“ไม่มีแล้ว!?” เสียงของแหวนดังลั่นไปทั่วบริเวณตลาดในยามรุ่งสางที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ทำเอาคนอื่นที่อยู่โดยรอบตัวหล่อนพากันตกอกตกใจ “ทำไมละ ทำไมไม่มีลูกหาบไปหมูบ้านตาโกนันแล้ว”
        “เมื่อเดือนก่อน พวกตาโกนันมีปัญหากับชาวเมืองโกวาเล็กน้อย ชาวตาโกนันไม่พอใจ ก็เลยละทิ้งหมู่บ้านและอพยพย้ายหนีเข้าไปในป่าลึกแล้ว บริเวณหมู่บ้านตาโกนันตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว พวกลูกหาบเลยยกเลิกการเดินทางไปด้วย” เสียงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆจากชายผิวคล้ำ ผมหยิกดำ ชาวโกวาที่ชื่อ เบซา ชายที่แอเรียนแนะนำให้พวกเขามาหา
        “ว่าไงนะ” อาติแหวนตกอกตกใจ “มีปัญหาอะไรกัน ถึงขั้นต้องย้ายหมู่บ้านหนี” 
        “เฮ้ย มันเป็นเรื่องการเมือง ข้าเองก็ไม่รู้นักหรอก เอาเป็นว่าตอนนี้ไม่มีใครไปที่หมู่บ้านตาโกนันอีกแล้ว”
        “แล้วเรือเหาะละ ยังมีบริการอยู่ไหม” กัณหายังไม่ยอมหยุด เธอสู้อุตส่าห์เดินทางข้ามน้ำ ข้ามเกาะมาอย่างยากลำบากเพื่อให้เขามาบอกเธอว่าเรือเหาะยกเลิกแล้วงั้นหรือ แล้วที่ผ่านมาทั้งหมดล่ะ คืออะไร
        “ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะยกเลิกการเดินเรือเหาะด้วย ชาวตาโกนันปฏิเสธที่จะพบคนจากโลกภายนอกทั้งหมดหลังเกิดปัญหานั้น ตอนแรกพวกเขาก็ปิดหมู่บ้านไม่ให้เราเข้าไป ต่อมาก็ย้ายหนีเข้าไปในป่าลึกและสั่งห้ามพวกเราเข้าไปหาพวกเขาอีก จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะให้บริการเรือเหาะ” เบซาถอนใจ “ใช่ว่าข้าไม่อยากพาพวกท่านไปนะ ข้าอยากพาไปมาก เพราะหลังจากชาวตาโกนันไม่ยอมให้ใครเข้าไปในหมู่บ้านของเขา งานนำทางลูกค้าของข้าก็พลอยต้องหยุดไปด้วย”
         “แล้วเราจะทำอย่างไร” แหวนหันมามองทุกคนรอบตัว เธอมองที่กัณหานานเป็นพิเศษเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายพยายามอย่างมากที่จะเดินทางมาถึงที่นี่ แล้วพอมาถึงที่นี่จริงๆกับมาเจอสถานการณ์แบบนี้ หล่อนมั่นใจว่ากัณหาต้องเสียใจมากแน่ๆ เพราะมันหมายความว่าทุกอย่างที่พวกเขาฝ่าฟันมันมีอันต้องสูญเปล่า
         “ยกเลิกการเดินทาง” ช่วงพูดทันที “หรือไม่ก็หาวิธีอื่นสำหรับเดินทาง อาจจะเปลี่ยนไปใช้เรือสำเภาแทน”
         “พวกเขาแค่ย้ายหมู่บ้านไปใช่ไหม ไม่ได้แปลว่าจะยกเลิกการขับเรือเหาะนี่นา” กัณหาพูดเบซาด้วยน้ำเสียงเกือบจะอ้อนวอน ราวกับคนกำลังหาหลักพึ่งพิง “ได้โปรดพาพวกเราไปหาชาวตาโกนันได้ไหม เรามีเรื่องจำเป็นต้องใช้เรือเหาะจริงๆ ฉันจะไปขอร้องพวกเขาด้วยตนเอง”
