แสงอาทิตย์คล้อยหลังพวกเขาไป อากาศรอบตัวเริ่มเย็นลง ความมืดเริ่มค่อยๆคืบคลานเข้ามา รอบตัวพวกเขามีเสียงแมลงร้องระงมไปทั่ว ยุงเริ่มโผล่ออกมาตอมรอบตัวพวกเขา กัณหานั่งลูบขนอันสวยงามของจี้ดที่เกาะอยู่บนตักเธอ รอบตัวเธอคนอื่นๆนั่งอิงกรงไม้ไผ่อยู่คนละมุม
        “เราต้องรออีกนานแค่ไหน” จี้ดถามเบาๆ กลัวเบซาได้ยิน
        “ไม่รู้เลย” กัณหาตอบพลางมองไปรอบๆอย่างหวังว่าจะเจอชาวตาโกนันมาเปิดกรง “ฉันได้แต่สวดภาวนา ขอให้ไม่ใช่สัปดาห์หน้า”
         เจ้านกยิ้มขึ้นมา
        “ท่านเป็นคนที่ดวงไม่ค่อยดีนะ” เจ้านกทัก “เหมือนมีอุปสรรคตลอดการเดินทางเลย นึกว่ามาถึงสุลาวารีแล้วจะสบายเสียอีก กลายเป็นว่าลำบากยิ่งกว่าเก่า”
         กัณหายิ้มแล้วมองไปรอบตัวอย่างหดหู่ใจ นั่นสินะ พวกเขามีปัญหามากตลอดการเดินทาง นี่ขนาดยังไม่ได้เริ่มเดินทางตามบันทึกของสามสหายแห่งการายานะเนี่ย ถ้าเริ่มเดินทางแล้วพวกเขาจะพบเจออะไรที่แย่ยิ่งกว่านี้อีกไหม
หรือเราควรยกเลิกดี เป็นครั้งแรกที่กัณหาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าการเอาชีวิตมาเสี่ยงตายในดินแดนที่ไกลแสนไกลแบบนี้มันถูกต้องหรือไม่

“ลงมานะเจ้าค่ะ คุณ ลงมาประเดี๋ยวนี้เลย” แม่นมเอ็ดใส่เธออยู่เบื้องล่างต้นไม้ สายตาที่มองขึ้นมานั้นเต็มไปด้วยความตกอกตกใจ
        “พุทโธ่ แม่นม ข้างบนนี้ไม่เห็นมีกระไรเสียหน่อย อากาศข้างบนต้นไม้นี้เย็นสบาย มีรังนกอยู่ตรงมุมด้านนู้นเสียด้วย” เด็กน้อยยังคงไม่ยอมลงนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ลองปีนต้นไม้ด้วยตนเอง มีหรือจะยอมลงง่ายๆ
         “ไม่ได้นะเจ้าค่ะ เป็นเจ้าเป็นนายจะปีนต้นไม้ได้อย่างไรกัน ผู้อื่นมาเห็นจะครหาเอาได้ อีกอย่างปีนขึ้นไปตกลงมาคอหักตายได้นะเจ้าค่ะ” แม่นมว่าเสียงดัง “ลงมาประเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าค่ะ” 
เธอหน้างอเล็กน้อยก่อนค่อยๆขยับถอยลงมาจากต้นไม้ แต่ระหว่างนั้นเอง เกิดสะดุดก้านหนึ่งไถลลงมาจากตำแหน่งเดิมอย่างรวดเร็ว 
         “โอ๊ย” เธอร้องครางเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่ข้อเท้าข้างซ้าย มือยังคงไขว่คว้าเอากิ่งไม้ใกล้ตัวไว้ได้ แต่สองเท้านั้นห้อยอยู่กลางอากาศสูงจากพื้นหลายวา
         “ว๊าย” แม่นมอุทาน มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกใจมากกว่าเดิม หล่อนรีบกระวีกระวาดมาอยู่ใต้ตรงที่เธอห้อยอยู่ “ปล่อยมือเจ้าค่ะ ปล่อยมือเลย แม่นมรอรับคุณอยู่เจ้าค่ะ”
