43 ตอน การจากลา(1)
โดย นกเป็ดน้ำ
“เจ้านกปัญญาอ่อน เอ๊ย” แหวนอุทานหลังจากฟังเรื่องเล่าของจี้ดจนจบ “พวกเราเกือบได้ตายกันทั้งหมด”
“เอ๊า แต่ถ้าข้าไม่ทำเช่นนั้น ป่านนี้พวกเจ้าก็คงไม่ได้นั่งนอนสบายในบ้านแบบนี้หรอก” จี้ดเถียงอย่างหงุดหงิด
“อย่ามาแอบอ้างความดีความชอบหน่อยเลย เพราะคุณหนูกับอาติช่วยกันเอาเสือตัวนั้นออกไปจากหมู่บ้านมากกว่า เราถึงได้มานั่งนอนสบายใจในเรือนนี้”
กัณหาถอนใจ ไม่รู้จะว่าอย่างไรดี หลังจากพวกเขาได้รับทราบความจริงจากจี้ดว่า สาเหตุที่เสือตัวนั้นถึงหลุดออกจากกรงได้ ก็เพราะจี้ดไปช่วยแกะเชือกมัดที่มัดกรงไว้ จี้ดบอกว่าตอนที่เขามาถึงที่นี่เห็นเสือวิ่งวนไปมาในกรงอย่างหวาดกลัว นั่นทำให้เขาเกิดความคิดขึ้นมาว่าถ้าปล่อยเสือออกมา จะถ่วงความสนใจของชาวบ้านและรีบมาช่วยคนอื่นๆได้ เสียแต่ว่าสถานการณ์มันออกจะเลยเถิดไปซักหน่อย กัณหานึกแปลกใจอยู่บ้างว่าทำไมจี้ดถึงแกะเชือกกรงได้ทั้งๆที่เคยได้ยินเบซาบอกว่าชาวตาโกนันจะลงอาคมไว้เสมอ และมีเพียงชาวตาโกนันเท่านั้นที่ถอนอาคมได้ หรือว่าครั้งนี้คนที่ขังเสือจะลืมลงอาคมไว้ แต่ถึงแม้จะสงสัยอย่างไร กัณหาก็ไม่รู้จะไปถามใคร เพราะชาวตาโกนันแยกเธอกับแหวนมาขังไว้ที่เรือนหลังหนึ่งและพวกหนุ่มๆถูกส่งไปขังอีกที่หนึ่ง
จากเหตุการณ์ที่เสือหลุดออกมานอกกรงนี่เอง ทำให้หัวหน้าชาวตาโกนันยอมใจอ่อนไม่ฆ่าพวกเขา เพราะพวกเขาได้ช่วยเหลือทุกคนเอาไว้ในนาทีวิกฤต พวกเขาได้รับอนุญาตให้พักอยู่ในหมู่บ้านเป็นการชั่วคราวในบ้านพักที่ชาวตาโกนันจัดไว้ให้และไม่อนุญาตให้ออกไปที่อื่นเด็ดขาด ในระหว่างที่ชาวตาโกนันวุ่นวายกับการจัดการกับงานพิธีอะไรสักอย่างที่ดูเป็นงานใหญ่โต และเมื่องานเหล่านี้ผ่านพ้นไป หัวหน้าชาวตาโกนันมีแผนการจะเอาตัวพวกเขากลับไปส่งที่ชายป่าเมืองโกวา
สรุปว่าการเดินทางนี้สูญเปล่า นอกจากจะไม่ได้ขึ้นเรือเหาะแล้ว ยังถูกจับเสียอีก และต่อให้ชาวตาโกนันเอาตัวพวกเขาไปปล่อยที่เมืองโกวาจริง ก็ไม่รู้ว่าจะมีเรือจากเมืองโกวากลับไปอยุธยาหรือเขาริมอ่าวรึเปล่า
กัณหาถอนหายใจอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง เธอรู้สึกพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมด เธอได้แต่นั่งเงียบๆไม่พูดอะไรมาหลายชั่วโมงแล้ว
แหวนกับจี้ดพากันหันมามองกัณหาที่นอนถอนหายใจซ้ำๆอย่างนี้มาสักพักแล้ว
ดูท่าอาการจะหนัก
“แล้วถ้าเรากลับถึงเมืองโกวาแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อดีละ คุณหนู” แหวนถามขึ้นมา หล่อนนึกกังวลใจที่เห็นอีกฝ่ายถอนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งที่ปกติแทบจะไม่เคยทำ “เราจะกลับเขาริมอ่าวเลยหรือเปล่า”