“พาไปนะไปได้ แต่ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรละ ในเมื่อชาวตาโกนันปฏิเสธที่จะต้อนรับคนภายนอกอย่างนี้” เบซาส่ายหน้า “อย่าไปเลย ไม่มีประโยชน์หรอก ท่านไปก็จะถูกพวกเขาไล่กลับมาเปล่าๆ เชื่อข้าเถอะ”
          กัณหานิ่งไป รู้สึกหัวใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม การเดินทางที่แสนยากลำบากของเธอกว่าจะมาถึงที่นี่กลับจบลงด้วยคำว่าที่นี่ไม่มีเรือเหาะ ทั้งที่ตอนที่เธอออกเดินทางจากแผ่นดินใหญ่เมื่อเดือนก่อนมันยังมีอยู่เลย
         “ไปเถอะ” ช่วงบอกกัณหา “ กลับกัน พวกแอเรียนยังขายของในเมืองเสร็จหรอก เราไปที่เรือ ขอติดเรือของพวกเขาเดินทางกลับด้วย”  
         “แต่…” กัณหารู้สึกแย่มาก เธอหันไปหาเบซาอีกที “พาพวกเราไปหมู่บ้านใหม่ของพวกตาโกนันได้ไหม ขอร้องละ อย่างน้อยให้เราได้ไปเจรจาขอร้องพวกเขาก่อน”
         “มันไม่มีประโยชน์หรอก ก็อย่างที่เบซาบอก ต่อให้เราไปถึงหมู่บ้านจริง ก็ไม่ได้แปลว่า พวกตาโกนันจะยอมช่วยเรานี่” ช่วงห้ามปราม ดึงแขนกัณหาให้หันกลับ “กลับเถอะ คุณหนู เราตกลงกันแล้ว”  
          “ไม่” กัณหาพูดขึ้นมาทันที เธอสะบัดมือช่วงทิ้ง “ฉันอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงที่นี่ เดินทางไม่ใช่น้อยๆนะ แล้วอยู่ๆจะให้ฉันกลับมือเปล่าได้ยังไง”
          “ท่านสัญญากับข้าแล้วว่า..” 
          “ฉันแค่สัญญาว่าถ้ามีภัยอันตราย แต่ตอนนี้ที่เมืองโกวาก็ปลอดภัยดี ไม่ได้มีภัยอันตรายใดใด แล้วทำไมฉันต้องกลับด้วย ในเมื่อฉันยังไม่ถึงหมู่บ้านตาโกนันเลย”
          “คุณหนู” ช่วงปราม แต่กัณหาไม่ฟัง
          “ถ้าท่านอยากกลับก็กลับไป ฉันอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว ฉันจะต้องไปให้ถึงหมู่บ้านตาโกนันให้ได้ ขอให้ฉันได้คุยกับพวกเขาก่อน ถ้าไม่สำเร็จค่อยว่ากัน” กัณหายังยืนยันอย่างหนักแน่น อาติ แหวน และจี้ดได้แต่มองหน้าพวกเขาสลับกันไปมา
           ช่วงดูยุ่งยากใจมาก เขาหันไปหาแหวนแทน “เจ้าอยากจะเข้าป่าดงดิบหรือ ชาวตาโกนันย้ายที่ไปใหม่ ไม่รู้หมู่บ้านใหม่อยู่ลึกแค่ไหน ต้องเดินเท้าไปอีก แน่ใจรึ ไม่กลัวเสือสิงห์ในป่าหรือไง”
           “เออ..” แหวนดูลังเลใจ หล่อนมองมาที่กัณหา “เรากลับกันดีไหมเจ้าค่ะ คุณหนู ต่อให้เราเจอชาวตาโกนันจริง เบซาบอกว่าพวกเขาไม่ต้อนรับคนภายนอกเช่นนี้ เราเข้าไปพวกเขาจะไม่ฆ่าเราทิ้งหมดหรือ”
           “แหวนจะกลับก็กลับเถอะ แต่ฉันยังไม่กลับ” กัณหายืนยัน หันไปหาเบซาอีกที “พาเราไปได้ไหม ขอร้องละ”