         “ไม่เอา ฉันกลัว มันสูงมากเลย”  กัณหาร้อง เธอชำเลืองมองลงไปใต้ต้นไม้ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน 
         “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวเจ้าค่ะ ปล่อยมือเสีย” แม่นมยังยืนยันคำเดิม “ยิ่งคุณจับไว้แน่นคุณก็จะยิ่งเจ็บมือนะเจ้าค่ะ ไม่ต้องกลัวเจ้าคะ ลงมาหาแม่นมนะเจ้าค่ะ”
         “ฮือ แม่นม”
         “ลงมาเจ้าค่ะ ปล่อยมือนะเจ้าค่ะ”
         แล้วเธอก็ตัดสินใจปล่อยมือ เธอร่วงลงมาหลายวา หล่นลงบนอ้อมแขนของแม่นม  เพราะแรงจากร่างเธอหล่นลงมา ทำเอาแม่นมเซลงไปก้นกระแทกพื้นเสียงดัง เธอร้องไห้โฮ ทั้งที่ไม่มีบาดแผลใดๆ และไม่เจ็บตรงไหน
         “ไม่เป็นไรนะ เจ้าค่ะ” แม่นมยังคงปลอบเธอ มือโอบกอดร่างเธอไว้แน่น และปลอบเธอด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน  แม้ท่านจะทั้งจุกบริเวณท้องที่เธอหล่นลงมากระแทกและเจ็บบริเวณก้นที่ทรุดลงไปกระแทกพื้นดินก็ตาม

คิดถึงท่านเหลือเกิน กัณหาคิดในใจ  ถ้าปล่อยมือ ถ้าเลิกเดินทาง หันกลับไปเรือนที่เคยอยู่ แล้วเจอท่านก็คงจะดี แต่ในความเป็นจริง ถ้าเธอถอยหลังกลับ เธอก็จะไม่ได้เจอท่านอีก แต่ถ้าเธอยังยืนยันจะไปต่อ เธอก็อาจจะได้เจอท่าน
        หรือก็อาจจะเอาชีวิตมาทิ้งก่อนจะได้เจอท่านก็ได้
        “นั่นพวกเขามาละ” เสียงเบซาดังขึ้นจากอีกฟากของกรงขัง เขาลุกขึ้นยืน กัณหามองตามสายตาเขาไป เห็นคบไฟเคลื่อนที่เข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ สักพักพวกเขาก็เห็นกลุ่มคนผิวคล้ำ ในชุดเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลและกางเกงขายาวสีน้ำตาลมารุมล้อมกรงของพวกเขาไว้จำนวนมาก
        “โอ๊ะ โอ่ พวกเราจับเหยื่อได้มากกว่าหนึ่งนะนี่” หนึ่งนั้นพูดกับพวกเขาด้วยภาษาของชาวเมืองโกวา “ดูนั่นสิ เหมือนคนคุ้นเคย”
        “เบซา” ชายอีกคนพูดต่อทันที “ดูเหมือนเจ้าจะพูดไม่รู้เรื่องนะเนี่ยว่า ช่วงนี้เราไม่ยินดีต้อนรับคนแปลกหน้า”
        “โธ่ สหายเก่ามาเยี่ยมเยือน คงไม่ผิดกระไรมากใช่หรือไม่” เบซาเอ่ยทันที “ข้ามีแขกมาด้วย ได้โปรดปล่อยพวกเราออกไปเถอะ ข้ากับพวกเขานั่งอยู่ในนี้มาหลายชั่วยามแล้ว”
        “ข้าว่าเราแจ้งเจ้าไปแล้วมากกว่าหนึ่งครั้งแล้วว่า เราไม่ยินดีต้อนรับคนแปลกหน้า แต่เจ้าก็ยังฝ่าฝืนมาที่นี่ ในเมื่อเจ้าไม่ฟังคำเตือนของพวกเรา เราก็คงต้องจัดการตามกฎที่เคยบอกไป”
        “หมายความว่ายังไง” เบซาชะงัก ทุกคนในกรงพากันหันมามองเบซาและชายที่อยู่นอกกรงนั้นเป็นตาเดียว