“ก็คงต้องอย่างนั้น” กัณหารับคำ “หรือแหวนว่ามีวิธีอื่นที่จะเดินทางล่ะ จะไปหาเรือสำเภาก็ไม่แน่ใจว่าจะไปหาที่ไหน”
“ลองถามชาวเมืองโกวาดีไหม” จี้ดเสนอขึ้นมา “เมืองโกวาเป็นเมืองท่าค้าขาย เรื่องพาหนะเดินทางน่าจะหาไม่ยากนะ”
“ใช่” กัณหาถอนใจอีกครั้ง “แต่ข้าวของสัมภาระทั้งหมดของเราถูกทิ้งอยู่ในป่าตอนที่ชาวตาโกนันพาเรามาที่นี่ เราต้องกลับไปหามันก่อนไม่รู้จะหาเจอรึเปล่า อยู่ส่วนไหนของป่าก็ไม่รู้ ที่สำคัญบันทึกของสามสหายแห่งการายาก็อยู่กับของพวกนั้นด้วย ถ้าไม่มีบันทึกนั่น หรือถ้ามันหายไป เราก็ไม่รู้จะไปที่ไหนต่อ”
“ยังไงเราก็ต้องหาทางออกจากที่นี่ก่อน” แหวนหันออกไปมองนอกหน้าต่าง “มืดเมื่อไหร่ เราออกไปกัน”
“ไปไหน” กัณหาถาม
“ออกไปจากหมู่บ้านนี้ไงเจ้าค่ะ อย่าอยู่อีกเลย เกิดพวกตาโกนันเปลี่ยนใจขึ้นมา อยากเอาเรากลับไปฆ่าอีกที เราจะลำบาก เพราะฉะนั้นออกจากที่นี่คืนนี้เลย รีบหนีไปเสียก่อนจะดีกว่า”
“จะหนียังไง”
“ประเดี๋ยวมืดค่ำแล้ว เราค่อยปีนหน้าต่างออกไป เมื่อเช้าข้าเห็นพวกตาโกนันแค่เอาเชือกมัดประตูไว้ แต่ไม่ได้ลงอาคม ข้าว่าหนีไม่ยาก” แหวนตอบทันใจ “แล้วเราก็ค่อยไปตามหาสองคนนั้นว่าไปถูกขังไว้ที่ใดกัน”
“ก็เอาตามที่แหวนว่าแล้วกัน” กัณหาตอบอย่างสลดหดหู่ ไม่นึกอยากคิดวางแผนอะไรอีกต่อไป
“ท่านอย่าทำหน้าเช่นนั้นเลย ท่านทำหน้าเหมือนโลกแตกไปแล้วเสียอย่างนั้น” แหวนมองกัณหาอย่างกังวลใจ “ต่อให้ไม่ได้เรือเหาะ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการอื่นๆที่จะใช้ในการเดินทางนี่นา ท่านอย่าเพิ่งทำท่าสิ้นหวังขนาดนั้น”
กัณหาถอนใจอีกหลายรอบ แหวนกับจี้ดได้แต่มองหน้ากัน ไม่รู้จะปลอบอีกฝ่ายอย่างไร
แหวนกับกัณหาเตรียมตัวไว้พร้อม ทั้งคู่รีบนอนหลับพักเอาแรงตั้งแต่กลางวัน เมื่อถึงเวลาที่ชาวตาโกนันเอาอาหารมาให้ กัณหาแกล้งทำอาหารหกเลอะเทอะ เพื่อขอเสื้อผ้ามาเปลี่ยน คนที่เอาอาหารมาให้พวกเขาดูโมโหนิดหน่อยแล้วก็เอาชุดของชาวตาโกนันสองชุดมาให้ ทั้งคู่จัดการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบชาวตาโกนัน ครั้นพอถึงตอนกลางคืนก็เตรียมตัวรอเวลาเมื่อเห็นว่าผู้คนบริเวณรอบๆที่เรือนที่พักของพวกเขาเริ่มเบาบางทั้งคู่ก็ค่อยๆปีนออกทางหน้าต่างเรือนที่พักอย่างเงียบเชียบ
“เธอออกไปสำรวจดูต้นทางไว้ก่อนนะ ว่ามีทางหนีออกจากหมู่บ้านทางไหนบ้าง” กัณหาบอกจี้ด “พวกเราจะไปตามหาสามคนนั้นก่อน อีกราวครึ่งชั่วยามเจอกันที่ต้นไม้ต้นนั้น” กัณหาชี้ไปที่ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ตกลง” จี้ดว่า แล้วโผบินออกไป