           แหวนหันมามองช่วง ในขณะที่เบซาดูลังเลใจ เขาคิดว่าเด็กคนนี้คงมีความจำเป็นมากจริงๆ ถึงยืนยันจะเข้าไปหมู่บ้านนั้นให้ได้ทั้งๆที่คนรอบตัวห้ามปรามมากขนาดนี้  แววตาของเธอดูมุ่งมั่นผิดแผกไปจากเด็กทั่วไป คงมีอะไรบางอย่างที่จำเป็นมากจริงๆกว่าที่เขาจะเข้าใจ ระหว่างนั้นเจ้านกการเวกและอาติได้แต่มองแต่ละฝ่ายไปมา
           “ก็ได้ ข้าไม่เคยเข้าไปหมู่บ้านใหม่ก็จริง แต่เห็นไกลๆสองสามครั้ง ถ้าท่านจำเป็นมากจริงๆ ข้าจะพาไป แต่ส่งนอกหมู่บ้านนะ เพราะข้าบอกแล้วว่าชาวตาโกนันไม่ต้อนรับคนภายนอกช่วงนี้ ข้าจะส่งพวกท่านหน้าหมู่บ้าน ส่วนท่านจะทำอะไรก็แล้วแต่ท่านแล้วกัน”
           “เบซา!!!” ช่วงร้องอย่างเหลืออด  “เจ้าก็รู้ว่าไปแล้วชาวตาโกนันก็จะไม่ต้อนรับ แต่เจ้าก็ยังจะพานางไป”
           “ก็นางดูมีความจำเป็นมากที่จะต้องไปที่นั่น” เบซาพูดช้าๆ 
           “งั้นท่านไปก็ได้ แต่ข้ากับแหวนจะกลับแล้วนะ” ช่วงขู่เบาๆ แกล้งหันหลังกลับ แต่แหวนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม 
           “ข้าบอกกับแม่แล้วว่าจะมาเป็นเพื่อนท่าน” แหวนพูดทันที “ข้าก็ต้องรักษาสัญญาสิ ข้าจะไปกับท่านคุณหนู” 
           “ข้าไปด้วย” อาติยิ้มให้กัณหาด้วย เจ้านกการเวกที่เกาะไหล่เขาพยักหน้าด้วยเช่นกัน “ข้าว่าอุตส่าห์มาตั้งไกล ก็ควรไปให้สุดทางจริงไหม” 
           “พวกเจ้า!!!” ช่วงร้อง ดูหงุดหงิดมากกว่าเดิม แต่ไม่อาจห้ามปรามใครได้ 
           “ท่าน ใจเสาะนัก อยากกลับก็กลับไป” แหวนโบกมือไล่  “ไป ไป๊”

 


            เสียงนกร้องดังอยู่ไกลๆ เสียงใบไม้กระทบเสียดสีกันยามพวกเขาเดินผ่านต้นไม้แต่ละต้นตามทางที่เดินมา เงาต้นไม้เบื้องบนส่ายไหวไปมาเล็กน้อย แสงแดดรำไรตกลงมาบนใบของต้นไม้ที่เป็นพุ่มเบื้องล่างผืนป่า  เมื่อหันหลังย้อนกลับไปมองตามทางที่เพิ่งเดินผ่านมา แทบมองไม่เห็นทางเดิน มีแต่ป่าและต้นพืชข้างทางบดบังมันไปจนหมดสิ้น
            “มองไปทางไหนก็มีแต่ป่า” แหวนพึมพำเหมือนบ่นกับตัวเอง “แล้วเขาจำทางได้ไงกันนะ” 
            “ก็เหมือนในเมือง” เจ้านกการเวกที่บินอยู่ไม่ไกลนัก ส่งเสียงล้อเลียน “มีแต่บ้านเรือนเหมือนกันไปหมด เจ้าจำทางได้ไง” 
            แหวนหันไปมองอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เจ้าการเวกบินวนเล่นข้างศีรษะหล่อนอย่างอารมณ์ดี ดูเหมือนว่าการกลับเข้ามาอยู่ในป่าอีกครั้งทำให้เขามีความสุขมาก ขยับปีกโบยบินอย่างร่าเริง
            “ฝากไว้ก่อนเถิด” แหวนคาดโทษ เจ้านกยิ้มยั่วยวนกวนประสาท