        “เราตั้งกรงนี้เพื่อดักสัตว์มาเซ่นไหว้ บวงสรวงบรรพบุรุษของเรา ในเมื่อเจ้าลอบเข้ามาอยู่แทนที่สัตว์ของเรา เห็นทีเราคงต้องใช้เจ้าเป็นเครื่องเซ่นไหว้แทนสัตว์เหล่านั้นแล้วล่ะ”
        “ห๊า ว่าไงนะ” แหวนกับอาติพูดพร้อมกัน กัณหาเองก็มองชายคนนั้นอย่างตกใจ ช่วงผุดลุกขึ้นทันทีด้วยสีหน้าแสดงความตกใจเช่นเดียวกัน
        “ตามนั้นแหละ” ชายอีกคนตอบหัวเราะชอบใจ “จับพวกมันมัดไว้และพากลับหมู่บ้านของเรา”
เสียงโห่ร้องอย่ามีชัยดังกระหึ่มไปทั่วผืนป่า นี่เป็นครั้งแรกที่กัณหาไม่รู้สึกยินดีมีชัยไปกับพวกเขาด้วย

 


         “แย่ แย่ที่สุด” แหวนพึมพำ เดินวนรอบเสาไม้ที่พวกเขาถูกมัดไว้อย่างลนลาน
         ชาวตาโกนันแบกพวกเขากลับมาที่หมู่บ้านด้วย พวกเขาจับมัดมือของทุกคนไขว้ไว้ด้านหน้าด้วยเชือกอย่างแน่นหนา พร้อมทั้งร่ายอาคมลงสำทับด้วย และเอาเชือกที่มัดพวกเขามัดไว้กับเสาไม้ไผ่คนละต้นที่ลานกลางหมู่บ้าน มีคบไฟปักไว้บนพื้นรอบเสาที่พวกเขาถูกมัดไว้ เชือกที่มัดพวกเขาไว้นั้นยาวพอให้พวกเขาเดินวนรอบเสาได้โดยสะดวก แหวนจึงเดินวนรอบๆเสาอย่างวิตกกังวล ในขณะที่คนอื่นๆนั่งอย่างปลงอนิจจังที่เสาของตน ไกลออกไปเสือโคร่งตัวใหญ่ถูกขังไว้ในกรงไม้ไผ่ฟากตรงข้าม เจ้า    เสือตัวใหญ่นอนหมอบอยู่ในกรงอย่างสงบเช่นเดียวกับพวกเขา
         “เอ็งเลิกเดินเถอะ แหวน” ช่วงถอนใจอย่างหนักหน่วง “ข้าเวียนหัว”
         “พวกท่านยังมีอารมณ์นั่งเฉยๆได้อยู่รึ พรุ่งนี้เช้าพวกเขาจะฆ่าพวกเรานะ” แหวนแหวออกมา
         “แล้วการเดินช่วยอะไรเอ็งได้ไหมเล่า” ช่วงถามต่อ “นั่งลง และใช้สมองคิดหาวิธีการซะ”
         “ก็ข้าคิดไม่ออกถึงได้เดินวนไปวนมานี่ยังไง” แหวนเถียงทันควัน มองไปรอบๆเพื่อนร่วมทางของเธอแต่ละคนมีสีหน้าเฉยชาดูไม่วิตกกังวลสิ่งใดเลย “พวกท่านไม่คิดจะขยับทำอะไรรึไง”
         “คิด แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก” กัณหาถอนใจรอบที่ร้อยได้แล้วมั้ง
         “ถ้าทำได้ ข้าคงไม่นั่งเฉย เช่นนี้หรอก” อาติตอบอย่างสงบ เบซายิ้มเมื่อได้ยินประโยคนั้น
         “เจ้านกโง่นั่นก็บินหนีเราไปเลย” แหวนโวยวายอย่างหงุดหงิด
กัณหาที่นั่งนิ่งมานาน คิดถึงเจ้านกน้อยขึ้นมา ตอนช่วงที่ชาวตาโกนันวุ่นวายกับการขนย้ายพวกเขาจากในกรงขังมาถึงหมู่บ้าน เธอแอบปล่อยเจ้านกน้อยไป แม้ว่ามันจะไม่ยอมไปก็ตาม

 “เธอรีบหนีไปก่อน เร็ว”
         “แล้วพวกท่านล่ะ” เจ้านกถามอย่างหวั่นวิตก “จะให้ข้าทิ้งพวกท่านแล้วเอาชีวิตรอดไปผู้เดียวได้อย่างไร”