เรือนที่พักของพวกเขาเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงมีหลังคาเป็นทรงคล้ายเรือที่ดูสวยงามมากแม้จะอยู่ในความมืดมิดก็ตามที พวกเขาใช้เวลาไม่นานนักค่อยๆทยอยกันปีนลงมาจนถึงใต้ถุนเรือน
“พวกผู้ชายถูกกักไว้ที่เรือนไหนนะ” แหวนถามมองไปรอบตัว ใกล้ๆกับเรือนที่พวกเขาพักมีเรือนรูปทรงคล้ายๆกันอีกหลายหลัง
“น่าจะเรือนนั้นนะ” กัณหาชี้ไปที่เรือนไม้ใกล้ๆกัน “แต่ฉันไม่แน่ใจนะ”
ทั้งคู่เดินไปในความมืด สายตาคอยชำเลืองมองหาคนที่อาจมาเพ่นพ่านแถวนี้แต่ไม่มีใครเลย พวกเขาย่องมาจนถึงเรือนไม้ข้างๆเรือนที่พวกเขาถูกกักตัว เป็นเรือนไม้ทรงเดียวกัน ทั้งคู่ปีนขึ้นบันไดไม้อันเล็กที่พาดหน้าเรือนนั้นขึ้นไปที่ประตูที่ถูกปิดด้วยเชือกสานมัดที่จับประตูไว้ให้ติดกัน แหวนก้มลงแกะเชือก
“มองไม่ค่อยเห็นเลย” แหวนว่า พยายามแกะเชือกโดยอาศัยแสงจันทร์ “คุณหนู ท่านจุดไฟหน่อยสิ”
“ถ้าเราจุดไฟ อาจจะมีคนเห็นเราหรือเปล่า” กัณหาแย้ง มองไปรอบตัวอย่างระแวดระวัง “ใจเย็นๆ มา ฉันช่วยแกะ”
กัณหาและแหวนช่วยกันแกะปมเชือกนั้นอยู่สักพัก ในที่สุดพวกเขาก็แกะได้สำเร็จและรีบเปิดประตูเรือนนั้นเข้าไปภายใน
ภายในเรือนนั้นเงียบ ไม่มีไฟจุดไว้เลย ภายในเรือนมีห้องว่างๆห้องเดียวเหมือนเรือนที่พวกเขาถูกกักตัวไว้ บริเวณกลางเรือนมีเตียงเตียงหนึ่งถูกคลุมด้วยมุ้งกางไว้เป็นอย่างดี มีร่างร่างหนึ่งกำลังนอนหลับใต้แสงจันทร์ในมุ้งนั้นอย่างเงียบสงบ
“แหม หลับอุตุเชียว” แหวนทำเสียงเยาะๆ “นั่นอีตาช่วงรึเปล่านะ ดูรูปร่างแล้วน่าจะใช่”
“ใช่หรือ” กัณหาเพ่งไปที่ร่างนั้นอย่างไม่แน่ใจนัก เธอรู้สึกว่าร่างนั้นดูผอมบางกว่าช่วงที่เธอจำได้เล็กน้อย “ถ้านี่คือช่วงแล้ว อาติกับเบซาหายไปไหนล่ะ”
“ใช่แหละ ข้าว่าใช่ แหม ดูสิ นอนหลับอุตุ ไม่คิดจะหาทางทำกระไรเลย” แหวนยังบ่นไม่หยุด ก่อนเอื้อมมือเข้าไปในมุ้งคว้าแขนร่างที่อยู่ในมุ้งนั้น
“ตื่น ตื่นได้…” จู่ๆ แหวนเบิกตาโพล่ง เมื่อได้สัมผัสบริเวณที่น่าจะเป็นแขนของร่างนั้น
ผอม ผอมมาก ผอมเกินไป ผอมจนเหลือแต่กระดูก…
“อ๊ากกกกกกกก”
“แหวน” กัณหาตกใจที่จู่ๆแหวนกรี๊ดขึ้นมา “ร้องทำไม”
“ใครนะ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นที่หน้าเรือนที่พวกเขาอยู่ ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ทำอะไร ประตูหน้าเรือนเปิดออก มีชายหญิงสองสามคนยืนอออยู่ที่ช่องประตู ถือคบไฟอยู่ในมือ
