที่นั่นน้ำจะตกลงเหมือนน้ำตก”
       “ตกลงไปไหน” กัณหายังข้องใจ
       “ไม่มีใครรู้ คนที่รู้ก็ไม่อาจบอกเราได้แล้ว” บารัตยักไหล่
       “เราลงไปดูห้องนอนของเรากันเถอะ คุณหนู” แหวนเสนอ หล่อนไม่นึกสนใจเรื่องขอบโลกมาไปกว่าเส้นทางข้างหน้า
       “ไปกันจี้ด” กัณหาบอกเจ้านกที่บินจากไหล่เธอไปเกาะที่ขอบเรือชมวิวอย่างอารมณ์ดี
       “นกตัวนี้นี่สวยจริงๆ พวกเจ้าไปจับมาจากไหน” บารัตถามเมื่อจี้ดบินตามกัณหามา
       “ข้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ” จี้ดกระพือปีกอย่างหงุดหงิด บารัตชะงักเล็กน้อย
       “นกพูดได้” เขามองจี้ดอย่างตกตะลึง
       “จี้ดเป็นนกวิเศษจากป่าหิมพานต์” กัณหายิ้มให้กับสีหน้าตกใจของบารัต “จี้ดพูดได้หลายภาษามาก”
       “เป็นความสามารถพิเศษของข้าเลยล่ะ” จี้ดยืดอกอย่างภูมิใจขณะร่อนลงบนไหล่ของกัณหา
       “พูดได้หลายภาษา แต่ไม่อาจพูดได้เพราะกลัวคนจะรู้ว่าพูดได้” แหวนแลบลิ้นให้เจ้านก เจ้านกหันไปมองตาเขียวใส่แหวน
       “ป่าหิมพานต์มีจริงๆรึ ไม่อยากเชื่อเลย”บารัตเอ่ย “ข้านึกว่ามีอยู่แค่ในตำนานเสียอีก”
       “มีจริงๆสิ สวยงามมากด้วย” จี้ดพูดอย่างภูมิใจแล้วก็ชะงักไปสักพักก่อนจะคอตกเมื่อนึกได้ว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นป่าหิมพานต์ที่เป็นบ้านเกิดของตนเองอีกแล้ว
       “เราไปดูห้องกันเถอะ” แหวนตัดบท เพราะขี้เกียจฟังจี้ดพร่ำพรรณนาถึงป่าหิมพานต์นั่นอีก

 