พวกเขาเดินมาในป่าเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ยังไม่เจออะไรนอกจากต้นไม้ ใบไม้ ไส้เดือนและหนอนตามพื้นดิน กัณหารู้สึกเหนื่อยมากจากน้ำหนักของสัมภาระที่แบกและการเดินไกลอย่างที่ไม่เคยทำ แต่อย่างไรก็ตามสภาพอากาศโดยรอบที่เย็นสบายและชื้นตลอดทาง ทำให้ช่วยให้พวกเขาเดินอยู่กลางป่าได้นาน
            “ข้าเพิ่งเคยเดินป่าลึกๆแบบนี้เป็นครั้งแรก” อาติบอกระหว่างเดินตามหลังกัณหามา        “เหนื่อยเล็กน้อย แต่อากาศสดชื่นกว่าในเมืองมากนะ”
            “จริง” กัณหาเห็นด้วย แสงแดดที่มาถึงพวกเขาขนาดเป็นช่วงเกือบเที่ยงแล้วก็ยังไม่ร้อนมากนัก
           “เราพักตรงนี้ก่อน” เบซาชี้ไปตรงที่ว่างแคบๆ ใต้เงาต้นไม้ใหญ่ “พักกินอาหารสักพักแล้วค่อยออกเดินต่อ”
           “หมู่บ้านนั่นอีกไกลไหม” ช่วงถามระหว่างที่ทุกคนปลดเปลื้องสัมภาระลงข้างตัว แหวนเอาเสื่อผืนเล็กๆปูลงบนดินให้ทุกคนนั่งรวมวงกันรับประทานอาหาร
           “ไม่ไกลมากอีกสักวันน่าจะถึง” เบซาตอบ
           “ในป่านี้มีสัตว์เยอะไหม” แหวนถามมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง “พวกเสือ งู อะไรทำนองนี้”
           “มีเยอะมาก” เบซายิ้มเมื่อได้ยินคำถามนี้ “นี่มันในป่านะ เจ้าจะคาดหวังอะไร”
แหวนหน้าเสียดูหวาดกลัวเล็กน้อย เบซาหัวเราะต่อก่อนเอ่ยขึ้นว่า “สัตว์พวกนี้ถ้ามันไม่ได้หิวโซ พอมันได้กลิ่นมนุษย์ มันก็หนีหมดแหละ ในป่าไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเช่นเดียวกัน สัตว์ป่าเหล่านี้ก็ไม่ได้น่ากลัว พวกมันแค่ชอบใช้ชีวิตที่สงบและเป็นอิสระ ถ้าเจ้าจะกลัว กลัวคนดีกว่า คนน่ากลัวกว่าเสือมากนัก”
           “คนรึ” อาติทวนคำ “คนจะน่ากลัวกว่าเสือได้อย่างไร คนยังคุยกันพอรู้เรื่อง ส่วนเสือนี่สิ”
           “แล้วท่านจะได้เห็นเอง” เบซาตอบเรียบๆ “คนนี่แหละ น่ากลัวกว่าสัตว์ร้ายใดๆ”

 

   เย็นวันนั้นพวกเขาเดินทางมาถึงที่ลำธารเล็กๆแห่งหนึ่ง พวกเขานั่งพักและเริ่มเอาอาหารที่เตรียมไว้ออกมานั่งล้อมวงกินกันบริเวณริมน้ำตก ระหว่างนั่งกินกันเบซาเล่าให้พวกเขาฟังถึงเรื่องข้อขัดแย้งระหว่างชาวเมืองโกวากับชาวตาโกนันให้พวกเขาฟังไปด้วย