“พวกเจ้า!!!” ชายร่างใหญ่อุทานออกมา เขารีบเข้ามาภายในเรือนพร้อมคบไฟที่ส่องให้ห้องภายในสว่างขึ้นมาช่วยให้พวกเขาเห็นสิ่งต่างๆในเรือนนี้ชัดขึ้น “เข้ามาในที่นี่ทำไม ต้องการอะไร มารบกวนแม่ของข้าทำไม ปล่อยมือจากแขนท่านเดี๋ยวนี้นะ”
แหวนรีบปล่อยมือจากร่างนั้น เสียงอะไรบางอย่างกระทบพื้นเสียงดัง กัณหาหันไปตามเสียงนั้นแล้วเธอก็เห็นสาเหตุที่ทำให้แหวนกรีดร้อง
เมื่อแหวนปล่อยมือ สิ่งที่เธอจับอยู่ก็ร่วงหล่นลงบนพื้น สิ่งนั้นคือโครงกระดูก น่าจะเป็นส่วนบริเวณแขนกับมือ กัณหามองกระดูกที่หล่นลงมานั้นอย่างตกตะลึง รู้สึกถึงร่างแหวนเบียดเข้ามาชิดเธอ ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวชายร่างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าหรอก แต่กลัวร่างที่นอนอยู่ที่เตียงที่พวกเขายืนอยู่ข้างๆต่างหาก
กัณหาหันไปมองที่เตียง เมื่อแสงไฟจากคบไฟของชายร่างใหญ่ส่องกระทบร่างนั้น กัณหาก็เห็นว่าร่างที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเป็นโครงกระดูกที่ยังมีเนื้อหนังแห้งๆและผมติดอยู่ครบ ร่างนั้นได้รับการแต่งตัวอย่างสวยงามและจัดท่าทางให้นอนหงาย วางมืออีกข้างไว้ที่ท้อง มีผ้าห่มคลุมตั้งแต่ท้องลงมาถึงเท้า แหวนยังคงจ้องร่างนั้นอย่างตกใจจนพูดไม่ออก ตาเบิกค้าง ปากอ้ากว้างในท่ากรีดร้อง กัณหาเองก็มองร่างนั้นอย่างตกใจไม่ต่างกัน
“ท่าน ท่านเก็บร่างคนตายไว้ ทำไม” แหวนพูดเสียงสั่นพอๆกับร่างของหล่อน
ชายร่างใหญ่และหญิงสาวอีกคนตามเข้ามา ชายคนนั้นเดินมาเก็บกระดูกส่วนแขนและมือที่ถูกแหวนปล่อยทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมา และนำไปวางไว้ที่โครงกระดูกนั้นในลักษณะให้มือทั้งสองประสานกันไว้ที่ท้อง เขาวางมือตนเองบนแขนของโครงกระดูกนั้นและสงบนิ่งไปสักพัก
“หลับ พักผ่อนให้สบายนะครับ แม่” เขาพูดกับโครงกระดูกนั้นอย่างสงบราบเรียบ “ขอโทษด้วยที่ปล่อยให้พวกเขาเข้ามารบกวนแม่ ทั้งๆที่พรุ่งนี้จะเป็นวันสำคัญของท่าน”
หญิงสาวที่ตามเข้ามายืนสงบนิ่งให้ร่างนั้นเช่นกัน เมื่อกัณหาได้ยินสิ่งที่ชายคนนั้นพูดกับร่างอันไร้วิญญาณที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงนั้น เธอรู้สึกว่ามีก้อนบางอย่างมาจุกที่คอ เป็นความรู้สึกคิดถึง ห่วงหา ห่วงใยที่เธอสัมผัสได้ ความรู้สึกที่เธอเองก็เคยรู้สึกเช่นกัน
การสูญเสีย การจากลา สิ่งที่เธอเคยประสบพบเจอ และชายคนนี้ก็คงได้พบเจอเช่นเดียวกัน