         “เราหนีไม่ได้ ถ้าเราถูกจับหมดจะลำบากมากกว่า ฉะนั้นตอนนี้มีเธอเท่านั้นที่หนีได้ จงหนีไปเสียก่อน ถ้าสบโอกาสค่อยหาทางกลับมาช่วยเรา”
         “แต่…”
         “ไปซะ เร็ว เราไม่มีเวลาแล้ว”

กัณหานึกเศร้าใจที่ต้องปล่อยเจ้านกน้อยไป แต่เจ้านกการเวกจะทำอะไรได้ เมื่อมีคนทั้งหมู่บ้านจ้องจะฆ่าพวกเขา เธอเองก็เคยคิดจะใช้เจ้านกน้อยร้องเพลงให้พวกตาโกนันหลับ แต่ทำเช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อพวกเขาถูกมัดและพันธนาการด้วยอาคม อาคมที่ต้องอาศัยชาวตาโกนันแก้อาคมให้เท่านั้น  ฉะนั้นแล้วถ้าเจ้านกน้อยหนีไปได้ ก็ควรปล่อยมันไปเป็นอิสระมากกว่าจะรั้งมันให้มาตายไปพร้อมกับพวกเขา

ตึก ตึก 
        ทุกคนที่ลานนั้นหันไปมอง เห็นชาวตาโกนันหลายคนทยอยกันเดินเข้ามาในบริเวณลานกลางหมู่บ้านที่มัดพวกเขาไว้ทั้งที่ฟ้ายังไม่สาง บางคนถือคบไฟมาด้วย บางคนถือเครื่องดนตรีเข้ามา บางคนถือมีดดาบเข้ามา บางคนถือตะกร้าใส่ของบางอย่างเข้ามาเป็นจำนวนมาก แหวนหยุดเดินและชำเลืองมองพวกเขา
        “พวกเขาจะเริ่มพิธีแล้วหรือ” อาติหันไปถามเบซา
        “ปกติที่ข้าเคยเห็นพิธีเซ่นไหว้ของพวกเขามักจะจัดกลางวันนะ พวกเขาอาจแค่มาเตรียมการไว้ก่อนก็ได้” เบซามองพวกชาวตาโกนันอย่างไม่สบายใจเช่นกัน 
         ลานฝั่งตรงข้ามกับที่พวกเขาถูกมัด ชาวตาโกนันบางส่วนเริ่มต้นตีกลองใบใหญ่รัวๆเหมือนเป็นสัญญาณอะไรสักอย่าง เมื่อเขาเริ่มตี เจ้าเสือที่ถูกขังในกรงไม่ห่างจากตรงที่เขาตีกลองมากนัก เริ่มลุกขึ้นยืน และเดินไปรอบๆกรงของมันอย่างกระสับกระส่าย กัณหากับอาติได้แต่มองหน้ากันอย่างไม่สบายใจในชะตากรรมของตนเอง แหวนนั่งลงตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ในขณะที่ช่วงและเบซายังคงนั่งที่เดิมและจ้องเขม็งไปที่ผู้คนรอบตัว
         “ทุกคน” เสียงพูดของใครสักคนถูกขยายให้ดังไปทั่วทั้งบริเวณหมู่บ้าน เสียงนั้นเป็นภาษาของชาวตาโกนัน แต่กัณหาก็เข้าใจทุกคำพูด ทุกคนสะดุ้งหันไปมองหาต้นเสียงแต่ก็ไม่เจอใคร “คืนนี้เรามีนัดกันที่ลานกลางหมู่บ้าน เพื่อจัดพิธีสังหารพวกโกวาที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของเรา ขอให้ทุกคนออกมารวมกันที่ลานกลางหมู่บ้านตอนนี้ เดี๋ยวนี้”
         “ดูเหมือนว่าพวกเขาอยากจะรีบจัดการพวกเราให้เสร็จไปไวๆนะ น่าจะไม่ต้องรอฤกษ์ยามเช้าแล้วล่ะ” อาติหันไปแซวเบซา แต่ไม่มีใครรู้สึกขำไปด้วย