เรือเหาะโบเนมีรูปร่างคล้ายเรือสำเภา แต่ส่วนที่ควรจะเป็นใบเรือถูกแทนที่ด้วยถุงลมขนาดใหญ่  ขนาดของเรือเล็กกว่าเรือสำเภาอยู่มาก แต่ลักษณะอื่นๆไม่ต่างจากเรือสำเภามากนัก ท้องเรือมีห้องว่างๆสามถึงสี่ห้องไว้เก็บของและพักผ่อนคล้ายเรือสำเภา ด้านบนของเรือมีถุงลมขนาดใหญ่ช่วยให้เรือเหาะลอยตัวอยู่ได้ ซึ่งถุงลมขนาดใหญ่นี้ใหญ่เสียยิ่งกว่าขนาดเรือเหาะเสียอีก มีใบพัดสองสามอันอยู่ด้านหลังเรือ แต่แทบไม่มีเสียงให้ได้ยินเลย กัณหากับแหวนเข้าไปสำรวจห้องต่างๆในเรือ แล้วเลือกห้องห้องหนึ่งไว้สำหรับนอน ในห้องนี้ไม่ได้มีเตียงโต๊ะเตรียมไว้ให้เหมือนในเรือสำเภา แต่มีฟูกที่นอนเตรียมไว้ให้ กัณหากับแหวนช่วยกันปูฟูกที่นอนจนเสร็จ เอาข้าวของมาจัดวางเรียงไว้ให้หยิบง่าย และปัดกวาดพื้นห้องให้เรียบร้อยพอนอนได้
        หลังจากช่วยกันทำความสะอาดในห้องเรียบร้อยแล้ว กัณหากับแหวนกลับออกมาเห็นช่วงกับอาติกำลังทำความสะอาดห้องของตนเช่นกัน เมื่อทุกคนทำความสะอาดห้องเสร็จก็กลับขึ้นไปดาดฟ้าเรือเหมือนเดิม พวกเขาเอาอาหารที่ชาวตาโกนันเตรียมไว้ให้ก่อนออกเดินทางออกมาแบ่งกันกิน โดยมีบารัตมาร่วมวงด้วย
        “ถ้าเกิดฝนตกระหว่างเราบินละ จะทำอย่างไร” กัณหาถามขึ้นระหว่างรับประทานอาหารกัน
        “ไม่ต้องห่วงถ้าฝนตกเล็กน้อยเรือเหาะยังจะลอยอยู่ได้ แต่ถ้ามันตกมากชนิดว่าเป็นพายุฝน เราก็คงต้องลงจอด” บารัตยกน้ำขึ้นมาดื่ม 
        “แล้วถ้าเราเหาะอยู่เหนือมหาสมุทรล่ะ” แหวนยังข้องใจ
        “เรือเหาะโบเนลอยน้ำได้ ให้ลงจอดกลางทะเลไม่ยากอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่กลางทะเล จอดบนภูเขา หน้าผา สะปะที่จอดได้หมด แม้มีพื้นที่ลงจอดแค่เล็กน้อยก็ไม่มีปัญหา”
        “แล้วท่านไม่จำเป็นต้องขับเรือเหาะตลอดเวลาเหรอ” อาติสงสัยที่เห็นบารัตละจากห้องขับเรือเหาะออกมานั่งกินข้าวกับพวกเขาได้อย่างสบายใจผิดกับพวกลูกเรือสำเภาต้องผลัดกันเฝ้าห้องควบคุมเรือ
         บารัตยิ้มน้อยๆ “ได้สิ ข้ามีเคล็ดลับ” 
         อาติทำหน้าอยากรู้อย่างสุภาพ แต่บารัตแกล้งอมยิ้มแล้วพูดต่อไปเรื่องอื่นโดยไม่สนใจอาติที่มีสีหน้าอยากรู้อยากเห็นเต็มที่
         “ข้าเคยไปต้าชิงมาหลายครั้ง เดินทางไม่นานถ้ากระแสลมดี” เขาเล่าต่อโดยไม่สนใจสีหน้าผิดหวังของอาติ “แล้วพวกท่านจะไปลงที่ไหนในต้าชิงล่ะ”
         “เมืองเถียนอัน” ช่วงตอบทันที “ท่านเคยไปมาก่อนไหม”
         “เคย เป็นเมืองใหญ่ อากาศดี ผู้คนน่ารัก” บารัตยิ้ม “และเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องอาคม ข้ามีเพื่อนอยู่ที่เมืองนั้นด้วย ไม่ได้เจอกันนานแล้วไม่รู้ยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า แต่ถ้าแวะไปเจอกัน เจ้านั่นต้องพาไปเที่ยวรอบเมืองแน่นอน”
         “เยี่ยมเลย” แหวนยิ้มร่า “ข้าอยากเที่ยวรอบต้าชิงเลยทีเดียว”
         “เจ้าตามมาเพราะต้องการจะเที่ยวหรือต้องการจะช่วยตามหาน้ำอมฤตกันแน่” นกการเวกแอบแขวะทันทีที่มีโอกาส
         “ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ” แหวนยิ้มเยาะให้จี้ดอย่างอารมณ์ดี เจ้านกมีสีหน้าไม่พอใจหน่อยๆ

 