เธอทอดมองร่างที่นอนอย่างสงบนิ่งนั้น นานแล้วที่เธอไม่ได้เจอแม่นม ครั้งสุดท้ายที่เธอเจอ ร่างของท่านยังมีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ แต่ก็แข็งเกร็งและเย็นเฉียบไม่เหมือนร่างคนปกติ ตอนนี้ถ้าเธอกลับไป ร่างของท่านจะเป็นอย่างไรนะ จะมีเนื้อหนังแห้งๆติดอยู่แบบนี้หรือไม่นะ ร่างของท่านจะไม่น่ามองหรือเปล่า แล้วเธอจะกลัวร่างของท่านหรือเปล่านะ กัณหาไม่อาจรู้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้ในตอนนี้คือ ชายร่างใหญ่คนนี้ก็คงรู้สึกห่วงหาเจ้าของร่างนี้ไม่ต่างจากเธอผู้เคยกระโดดเข้าไปในกองไฟ เพียงเพื่อกันไม่ให้ใครเผาทำลายร่างของแม่นมไป
ความรู้สึกสูญเสียของคนที่สูญเสีย สิ่งที่เธอสัมผัสได้
เพราะมันเป็นความรู้สึกเดียวกับที่เธอเคยสัมผัส
ความรู้สึกที่ทำให้เธอดั้นด้นมาไกลขนาดนี้ ข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อมาที่นี่ เพื่อที่จะได้กลับไปพบใครบางคนที่เคยผูกพัน
“ขอโทษค่ะ” กัณหาเอ่ยขึ้นมาในทันใด เธอทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แหวนที่ยังดูหวาดกลัวร่างนั้น กัณหายกมือขึ้นพนมไหว้ร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงนั้น “ขออภัยจริงๆค่ะ ที่มารบกวนท่าน อิฉันไม่ทราบจริงๆว่าท่านยังคงนอนอยู่ที่นี่ อิฉันกับเพื่อนเพียงแค่อยากมาตามหาเพื่อนของเราที่หายไป เราไม่มีเจตนาจะมารบกวนท่านเลย ขอท่านได้โปรดให้อภัยเราทั้งสองคนที่เข้ามารบกวนสถานที่ที่ควรจะสงบเงียบของท่านด้วยเถิดค่ะ”
ชายร่างใหญ่หันมามองกัณหา แม้เขาจะไม่รู้จักธรรมเนียมการไหว้ของชาวอยุธยา แต่ท่าทางที่ดูนอบน้อมต่อร่างนั้นและคำพูดอันอ่อนหวานที่เขาสามารถเข้าใจได้เพราะกัณหาใส่สร้อยภาษาอยู่ ทำให้เขามองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างประหลาดใจนัก เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมา คนต่างถิ่นไม่เคยเข้าใจธรรมเนียมการดูแลร่างคนตายของคนที่นี่ แต่เด็กคนนี้ที่ยังอ่อนวัยนักกลับดูเข้าใจอย่างประหลาดและปราศจากความหวาดกลัวต่อร่างของผู้ตาย
“มีใครที่เจ้ารู้จักตายไปแล้ว งั้นหรือ” ชายร่างใหญ่ถาม เหตุผลเดียวที่เขาพอจะเดาได้ ว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ดูเข้าใจนัก
“มีจ้ะ” กัณหาตอบอย่างสงบ “คนที่เลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่เกิด ท่านเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานนี้ นั่นคือเหตุผลที่ฉันมาที่นี่”
ชายร่างใหญ่มองอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็ไม่ได้ถามตอบ เขาจัดการปิดมุ้งให้ร่างนั้นได้หลับอย่างสงบ ก่อนหันมาเผชิญหน้ากับพวกเขา