         หลังจากนั้นไม่นานนัก พวกเขาก็เริ่มเห็นผู้คนมากมายค่อยๆทยอยเข้ามาในบริเวณลานตรงกลางหมู่บ้านนี้ เหล่าพวกผู้ชายนุ่งกางเกงขายาวกัน ส่วนพวกผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่นยาวถึงข้อเท้า ชาวตาโกนันพากันเดินมายืนล้อมวงรอบบริเวณที่พวกเขาถูกมัดไว้ ในระหว่างนี้เสือที่อยู่ในกรงห่างออกไป คำรามเสียงดังอย่างแตกตื่นที่เห็นผู้คนมากมายมายืนรายล้อมรอบตัวมัน ชาวตาโกนันหลายคนถอยห่างจากกรงนั้น
         “ถ้าพวกเขาไม่หยุดตีกลอง เสือนั่นอาจเตลิดออกมานอกกรง ฆ่าพวกเราทั้งหมดก็ได้” ช่วงมองเสืออย่างไม่ไว้ใจ
         “เป็นไปไม่ได้หรอกน่า” เบซาว่า “กรงพวกนั้นแข็งแรงมาก ต่อให้ขังเสือสิบตัวยังได้เลย”
         “ท่านแน่ใจหรือ” อาติกระซิบ 
         “แน่ใจสิ ข้าว่า…”
         พูดไม่ทันขาดคำ เจ้าเสือก็กระโจนใส่ประตูกรงไม้ไผ่ ทันใดนั้นประตูกรงก็พังทลายลงในทันทีทันใด ชาวตาโกนันและพวกเขาต่างชะงักมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกตะลึง เสือโคร่งตัวใหญ่จ้องมองตอบกลับมาอย่างมาดร้าย มันกระโจนเพียงครั้งเดียวก็ตะปบชายที่กำลังถืออาวุธปลายแหลมเข้ามาหามันให้ล้มฟาดลงไปกับพื้นจนเลือดสาดกระจายไปทั่ว
          “ท่านเลิกแน่ใจได้หรือยัง” อาติยังไม่วายถามต่อ เบซาหน้าซีดเผือด กัณหารู้สึกว่าสร้อยที่เจ้างูให้ซึ่งห้อยอยู่ที่คอร้อนขึ้นทันที
          “ปีนขึ้นไปบนเสาเร็ว” ช่วงตะโกนบอกทุกคน  กัณหาพยายามปีนขึ้นไปตามเสาไม้ไผ่ แต่มันไม่ง่ายนักเมื่อคุณต้องปีนเสาไม้ไผ่ในขณะที่ถูกมัดมือรวบไว้ด้านหน้า มือของเธอสั่นระริกจนจับเสาไม้ไผ่แทบไม่ได้ ห่างออกไปชาวตาโกนันหลายคนวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศและทาง กัณหาพยายามแข็งใจปีนให้สูงที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สูงจากพื้นเท่าไหร่นัก เธอได้ยินเสียงเจ้าเสือร้ายคำรามอยู่ไกลๆ เธอเผลอชำเลืองมองไปตามเสียงนั้น เห็นผู้ชายหลายคนถือไม้ง่ามอันใหญ่ขึ้นขู่มัน เสือยังคงคำรามขู่ตอบ นัยน์ตาสีเหลืองมองพวกเขาเขม็ง แล้วสักพักมันก็กระโจนไปกัดลำคอของชายคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ชายที่เหลือพากันมองอย่างตกตะลึง เจ้าเสือเหวี่ยงร่างชายคนนั้นขึ้นไปในอากาศ ร่างนั้นหล่นลงมากระแทกโดนชายอีกคนหนึ่ง เลือดสีแดงสดสาดกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ…