อีกสี่ห้าวันต่อมาไม่มีอะไรน่าสนใจนัก การเดินทางของพวกเขายังคงราบรื่นดี สภาพอากาศก็ดูสงบและเป็นใจให้กับการเดินทาง สิ่งเดียวที่กัณหารู้สึกคือความเบื่อหน่ายเล็กน้อยที่ต้องอยู่บนเรือเหาะตลอดเวลาคล้ายกับตอนอยู่บนเรือสำเภา หลังครบห้าวันพวกเขาไปจอดที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งที่บารัตเรียกว่า เกาะมะพร้าว บารัตลงจอดเพื่อให้พวกเขาแวะลงไปเติมเสบียง หลังจากซื้อหาเสบียงเรียบร้อยแล้วก็กลับขึ้นเรือเหาะเพื่อเดินทางต่อทันที พวกเขาแวะระหว่างทางแบบนี้อีกสองถึงสามเกาะ
         เนื่องจากไม่มีอะไรทำมากนัก กัณหาจึงเริ่มอ่านบันทึกของสามสหายแห่งการายาอย่างจริงจัง ในบันทึกเล่าเรื่องการออกเดินทางจากการายาลงเรือสำเภาและแวะตามเกาะต่างๆ คล้ายกับที่กัณหาเจอ นอกจากบอกเล่าการเดินทางทั่วๆไปของสามสหายแล้ว ในบันทึกยังมีเขียนวิธีการเสกอาคมแปลกๆที่กัณหาไม่รู้จักซึ่งเป็นอาคมที่สามสหายได้เรียนรู้มาระหว่างทาง ทั้งอาคมทำให้เปลวไฟเต้นระบำหรือแตกเป็นฟอง อาคมที่ทำให้อาหารเน่าเสียช้าลง ล่าสุดที่กัณหาอ่านถึงคืออาคมทำให้ตามัวฉับพลัน

ระหว่างที่เราแวะลงไปซื้อของที่ท่าเรือเกาะปาเจา มีคนลักลอบเข้ามาขโมยของในห้องพักของเหล่าลูกเรือและผู้โดยสารคนอื่นๆ รวมถึงห้องพักของเราด้วยทั้งๆที่เราปิดประตูห้องพักด้วยอาคม เมื่อเรากลับมาพบทรัพย์สินหายไปจำนวนมาก เราไม่สามารถจับมือใครดมได้ สิ่งเดียวที่เรารู้คือขโมยเป็นคนที่มีอาคมเช่นกัน เราจึงตัดสินใจว่าจะต้องระมัดระวังตัวกันเอง เราจะไม่ปล่อยห้องว่างไว้เด็ดขาด เราให้ใครคนใดคนหนึ่งเฝ้าห้องพักไว้ตลอด วันหนึ่งระหว่างแวะที่ท่าเรือเมืองหูเจิน ดาหลังนอนเฝ้าอยู่ในห้องพัก ขโมยเปิดห้องพักเข้ามา แล้วพบกับดาหลัง ดาหลังต่อสู้แต่ไม่อาจสู้ได้ด้วยอาคมของชายผู้นั้นสูงกว่า ดาหลังส่งเสียงร้องจนมีลูกเรือคนหนึ่งมาเห็นเข้า ลูกเรือคนนั้นใช้อาคมทำให้ขโมยตามัวฉับพลัน  ช่วยให้ดาหลังรอดมาได้ และจับตัวขโมยได้สำเร็จ ลูกเรือคนนั้นบอกว่าการมองเห็นสำคัญสำหรับมนุษย์มาก ดวงตาเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ และเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดด้วย


         “อาคมตามัวฉับพลันงั้นหรือ”  กัณหาดูสนใจ แล้วนั่งไล่อ่านวิธีเสกอาคม นึกอยากลองเสกบ้าง แต่มานึกอีกทีถ้าเกิดเสกให้ใครตามัวไป แล้วเธอหาทางแก้อาคมคืนไม่ได้นี่น่าจะเป็นปัญหามากกว่า
แต่อาคมนี้ก็น่าสนใจดี เผื่อเราเจอคนที่อาคมสูงกว่า