“แล้วพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่” เขาถาม “ต้องการอะไร ทำไมไม่อยู่ในที่พักของตน”
“ท่านเก็บร่างของแม่ของท่านไว้ทำไมหรือ” กัณหาแทรกขึ้นมาโดยไม่สนใจจะตอบคำถามของอีกฝ่าย “ท่านมีแผนการจะทำอะไรกับร่างนี้หรือ”
“นั่นสิ เก็บไว้ทำไม” แหวนยังเอามือปิดหน้า ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว
“มันเป็นธรรมเนียมของที่นี่” ชายร่างใหญ่ตอบ “เราจะเก็บร่างไว้จนกว่าเตรียมการให้พร้อมจึงจะทำพิธีฝังที่หน้าผา ซึ่งเราจะมีพิธีฝังในวันพรุ่งนี้”
“งั้นหรือ…” กัณหานิ่งไป แอบนึกเสียใจเล็กน้อย นึกว่าจะเจอผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันเสียอีก
“ทำไม เจ้าข้องใจอะไรรึ” ชายร่างใหญ่ถามต่อ เมื่อเห็นเด็กน้อยมีท่าทีแปลกไป
“คือ ตอนแรกฉันคิดว่าท่านเก็บร่างแม่ไว้ เพื่อจะหาทางชุบชีวิตให้นางเสียอีก” เด็กน้อยตอบทันที
“ชุบชีวิต?” ชายร่างใหญ่ทวนคำ หันไปมองสบตากับหญิงที่ตามมาด้วย แล้วทั้งคู่ก็หันมามองกัณหาอย่างประหลาดใจ “สำหรับเรา ขาวตาโกนัน ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิตหรอกนะ มันแค่การเปลี่ยนผ่านจากดินแดนหนึ่งไปสู่อีกดินแดนหนึ่งเท่านั้นเอง คนที่จากเราไป เขาไม่ได้จากเราไปไหนหรอก วิญญาณของพวกเขายังคงวนเวียนคอยดูแลลูกหลานและแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนลูกหลานอยู่เสมอเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม”
แต่ท่านไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆนี่ กัณหาเถียงในใจ เธอนิ่งไปไม่ตอบรับหรือพูดว่าอะไร ท่านจากไปแล้ว ต่อให้มีวิญญาณวนเวียนอยู่แถวนี้ เธอก็ไม่อาจรับรู้ได้ เธออยากให้ท่านมาอยู่ข้างๆเธอ กอดเธอ คุยกับเธอเหมือนแต่ก่อน
“ถ้าเจ้าว่าง วันนี้เราไปส่งท่านด้วยกันไหมล่ะ” ชายร่างใหญ่เอ่ยขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นความเงียบของอีกฝ่าย ไปส่งท่านแม่ของข้าด้วยกันกับข้าและน้องสาว
“ห๊ะ” แหวนอุทานอย่างตกใจ แล้วก็หุบปากลงเมื่อสายตาของอีกฝ่ายตวัดกลับมา
“ไปเถอะ ฟ้าใกล้สางแล้ว เราต้องช่วยกันเตรียมของของท่านให้พร้อมก่อนออกเดินทาง” ชายร่างใหญ่บอกและชักชวนให้กัณหาช่วยเตรียมข้าวของ กัณหาเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจที่ได้รับคำชวนนี้ แต่ก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ เธอลุกขึ้นยืนและเดินตามชายคนนั้นลงมาที่ด้านล่างเรือน แหวนดูงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็เดินตามกัณหาลงมาด้วย
