“ทุกคน มาเร็ว เรือเหาะกำลังจะขึ้นบินแล้ว” เสียงตะโกนดังลั่นหมู่บ้าน ดังมาจากเด็กชายผิวดำตัวเล็กๆที่วิ่งไปทั่วทั้งหมู่บ้านตาโกนัน เด็กอีกเป็นพรวนวิ่งตามหลังเขาอย่างตื่นเต้น
        “ต้องป่าวประกาศขนาดนั้นเชียว” แหวนเบะปากไล่หลังเด็กน้อย “ดีใจอะไรนักหนา”
        “เด็กๆคงดีใจนะ ที่ได้เห็นเรือเหาะขึ้นบินอีกครั้ง อย่าว่าแต่เด็กๆเลยทางโน้นก็ไม่ต่างกัน” เจ้านกการเวกพยักพเยิดไปอีกฟากของลานโล่งที่เรือเหาะจอดอยู่ มีกลุ่มผู้ใหญ่จับกลุ่มยืนคุยกันอย่างตื่นเต้น
         “สรุปว่าอาติขอให้บารัตสอนวิธีขับเรือเหาะได้รึยัง”  กัณหาถาม 
         “ข้าว่าน่าจะยาก” ช่วงส่ายหน้า แล้วทั้งสามคนบวกนกอีกหนึ่งตัวก็ชำเลืองมองไปด้านหลังพร้อมกัน 
          ลานโล่งด้านหลังพวกเขา  บารัตกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการเดินเรือเหาะอยู่ เขาบอกกับทุกคนว่า เนื่องจากไม่ได้บินเรือเหาะมาเป็นเดือน อุปกรณ์บางอย่างอาจขาดชำรุดหรือขัดข้องไปบ้าง ต้องขอเวลาซ่อมแซมและลองขึ้นบินก่อนสักหนึ่งถึงสองวันถึงจะเริ่มออกเดินทางจริงได้ อาติไปของร้องบารัตให้สอนการขับเรือเหาะและเสนอตัวมาช่วยบารัตแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ร้องขอ บารัตปฏิเสธ แต่อาติไม่ยอมแพ้ยังคงไปตามตื๊อขอให้บารัตสอนอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้อาติกำลังวิ่งวุ่นตามบารัตต้อยๆอยู่ บารัตดูหงุดหงิดและพยายามเดินหนีเขา แต่อาติก็ยังพยายามขอช่วยนั่นช่วยนี่ตลอดเวลา
          “ให้ข้าช่วยท่านเถอะนะ” อาติพูดเป็นรอบที่ร้อย ชำเลืองมองไปมองมา 
          “เจ้าช่วยไปยืนห่างๆข้าเถอะ” บารัตตอบอย่างหงุดหงิดก้มลงไปทำอะไรสักอย่างข้างตัวเรือเหาะ
          “ข้าว่าเขาไปช่วยให้บารัตวุ่นวายมากขึ้นนะ” แหวนอมยิ้มอยู่มุมปาก “แล้วเราจะได้ออกเดินทางไหมเนี่ย”
          “ข้าแอบสงสารบารัตเลย” เจ้านกเออออด้วย 
          กัณหายิ้มเล็กน้อยขนาดมองดูภาพตรงหน้า ไม่น่าเชื่อว่าในที่สุดพวกเขากำลังจะได้ขึ้นเรือเหาะสมใจ หลังจากจัดพิธีศพแม่เฒ่าอูซาจบลง กัณหาขอให้บารัตนำเรือเหาะขึ้นอีกครั้ง เธอบอกเหตุผลตามตรงว่าต้องการไปตามหาน้ำอมฤต ซึ่งอาจต้องเดินทางไกลมาก และยังไม่มีเส้นทางที่แน่ชัด แม้ว่าบารัตจะไม่เห็นด้วย แต่กัณหายังคงยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าเธอต้องการจะไป ตอนแรกบารัตยังดูลังเลใจอยู่ เพราะแม้ว่าเขาจะอยากเอาเรือเหาะขึ้นบินแต่ติดที่คำสั่งของพี่ชาย และเขาก็ไม่เห็นด้วยกับการออกเดินทางตามหาน้ำอมฤตของกัณหา จากท่าทีของเขากัณหานึกถอดใจไปแล้วว่าคงไม่ได้ขึ้นเรือเหาะแน่ ช่วงอาสาไปคุยกับบารัตให้อีกที ไม่รู้ไปคุยกันอย่างไรสุดท้ายบารัตตอบตกลง ช่วงมาบอกว่าบารัตจะขอไปเจรจากับพี่ชายก่อน ให้พวกเขารอคำตอบสักพัก สองสามวันหลังจากนั้น บารัตก็มาบอกข่าวดีแก่พวกเขาว่า เขาตอบรับจะไปเดินทางรอบโลกกับพวกเขา 
           “เบซาไม่น่ารีบกลับเมืองโกวาเลยนะ น่าจะอยู่รอชมเรือเหาะขึ้นบินอีกครั้งก่อน” กัณหามองเรือเหาะอย่างชื่นชม เรือเหาะโบเนที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้า ทั้งใหญ่ ทั้งสวยงาม
           “ดีแล้วล่ะ หมอนั่นเป็นชาวโกวาที่กำลังมีปัญหากับชาวตาโกนันอยู่ คงไม่อยากอยู่ในหมู่บ้านนี้นานนักหรอก” แหวนยักไหล่
           “ทั้งๆที่เขารู้จักมักคุ้นกับชาวตาโกนันหลายคนเป็นอย่างดีนะ” กัณหาแปลกใจ “จะกลัวอะไร”
           “ไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวรหรอก” ช่วงตอบอย่างเคร่งขรึม “ในอดีตเคยเป็นมิตรรักกัน ปัจจุบันอาจจะแทงข้างหลังท่านอยู่ก็ได้ ข้าเจอมาเยอะแยะ”
            “ขนาดนั้นเชียว” แหวนทำหน้าเสียงล้อเลียน “เคยมีใครแทงข้างหลังท่านรึ”
            ช่วงหันมามองหล่อนตาเขียวและไม่ตอบคำถาม
            “แล้วเมื่อไหร่เธอทั้งสองจะเปลี่ยนมาเป็นสหายที่ดีต่อกันบ้างละ” กัณหามองทั้งสองคนสับกันไปมา
            “ไม่!!!” ช่วงกับแหวนตอบพร้อมกันอย่างสามัคคี
กัณหากับเจ้านกน้อยได้แต่มองตากันปริบๆ แหวนกับช่วงมองไปคนละทาง
            “แล้วท่านมีแผนการเดินทางรึยังว่าจะไปที่ไหนก่อน” เจ้านกเปลี่ยนเรื่อง คาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบที่เหมาะสม
            “ยังเลย” กัณหายิ้มให้เจ้านกที่ถอนใจอย่างนึกอยู่แล้วว่าจะได้ยินคำตอบนั้น เมื่อกัณหาเห็นท่าทีของเจ้านกการเวกก็อดหัวเราะไม่ได้ “ฉันจะรู้ประเดี๋ยวนี้เลย”
กัณหาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าย่ามจักสานที่เธอพกมา ภายในเต็มไปด้วยข้าวของส่วนตัวมากมาย โชคดีที่พวกเขาได้รับความกรุณาจากแม่เฒ่าผู้เป็นญาติของบารัตสั่งให้ชาวตาโกนันหลายคนไปช่วยกันตามหากระเป๋าสัมภาระต่างๆของพวกเขาในป่า กัณหาจึงได้กระเป๋านี้คืน เธอหยิบบันทึกการเดินทางของสามสหายแห่งการายาที่เก่าคร่ำคร่าออกมาดู เจ้านกถอนใจซ้ำ ในขณะที่แหวนตั้งต้นหัวเราะ ช่วงมองบันทึกนั้นอย่างสนใจเช่นกัน
            “เป็นหนังสือที่ดูเก่าแก่มากนะ” เขาทัก “ระวังมันจะขาดหมดเสียก่อนเดินทาง”
            กัณหายิ้มก่อนพลิกเปิดอ่านหน้าแรก มีข้อความเขียนอยู่บรรทัดเดียวเขียนว่า