           “หลังเกิดภูเขาไฟระเบิดที่ระกาตา ทำให้การค้าขายทางเรือหยุดชะงักไปนานเกือบเดือน แน่ละถึงจะมีเรือสำเภาเข้ามาบ้าง แต่ก็น้อยลงจากปกติมากนัก เมืองโกวาของเราอยู่ได้เพราะเป็นเมืองท่า เป็นศูนย์กลางการซื้อขาย เมื่อไม่มีการซื้อขาย ภาษีที่เคยได้จากเรือสำเภา ภาษีจากพ่อค้าก็ลดลงไปด้วย เจ้าชายรูมะห์ เลยเสนอแก่ท่านสุลต่านให้เก็บภาษีสินค้าหลายอย่างที่ชาวตาโกนันเอามาขาย รวมทั้งจะบังคับให้ชาวตาโกนันเสียค่าธรรมเนียมก่อนเอาเรือเหาะขึ้นบินด้วย ถ้าไม่ยอมเสียค่าธรรมเนียมก็จะกีดกันไม่ให้มีใครเข้าไปในหมู่บ้านตาโกนั้น  พวกตาโกนันไม่ยอม แน่ละเป็นข้า ข้าก็ไม่ยอม เรือเหาะนะเป็นวัฒนธรรมของพวกตาโกนันมานานแล้ว ส่วนหนึ่งที่เมืองโกวาของเราเจริญก้าวหน้าขึ้นมาได้ เพราะเราเป็นทางผ่านไปสู่หมู่บ้านตาโกนันนั่นแหละ มีการโต้เถียงกันจนเกือบจะมีสงคราม สุดท้ายพวกตาโกนันปฏิเสธที่จะจ่ายค่าอะไรทั้งนั้นและเดินทางออกจากบริเวณหมู่บ้านเดิม ย้ายเข้าไปอยู่ในป่าลึกกว่าเดิม  และปฏิเสธที่จะขึ้นบินเรือเหาะ พวกตาโกนันนะเป็นชาวป่าชาวเขา พวกเขาอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการค้าขายภายนอกเหมือนอย่างเรา การยกเลิกพวกนี้ไม่ได้มีผลกระทบกับพวกตาโกนันมากนัก แต่พวกเรานี่สิ ได้รับผลกระทบเต็ม ทั้งชีวิตข้าออกเดินทางไปกลับหมู่บ้านและเมืองโกวาเป็นอาชีพหลัก เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครจะได้รับผลกระทบมากกว่ากัน เป็นการออกกฎหมายเพื่อฆ่าตัวตายชัดๆ”
           “แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อ” อาติถาม “เปลี่ยนไปทำอาชีพใหม่เหรอ”
           “ข้าก็ไม่รู้ ตอนนี้ก็ไปรับจ้างเขาแกะปลา ขอดเกล็ดปลาแต่ได้ไม่เท่าไหร่ ไม่สู้รายได้จากการนำทางไปตาโกนันหรอก” เบซาตอบอย่างหัวเสีย “แต่ก็เอาเถิด ดีกว่าไม่มีกระไรกิน”
           “สิ่งที่แย่ที่สุดคือหลังจากเหตุการณ์นั้น ชาวตาโกนันที่เป็นมิตรกับพวกเรามาตลอด เริ่มต่อต้านเราทุกอย่าง ปฏิเสธแม้แต่การเจรจากับเรา และสั่งห้ามเราเข้าไปในหมู่บ้านของเขาอีก” เบซาถอนใจ “ข้าเลยส่งพวกท่านได้แค่ทางเข้าหมู่บ้านนะ ข้าไม่สามารถเข้าไปส่งพวกท่านภายในหมู่บ้านได้ ไม่งั้นพวกตาโกนันจะไล่ตะเพิดเป็นแน่”
            “แล้วเราเข้าไปในหมู่บ้านของพวกเขา พวกตาโกนันจะไม่ไล่เราออกมาหรือ” ช่วงมีสีหน้าไม่สบายใจนัก เขาไม่เห็นด้วยอยู่แล้วที่จะไปหาชาวตาโกนัน
            “ข้าก็ไม่รู้ แต่อย่างน้อย พวกท่านไม่ใช่ชาวเมืองโกวาที่มีข้อพิพาทกันอยู่ ชาวตาโกนันอาจจะไม่ชิงชังพวกท่านเท่าที่ชิงช้าข้าและชาวเมืองโกวาคนอื่นๆ  ข้าได้แต่หวังว่าถ้าท่านข้อร้องอ้อนวอนดีๆ พวกเขาอาจจะใจอ่อนเริ่มบินเรือเหาะอีกครั้ง”
            “พวกข้าดูเป็นนักเจรจาการทูตหรือไง” ช่วงบ่นอย่างหงุดหงิดใจ