ชายร่างใหญ่พาเธอเดินผ่านบ้านไม้หลังเล็กๆจำนวนมาก มาจนถึงบริเวณบ้านหลังหนึ่ง ใต้ถุนบ้านหลังนั้นมีคนอยู่และมีการจุดไฟให้แสงสว่าง มีเสียงคนพูดคุยกันดังมาตลอด เมื่อเดินไปถึงบริเวณนั้นกัณหาก็เห็นคนจำนวนมากกำลังนั่งล้อมวงกันทำงานบางอย่างอยู่ เมื่อกัณหากับแหวนเดินตามชายร่างใหญ่เข้าไปในวงล้อมของคนเหล่านั้น ทุกคนในวงก็เงยหน้าขึ้นมามองพวกเขา
“ใครนะ บารัต” ชายคนหนึ่งถามขึ้น “เจ้าพาใครมา”
“แขกของเรา” ชายร่างใหญ่ตอบ “ชาวโกวาที่มาพร้อมเบซาอย่างไรล่ะ เขาอยากมาร่วมพิธีศพแม่ข้าด้วย”
ทุกคนรอบวงนั้นพากันมองอย่างประหลาดใจ เกิดความเงียบขึ้นรอบวง
“พวกเราไม่ใช่ชาวโกวานะ” แหวนรีบพูดทันที เมื่อนึกถึงเรื่องที่เบซาเล่าให้ฟังว่า ชาวโกวากับพวกตาโกนันกำลังมีปัญหากัน “พวกเราเป็นชาวกรุงศรีอยุธยา พวกเราเดินทางมาที่นี่เพราะต้องการมาหาเรือเหาะไปเป็นพาหนะเดินทาง”
“พวกที่อยู่ทางเหนือนี่” ชายหนุ่มคนหนึ่งในวงนั้นพูดขึ้น “พวกเจ้าไกลมากเลย”
“แล้วนางอยากมาร่วมพิธีเหรอ” หญิงอีกคนถามอย่างประหลาดใจ “ไม่ใช่พยายามเข้ามาก่อกวนนะ”
“ฉันอยากมาช่วยจ้ะ” กัณหาตอบทันที แหวนเองก็มองกัณหาอย่างประหลาดใจพอๆกับคนอื่นรอบวงที่นิ่งงันไป
“อยากช่วยงั้นหรือ” หญิงชราคนหนึ่งที่นั่งบนแคร่ไม้ไผ่ลุกขึ้นจากแคร่เดินมามองกัณหาอย่างพินิจพิเคราะห์
“จะให้พวกนางมาช่วยจะดีเหรอ แม่เฒ่า” ชายคนหนึ่งในวงนั้นเอ่ยขึ้นทันที “นางจะแอบลักลอบหนีตอนเรากำลังเผลอ กำลังวุ่นวายกับการเตรียมงานนะสิ”
“ไม่หรอก” หญิงชราตอบรับอย่างสงบ “เจ้าเองก็เพิ่งสูญเสียใครบางคนที่เจ้ารู้จักไปใช่ไหม เจ้าจึงอยากมาช่วยพวกเรา”
“จ้ะ” กัณหารับคำ “ฉันเพิ่งสูญเสียคนที่เลี้ยงดูฉันมาไปไม่นานนี่เอง นี่คือสาเหตุที่ฉันข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงที่นี่ ก็เพื่อมาขอขึ้นเรือเหาะ ขึ้นเรือเหาะเพื่อออกเดินทางตามหาน้ำอมฤตมาชุบชีวิตให้ท่านให้ได้ ให้ท่านฟื้นกลับมาหาฉันอีกครั้ง”
เกิดความเงียบขึ้นเบื้องหลังคำพูดดังกล่าว กัณหาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะเหตุใดเธอจึงเอ่ยปากเล่าเรื่องเหล่านี้กับคนแปลกหน้า ทั้งๆที่เธอไม่ค่อยจะอยากเล่าให้ใครฟังนัก กลัวถูกหาว่าบ้า แต่เพราะอะไรบางอย่าง อาจเป็นเพราะคนเหล่านี้กำลังประสบการสูญเสียเหมือนเธอรึเปล่านะ ทำให้เธอไม่รู้สึกอายเมื่อพูดถึงความหวังที่แสนริบหรี่นี้ของเธอ
“น้ำอมฤตรึ” หญิงชราทวนคำ คนอื่นๆรอบวงพากันมองกัณหาอย่างประหลาดใจ แล้วสักพักหญิงชราคนนั้นก็ส่ายหน้า “เจ้ายังเยาว์เกินไปจริงๆ”