            บันทึกนี้เป็นสมบัติของสะตาหมัน พันตู และดาหลัง

            “ทำไมบันทึกนี้ถึงเขียนด้วยภาษาของชาวอยุธยาละ” ช่วงตั้งคำถาม ขณะชะเง้อมามองหน้าบันทึก “มันเป็นบันทึกของชาวการายาไม่ใช่หรือ”
            “แม่เฒ่าช่วยเรานิดหน่อย” กัณหาตอบแบบมีเล่ศนัย ช่วงมองเธออย่างสงสัย
             กัณหาพลิกหน้าต่อไป และเริ่มต้นอ่านดังๆให้ทุกคนฟัง

             พวกข้าสะตาหมัน พันตูและดาหลัง ตัดสินใจออกเดินทางไปตามหาน้ำพุแห่งนาเทียร์  เป็นการตัดสินใจที่ไม่ยากลำบากอะไร พวกเราคิดกันว่า หากเดินทางครบรอบหนึ่งปีแต่ยังหาทางเข้าสู่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ พวกเราก็จะเลิกและเดินทางกลับบ้าน พวกเราเริ่มต้นเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการเดินทางและปรึกษากันว่าจะออกเดินทางไปที่ใดดี พันตูเสนอว่า ที่แรกที่ควรไปคือเมืองเถียนอัน เมืองที่เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องอาคม…”

            “เถียนอันหรือ” ช่วงทวนคำ “เมืองเถียนอันในเขตของต้าชิงนะหรือ”
            “เถียนอันนี่ใช่เมืองที่สหายของท่านอาจารย์อยู่หรือเปล่า” กัณหาเงยหน้าขึ้นหันไปถามช่วง เธอรู้สึกคุ้นกับชื่อเมืองนี้อยู่มาก
            “ใช่” ช่วงตอบ  “ท่านอาจารย์จางหมิ่น ท่านเป็นอาจารย์อาคมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเถียนอัน”
            “ก็ดีสิ” เจ้านกว่าทันที “ท่านก็จะได้เอาของขวัญของอาจารย์ท่านไปให้เพื่อนของท่านอาจารย์ให้เรียบร้อยด้วย จะได้ไม่ต้องติดค้างกัน”
            ”ใช่” กัณหายิ้ม “เราจะไปเมืองเถียนอันกัน” 
            กัณหายิ้มแล้วนำบันทึกเก่าแก่ของสามสหายมากอดไว้แนบอกด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่ามันจะพาเธอไปสู่สิ่งที่ปรารถนา
             และแล้วการเดินทางรอบโลกของเธอก็ได้เริ่มต้นขึ้น…