             เจ้านกน้อยนั่งซุกหัวไว้ใต้ปีก กัณหารู้สึกอ่อนเพลียมากรู้สึกว่าตาจะปิดอยู่แล้ว เธอขยี้ตาเบาๆแก้ง่วง ส่วนแหวนนั่งหาวขณะเขี่ยกองไฟให้กลับมาลุกโชนเหมือนเดิม ดูเหมือนไม่ค่อยมีใครสนใจฟังช่วงพูดมากนัก
            “ข้าว่าพวกท่านคงง่วงนอนแล้วล่ะ” เบซาเอ่ย เมื่อเห็นสภาพของแต่ละคน “พรุ่งนี้เราคงต้องเดินทางอีกไกล รีบเข้านอนเถิด”


            รุ่งเช้าวันต่อมาพวกเขาตื่นกันตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เหตุผลหนึ่งที่ตื่นเร็วคือ ดูเหมือนทุกคนไม่คุ้นชินกับการนอนกลางป่าในที่โล่งแจ้งขนาดนี้ ทุกคนจึงตื่นเร็วกว่าปกติ หลังจากกินน้ำและอาหารตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ออกเดินทางต่อทันที คาดหวังว่าจะไปให้ถึงหมู่บ้านของชาวตาโกนันก่อนค่ำ พวกเขาเดินทางได้ช้ามากเพราะมีเด็กอย่างกัณหาอยู่ในคณะเดินทางด้วย กัณหาเดินต่อเนื่องกันนานๆไม่ค่อยได้นัก พวกเขาต้องพักทุกๆครึ่งชั่วยาม เพื่อให้กัณหาได้พักก่อนเริ่มออกเดินต่อ ในป่ามองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ทั้งต้นสูงเสียดฟ้าไล่ขนาดมาจนถึงต้นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เสียงนกร้องยังคงมีให้ได้ยินตลอดทาง จี้ดบินไปพร้อมกับพวกเขาอย่างร่าเริงออกนอกหน้ามาก กัณหารู้ดีว่าการได้กลับมาในป่าดงดิบแห่งนี้คงเหมือนการกลับไปบ้านที่ป่าหิมพานต์เลยทีเดียว แม้ว่าต้นไม้และพืชพันธุ์ในป่านี้อาจไม่ค่อยเหมือนในป่าหิมพานต์ก็ตามที กัณหาได้แต่สวดภาวนาขอให้การเดินทางของพวกเขาราบรื่น อย่าได้เจอสัตว์ร้ายในป่าเลย แต่โชคร้ายที่คำอธิษฐานของเธอไม่ค่อยได้ผลนัก
           ช่วงเย็นวันนั้นเองหลังจากเดินอย่างเหนื่อยอ่อนตั้งแต่เช้าตรู่พวกเขาก็ตัดสินใจหาที่นั่งพักบริเวณริมน้ำตกแห่งหนึ่งในป่า น้ำตกนี้สวยงามมาก สายน้ำตกจากก้อนหินขนาดใหญ่ด้านบนหล่นลงมากระแทกทางน้ำเบื้องล่าง ปล่อยไอละอองน้ำให้กระจายไปทั่วทั้งบริเวณ เสียงน้ำตกคลอเคล้าไปกับเสียงแมลงที่ส่งเสียงรอบน้ำตก
          “นั่งตรงนี้แล้วกัน” แหวนเสนอชี้ไปที่บริเวณที่เป็นเนินขึ้นเล็กน้อย “ไปกันเจ้าค่ะ คุณหนู”
กัณหานั่งลงข้างๆแหวน เธอหันไปมองลำธารเบื้องล่างน้ำตกอย่างสดชื่น นึกอยากอาบน้ำเสียเต็มประดา เมื่อวานพวกเขาไม่ได้อาบน้ำ เพราะเบซาเตือนว่าลำธารที่พวกเขาไปพักเมื่อคืนมีสัตว์มีพิษอยู่ไม่ควรลงเล่นน้ำ กัณหาคาดหวังว่าวันนี้เธอจะสามารถลงไปอาบน้ำที่ลำธารเบื้องล่างน้ำตกนั่นได้  
          “ได้ยินเสียงอะไรไหม” อาติถามขณะก้าวตามขึ้นมาบริเวณที่พวกเขานั่ง เขามองไปรอบๆเพื่อหาต้นตอของเสียงแปลกประหลาด เสียงที่เหมือนตัวอะไรสักอย่างเหยียบบนใบไม้วนไปวนมา