           ชายชราชาวตาโกนันคนหนึ่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาถึงบริเวณลานกลางหมู่บ้าน  เมื่อมาถึงเขาก็เริ่มร่ายอาคม ทำให้เจ้าเสือที่กำลังกัดคอชายอีกคนอยู่หันมามองและกระโจนใส่เขาทันที ชายคนนั้นใช้อาคมซัดกลับ เจ้าเสือหงายหลังหล่นลงมากระแทกพื้น ระหว่างที่มันเสียหลักชายคนนั้นถือความได้เปรียบเริ่มร่ายอาคมกักขังมัน แต่โชคร้ายเขายังไม่ทันได้ร่ายอาคมเสร็จดี เจ้าเสือกลับมาตั้งหลักได้ก่อน มันกระโจนไปกัดคอเขาอีกครั้ง จนทรุดล้มลงทันที ในระหว่างนั้นชายหญิงอีกสองสามคนรีบเข้ามาร่ายอาคมผลักไสเจ้าเสือออกไปจากร่างของเขา แต่เจ้าเสือดูจะรู้ทัน มันขย้ำคอเขาขึ้นมาและสะบัดเหวี่ยงร่างของเขาออกไปฟาดโดนคนที่เข้ามาช่วยล้มไปหนึ่งคน
          “ใช้อาคมสู้เสือตัวใหญ่ขนาดนี้ไม่ไหวหรอก” อาติที่อยู่เสาถัดไปพูดขึ้นมา “เสือในดินแดนแถบนี้เป็นสัตว์ที่ดื้อต่ออาคมอยู่แล้ว แถมเสือนั่นตัวใหญ่มาก ว่องไวและมีพละกำลังมากกว่า”
          “เราทำอะไรได้ไหม ช่วยเขายังไงดี” กัณหาหันไปหาอาติ
          “ท่านสองคนช่วยกันเสกอาคมแบบที่การายาไม่ได้หรือ” แหวนถามขึ้นมา หล่อนเริ่มเสียงสั่นด้วยกลัวว่าชายชรานั่นจะตายเหมือนชายหนุ่มที่ถืออาวุธ ที่บัดนี้เขานอนแน่นิ่งไม่ได้สติ พวกเพื่อนๆของเขากำลังรุมกันช่วยห้ามเลือดที่คอ “อาจมีพลังมากขึ้นนะ”
          “จะช่วยยังไง มือเราถูกมัด จะร่ายอาคมก็ยังไม่ได้” อาติส่ายหน้า
          “แม่เฒ่าบอกว่า การฝึกเสกอาคมร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องมีการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกันเลย  มันอยู่ที่เจ้าสามารถหลอมรวมจิตเจ้าให้เป็นหนึ่ง เพ่งในสิ่งสิ่งเดียวกัน กำหนดให้อาคมออกมาร่วมกัน”
          “เรื่องนั้นข้ารู้หรอกน่า แต่ว่าทุกทีที่เราฝึกการใช้อาคมร่วมกัน เราใช้ท่าทางช่วยให้ควบคุมอาคมให้ไปพร้อมกัน เราไม่เคยเสกอาคมเฉยๆโดยไม่ใช้ท่าทางช่วย แต่ตอนนี้มือเราถูกมัดไว้อย่างนี้ เราจะควบคุมให้มันไปพร้อมกันได้อย่างไร จะกลายเป็นว่าเราเสกอาคมคนละทีมากกว่า”
          “ก็ลองตั้งจิตอย่างเดียว” กัณหาตอบทันที “ฉันเชื่อว่าถ้าเราตั้งจิตให้มั่น มันจะสามารถรวมกันเป็นหนึ่งได้ แม้ว่าเราจะไม่ได้ใช้ท่าทางช่วยก็ตาม ลองดูก่อน”
          “เอ๊า ลองก็ลอง” อาติว่า ช่วงมองมาทางพวกเขาอย่างกังวล ในขณะที่เบซาหน้าซีดเซียวเหมือนจะเป็นลม
          “แล้วเราจะใช้อาคมบทไหน” อาติถาม “ยกมันขึ้นกลางอากาศก็ไม่น่าจะอยู่ได้นาน ดูจากเรี่ยวแรงของมันแล้ว”
          “อุ้มมันออกไปจากที่นี่ เอาไปไว้ในป่าด้านโน้นได้ไหม” เบซาแทรกขึ้นมา เขาพยักพเยิดไปทางป่าที่อยู่อีกด้านของหมู่บ้าน กัณหากับอาติมองเขาอย่างประหลาดใจ 
          “แล้วมันอาจจะย้อนกลับมาทำอันตรายพวกเราได้นะ” กัณหาแย้งขึ้นมา