“ท่านกำลังจะบอกว่าฉันว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระใช่ไหม” กัณหาถาม “แต่มันมีอยู่จริง มีน้ำอมฤตอยู่จริง สามสหายแห่งการายาก็เคยเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั่น แล้วนำน้ำอมฤตกลับมาด้วย”
หญิงชราส่ายหน้าและยิ้มให้กัณหา “มานั่งข้างๆข้าสิ” ท่านพูดขึ้นมาอย่างเอ็นดู
กัณหามองหล่อนอย่างประหลาดใจ เธอลังเลใจอยู่สักพัก เมื่อได้รับคำเชิญชวนซ้ำ เธอก็เดินเข้าไปนั่งบนแคร่ข้างๆหญิงชรา
“รู้จักนี่หรือเปล่า” หญิงชราเอ่ยขึ้นมา หล่อนหยิบกล่องทรงกระบอกอันใหญ่อันหนึ่งมาให้กัณหาดู
“นี่คือ…”
“ตาลู” หญิงชราบอก “พวกเราเชื่อกันว่า เมื่อผู้ที่ตายจากไปจะยังไม่ไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ในที่ที่เคยอยู่จนกว่าเราจะจัดพิธีศพให้ หลังพิธีศพพวกเขาจะออกเดินทางไปปูยา ดินแดนแห่งวิญญาณและโลกหลังความตาย มันเป็นการเดินทางที่ไกลมาก เพราะโลกมนุษย์กับปูยาห่างไกลกันมาก ลูกหลานทุกคนจึงต้องมาช่วยกันจัดเตรียมข้าวของใส่ตาลูไว้ให้ผู้ตายนำไปด้วย”
กัณหานิ่งเงียบไม่พูดอะไร เธอรับกล่องอันใหญ่นั้นมาดู เห็นว่าภายในกล่องมีเสื้อผ้าหลายตัวถูกม้วนเก็บอย่างสวยงาม
“เราทำตาลูไว้หลายอัน กล่องนี้เป็นเสื้อผ้า บางกล่องเป็นเครื่องประดับ บางกล่องเป็นของใช้ นอกจากนี้เราจะสังเวยสัตว์ใหญ่เพื่อให้เป็นพาหนะ นำทางคนตายไปสู่ปูยาด้วย จะได้เดินทางได้เร็วขึ้น ในระหว่างนี้ร่างของเขาจะถูกเก็บไว้ในที่สงบ เพื่อไม่ให้รบกวนการเดินทางสู่ปูยา ช่วยให้การเดินทางของพวกเขาราบรื่น”
“แล้วท่านแน่ใจได้อย่างว่าพวกเขาอยากจะไปสู่ปูยาจริงๆ ท่านไม่คิดว่าบางทีพวกเขาอาจจะยังอยากอยู่ในโลกมนุษย์เหรอ” กัณหาเถียงขึ้นมา
“เจ้าจะช่วยเราจัดเตรียมข้าวของใส่ตาลูได้ไหม” หญิงชราพูดต่อโดยไม่ตอบคำถามของกัณหา “ของเรามีมาก ต้องยัดให้สวยงามและเรียบร้อย ยัดใส่ในตาลูให้ได้มากที่สุด”
“ได้จ้ะ” กัณหารับคำ
“เจ้าด้วย” หญิงชราบอกแหวน แหวนงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินมาช่วยแต่โดยดี
กัณหากับแหวนรับเสื้อผ้าและข้าวของของผู้ตายมาจัดใส่ในตาลู ระหว่างนั้นชาวตาโกนันคนอื่นๆก็จัดเตรียมของอีกหลายอย่าง ซึ่งน่าจะเป็นของที่ใช่ในพิธีศพ ทั้งคู่ช่วยชาวตาโกนันทำงานนี้ตั้งแต่กลางคืนจนฟ้าสาง เมื่อฟ้าสางแล้ว งานจัดเตรียมของก็จบลง ทุกคนค่อยๆทยอยกันกลับบ้านตนไปแต่งตัว เพื่อไปร่วมพิธีศพตอนเช้านี้ หญิงชราให้คนหาเสื้อผ้าแบบชาตาโกนันแต่เป็นสีดำสนิททั้งตัวมาให้ทั้งสองใส่ และบอกว่าให้ไปล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย ก่อนมาเข้าร่วมขบวนแห่ศพด้วย
Comments (0)