          “เสียงอะไร” กัณหากับแหวนถามพร้อมกัน ทั้งคู่มองตามอาติอย่างประหลาดใจ เพราะได้ยินแต่เสียงน้ำตกที่อยู่ด้านหลังพวกเขา
          “ไม่รู้เสียงแปลกๆเหมือนอะไรเดินไปเดินมาบนใบไม้” อาติยังคงมองไปรอบๆไม่หยุด 
          “นั่นตัวอะไรนะ” กัณหาชี้ไปยังอะไรสีน้ำตาลที่เธอเห็นใต้ต้นไม้ “ดูเหมือนตัวอะไรสักอย่าง”
          “ตัวอะไรรึ” ช่วงหันไปมองตามที่กัณหาชี้ เมื่อเห็นเขาก็มีสีหน้าซีดเผือก “นั่นมันลูกกวางนี่”
ทุกคนหันไปมองช่วง ช่วงชี้มือไปที่ร่างที่กำลังวิ่งวนไปมาอย่างสับสนบริเวณพุ่มไม้ไม่ไกลจากริมลำธารที่พวกเขานั่งกันมากนัก เบซาเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
          “แย่ล่ะ ต้องมีกับดักแถวนี้” เบซาหน้าเสีย “รีบหนีกันเร็ว”
          “กับดัก กับดักอะไร” แหวนถามน้ำเสียงตกอกตกใจ อาติเองก็พลอยมีสีหน้าไม่ดีไปด้วย
          “นั่นมันลูกกวาง ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่เองได้ ต้องมีคนเอามาผูกวางไว้ล่อเสือแถวนี้แน่นอน” เบซาตอบ “รีบหนีไปก่อน ขืนอยู่ต่อถ้าไม่เจอกับดัก ก็อาจจะเจอกับเสือได้”
          “ข้าว่าไม่ทันแล้วล่ะ” อาติหัวเราะด้วยน้ำเสียงแปลกๆ กัณหาหันไปมองเขา เมื่อไล่ตามแนวสายตาของเขาไป เธอก็เห็นมัน  สิ่งที่อาติมองอยู่ เสือตัวใหญ่ลายส้มสลับดำขาวยืนอยู่ที่พุ่มไม้ไม่ไกลจากพวกเขามากนัก  มันจ้องมองพวกเขาด้วยดวงตาสีเหลืองอำพัน แยกเขี้ยวขึ้นและส่งเสียงเชิงข่มขู่ กัณหารู้สึกว่าหัวใจเธอหล่นฮวบลงทันใด
          “ค่อยๆถอยช้าๆ” เบซาพูดด้วยเสียงต่ำ  กัณหากับแหวนจับมือกันแน่น กัณหาเริ่มรู้สึกร้อนเหงื่อแตกขึ้นมาฉับพลัน ทั้งๆที่ตอนเย็นขนาดนี้อากาศไม่ร้อนเลย “จ้องหน้ามันไว้ ห้ามละสายตาเป็นอันขาด”
          “จ้องมากๆมันจะไม่คิดว่าเราท้าทายเหรอ” อาติแย้งขึ้นมา
          “มันไม่ทำอะไรพวกเจ้าหรอก” เบซาบอก “ตอนนี้มันแค่ขู่ให้เราออกจากอาณาเขตของมัน”
          “แค่ขู่เรอะ” แหวนเสียงสั่น “ข้าว่าสายตามันดูหิวโหยทีเดียวนะ ดูสิ จ้องพวกเราตาเขม็งเลย อย่ากินข้าเลย เนื้อข้าไม่อร่อยหรอก”  แหวนหันไปพูดกับเสือ
          “ถอยออกไป ช้าๆนะ อย่าลืมจ้องตามันไว้” เบซาสั่งและค่อยๆถอยช้า พวกเขาทำตาม  เจ้าเสือยังคงยืนจ้องพวกเขาอย่างประเมินท่าที พวกเขารีบถอยห่างออกไปอีกหลายสิบก้าว สักพักเจ้าเสือก็กระโจนเข้าไปหาลูกกวางที่ถูกผูกไว้ 