          “ไม่หรอก” เบซาตอบอย่างมั่นใจอีกครั้ง แหวนถึงกับมองหน้าเขาอย่างเหลือเชื่อ “เสือโคร่งเป็นสัตว์ดุร้ายก็จริง แต่พวกมันไม่ล่ามนุษย์ ถ้าตอนนี้มันอยู่ในป่า มีทางหนี พวกมันจะหนี ยกเว้นแต่ว่าเจ้าเข้าไปในอาณาเขตของมัน มันจะขู่เพื่อให้เจ้าออกไป มันไม่ได้คิดจะทำร้ายมนุษย์ที่ตัวใหญ่พอๆกับมัน ที่มันเริ่มต้นทำร้ายคนเพราะคนเข้าไปจับตัวมันมาและมีท่าทีคุกคามทำร้ายมันก่อน เมื่อมันจนตรอกก็จำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอด” เบซาพยักพเยิดไปทางชาวตาโกนันหลายคนที่พยายามเสกอาคมจับเสืออยู่ “ถ้าเจ้าพามันกลับป่าที่เป็นบ้านของมัน มันจะหนีไปเอง เชื่อข้า”
          “ข้าไม่นึกอยากเชื่อเล้ย” แหวนแอบพึมพำกับตัวเอง
          “งั้นหรือ” อาติก็มีท่าทีลังเลใจ
          “เชื่อข้าเถอะ ข้าเดินป่ามามากกว่าครึ่งชีวิต เคยเจอเสือโคร่งมานับครั้งไม่ถ้วน แต่น้อยครั้งนักที่มันจะเข้ามาทำร้ายเรา เชื่อข้าเถิด ทุกคนก็รักชีวิตของตนเองทั้งนั้น อย่าต้องฆ่าแกงกันเลย”
          “จ้ะ เราจะเอาตามนั้น” กัณหาตัดสินใจทันที “ถ้างั้นเริ่มกันเถอะ อาติ ช่วยกันยกเจ้าเสือนั่นกลับสู่ป่า บ้านของมันกันเถอะ”
          “ไกลนะ ไกลกว่าที่เราเคยฝึกมากเลย” อาติยิ้มเจื่อนๆให้กัณหา เมื่อนึกถึงการฝึกครั้งสุดท้ายของพวกเขาที่ยังยกหินนั่นไปได้ไม่ไกลนัก “ถ้าเราหมดแรงก่อน ทำมันหล่นกลางทาง เจ้าเสือนั่นอาจตายได้นะ”
         “ได้สิ เราต้องทำได้” กัณหาดูมุ่งมั่น “ เธอต้องเชื่อใจฉันรึเปล่า มันจึงจะสำเร็จ มันอยู่ที่เราจะเชื่อใจกันมากน้อยแค่ไหน”
          อาติมองกัณหาแล้วก็ยิ้ม 
          “ได้ เราต้องทำได้” เขาฉีกยิ้มกว้าง “เริ่มพร้อมกันนะ หนึ่ง สอง สาม” 
          กัณหาหลับตาแน่นทั้งที่มือยังยึดกับเสาไม้ไผ่ไว้ แต่จิตเธอเพ่งไปถึงเจ้าเสือใหญ่ที่กำลังต่อสู้ฟัดกับชาวตาโกนันอยู่เบื้องล่าง ทันใดนั้นเสือตัวใหญ่ก็ค่อยๆลอยสูงขึ้น สูงขึ้นจากบริเวณลานกลางหมู่บ้าน ทุกคนที่อยู่กลางลานนั้นพากันมองตามมัน ร่างของเจ้าเสือค่อยๆลอยออกจากหมู่บ้านไปทางแนวชายป่าที่ไกลออกไป สักพักเจ้าเสือที่บาดเจ็บจากการต่อสู่กับคนก็ดูประหลาดใจที่ร่างของมันถูกวางลงบนผืนป่าที่กว้างใหญ่ของสุลาวารีอย่างนุ่มนวล มันรีบกระโจนหนีออกไปฝั่งตรงข้ามทันที โดยไม่สนใจวกกลับมาในหมู่บ้าอีกเลย
          “โชคดีนะ ท่านเจ้าป่า” เบซาพึมพำ
           ห่างออกไปที่ต้นไม้ริมลานกลางหมู่บ้าน เจ้านกการเวกผู้ซึ่งยังคาบเชือกไว้คาปากอยู่ มองเหตุการณ์ทั้งหมดจากบนต้นไม้นั่นแล้วก็ถอนใจ