ตอนนั้นเอง เสียงไม้ เสียงลาก เสียงเสือร้องดังคละเคล้ากันไป กัณหาหลับตาด้วยความกลัว เมื่อลืมตาอีกทีเธอก็เห็นฝุ่นลอยคลุ้งทั่วบริเวณที่ลูกกวางและเจ้าเสืออยู่ เมื่อฝุ่นเริ่มสงบลงพวกเขาเห็นเสือโคร่งตัวใหญ่ดิ้นอยู่ในตาข่ายสีน้ำตาลที่อยู่สูงเหนือหัวของพวกเขาขึ้นไป  มันทั้งดิ้นทั้งร้องจนตาข่ายสั่นไหวอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่อาจหลุดออกมาจากตาข่ายนั้นได้
          “กับดักของชาวตาโกนัน” เบซาว่า “เอาไว้ล่อเสือหรือสัตว์ใหญ่ๆ”
          “ดีน่ะ ที่เราไม่ต้องจัดการกับมัน” แหวนยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ใบหน้าของเธอยังซีดขาวราวกระดาษ “เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ  ข้าใจไม่ดีเลย”
          “ไปเถอะ” อาติแห็นด้วยทันที แล้วพวกเขาก็รีบหนีให้ห่างจากกับดักนั่นให้มากที่สุด เบื้องหลังกัณหายังได้ยินเสียงเจ้าเสือร้ายร้องคำราม
กัณหาหันไปมอง ทันได้สบตาสีเหลืองของเสือที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว มันกำลังดิ้นทุรนทุรายหาทางออกจากกับดักให้ได้ แต่ไม่ว่ามันจะขยับดิ้นอย่างไรก็ไม่อาจหนีพ้นจากกับดักนั้นไปได้
เราควรช่วยมันไหม? กัณหาเริ่มชะงักฝีเท้าที่กำลังจะรีบหนีไป และหันกลับไปมองมัน แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร จู่ๆแหวนก็สะดุดสายอะไรบางอย่างล้มลง
          “โอ๊ย” เสียงร้องดังลั่นขึ้นจากหลายทาง ก่อนที่กัณหาจะได้ทันรู้ตัว กรงไม้ไผ่ขนาดใหญ่ก็หล่นลงมาครอบพวกเขาทั้งหมดไว้ 
          “แย่ละ”  กัณหาเอามือบังเศษฝุ่นที่ตกลงมาพร้อมกับกรงไม้ ฝุ่นฟุ้งอยู่รอบตัวพวกเขาสักพักก่อนค่อยๆจางหายไป 
           ช่วงชักดาบออกมาพยายามทำลายไม้ไผ่ที่เป็นเสากรง แต่ก็ไม่มีอันใดเกิดขึ้น
          “ไม่มีประโยชน์หรอก” เบซาเอ่ยขึ้นมา ตัวเขานั่งลงบนพื้นอย่างหมดแรง “กรงขังพวกนี้เป็นฝีมือของชาวตาโกนัน มันไม่ใช่กรงขังธรรมดา มันถูกเสกอาคมไว้ด้วย มีเพียงชาวตาโกนันเท่านั้นที่รู้วิธีคลายอาคมพวกนี้ เราต้องรอชาวตาโกนันมาเปิดกรงเท่านั้น”
          “อาคมธรรมดาก็ไม่ช่วยเลยเหรอ” อาติถาม เขาลองเสกอาคมสองสามครั้ง แต่ก็ไม่เกิดผลใดๆ กัณหาลองพยายามด้วยอีกคนก็ไม่เกิดผลเช่นกัน
          “ใช่ ตอนนี้เราทำได้อย่างเดียว  คือต้องรอ” เบซาบอกนั่งขัดสมาธิบนพื้น ทุกคนได้แต่มองเขาอย่างตกตะลึง
          “จะบ้าหรือ” แหวนแหว “รอให้พวกเขามาเก็บศพเราหรือไง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะมา”
          “หรือเจ้าวิธีอื่นไหมล่ะ” เบซาเงยหน้ามาสบตากับหล่อน แหวนนิ่งไปไม่มีคำตอบ “ถ้าเช่นนั้นก็นั่งเงียบๆและเก็บแรงไว้คิดหาวิธีต่อรองกับชาวตาโกนันดีกว่า”