“เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากเจ้าเมืองปาเล็มเสียชีวิตได้ไม่นาน ค่ำวันหนึ่งเกิดเสียงดังสะเทือนลั่น จู่ๆท้องฟ้าที่ควรจะมืดสนิทก็เปล่งแสงสีแดงเข้มเหมือนเลือด คนที่ท่าเรือที่รอดชีวิตมาได้เล่าให้ฟังว่า เขาเห็นน้ำทะเลลดระดับอย่างรวดเร็ว ทุกคนพากันแปลกใจ ตอนนั้นเขากลัวมากจึงรีบวิ่งหนีจากทะเล แต่คนอื่นๆพากันลงไปเดินดูที่ทะเลว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่นานนักก็มีคลื่นลูกใหญ่สาดขึ้นมาบนท่าเรือ แล้วทุกอย่างที่อยู่ริมทะเลก็ราบเป็นหน้ากลองในพริบตา”

              ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว กัณหา ช่วง อาติ แหวน และเจ้านกน้อยนั่งล้อมวงรอบตัวกาเจียร์ ชายแปลกหน้าที่พวกเขาพึ่งพบที่ท่าเรือเมื่อเช้า พวกเขานั่งฟังกาเจียร์เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองนี้อยู่ภายในห้องว่างห้องหนึ่งในโรงแรม โดยมีอาหารที่เจ้าของโรงแรมจัดมาให้เป็นพิเศษอยู่ตรงหน้า

              “คลื่นหรือ” อาติทำหน้าตกใจ เขานึกถึงสภาพท่าเรือที่พังเละเทะ “ทั้งหมดเป็นผลมาจากคลื่นหรือ”

              “ใช่ คลื่นลูกเดียว ลูกใหญ่มาก สูงเหนือยอดมะพร้าวที่อยู่ริมหาดขึ้นไปอีก” กาเจียร์เล่าต่อ “ตอนนั้นข้าขึ้นไปตรวจกำแพงเมืองพอดี จึงทันได้เห็นตอนที่คลื่นซัดเข้ามาด้วย คลื่นนั้นซัดลึกเข้ามาถึงบนฝั่งทีเดียวจนดูเหมือนน้ำท่วม”

              “คลื่นอะไรกันถึงได้ใหญ่ปานนั้น” อาติมีสีหน้าตกใจ “ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยเห็นคลื่นใหญ่ปานนั้น”

              “ข้าก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีของเมืองปาเล็ม”

              “แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นต่อ” ช่วงซักต่อ

              “เช้าวันต่อมาทุกคนในเมืองออกมาดูที่ท่าเรือ ทุกคนตกใจมาก และหวาดกลัว มีคนปล่อยข่าวว่าเป็นฝีมือของปีศาจทะเลเป็นแน่ เลยไม่มีใครกล้าออกทะเลอีก หลังจากนั้นคืนต่อมาในเมืองเริ่มมีเงาประหลาดเดินป้วนเปี้ยนตอนกลางคืน และทำร้ายผู้คนที่ออกนอกบ้านตอนกลางคืน ทำให้คนยิ่งไม่กล้าออกจากบ้านเลย เพราะกลัวปีศาจจะฆ่าให้ตาย”

              “แล้วมีใครตายจากเงาปีศาจที่เดินไปเดินมาบนถนนไหม” กัณหาแทรกเข้ามา

              “ไม่มี มีคนตายเฉพาะวันที่คลื่นยักษ์ซัดเข้าท่าเรือ”  กาเจียร์ตอบ “ข้าไม่แน่ใจว่าสองเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามชาวเมืองเชื่อไปหมดแล้วว่าปีศาจขึ้นจากทะเลวันที่คลื่นยักษ์ซัดเข้าและเข้ามาในเมืองเพื่อเอาชีวิตคนในเมืองเพิ่มเติม”

              “เรื่องคลื่นยักษ์ฉันไม่รู้ แต่เจ้าเงาที่เดินไปเดินมาตอนกลางคืนนะ ฉันมั่นใจว่าเป็นอาคม” กัณหาตอบ 

             “ข้าก็คิดอย่างนั้น แต่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ และทุกคนก็กลัวเกินกว่าจะทำอะไร” กาเจียร์สรุปประเด็น “นั่งคือเหตุผลที่ข้าต้องมาขอร้องท่านให้ช่วยเราด้วย เพราะตอนนี้ทุกคนในปาเล็มกำลังเดือดร้อนหนักจากเรื่องนี้ ข้าวปลาอาหารก็ไม่มีจะกิน การเดินเรือค้าขายที่เป็นหัวใจหลักของเมืองนี้ก็ต้องหยุดชะงัก” กาเจียร์ถอนใจยาว

             “แล้วเราจะช่วยท่านได้อย่างไรละ” อาติถาม “ข้ากับกัณหาฝึกอาคมกันมาจริง แต่ยังอ่อนหัดในอาคม ท่านคงไม่คิดให้เราใช้อาคมไปสู้กับเขาใช่ไหม”

            “นั่นสิ” ช่วงเห็นด้วย “ถ้ามันเป็นจากอาคมจริง คนที่มีอาคมขนาดเสกเงาเดินทั้งเมืองได้ ไม่น่าจะใช่คนธรรมดา และที่สำคัญต้องมีคนที่มีอำนาจหนุนหลัง ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าทำขนาดนี้ เหตุใดท่านไม่ปรึกษาท่านปุโรหิตเมืองท่านเล่า ท่านน่าจะมีวิธีที่ดีกว่าในการจัดการ”

            “ชาวปาเล็ม เราไม่ได้นับถือพวกพราหมณ์เหมือนกรุงศรีอยุธยา” กาเจียร์ส่ายหน้า “เราไม่มีปุโรหิตประจำเมืองอะไรเช่นนั้น พวกที่มีอาคมในเมืองก็ไม่ค่อยมีหรอก คนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นนักเดินเรืออยู่กับท้องทะเลเป็นหลัก”

            “ท่านเลยมาขอความช่วยเหลือจากเรา” กัณหาสรุปประเด็น

            “ใช่ ข้าเชื่อว่ามีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ข้าเชื่อว่าคนที่อยู่เบื้องหลังต้องการขู่ให้คนกลัวจนไม่กล้าทำอะไร”

            “เขาจะต้องการขู่คนทั้งเมืองไปเพื่ออะไร” ช่วงสงสัย

             กาเจียร์ก้มหน้านิ่งสักพักก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสลดหดหู่ว่า

            “หลังจากท่านเจ้าเมืองจากไป เกิดความขัดแย้งเรื่องตำแหน่งเจ้าเมืองใหม่ ความขัดแย้งแบ่งออกเป็นสามฝ่าย คือ ฝ่ายสนับสนุนบุตรคนโตของเจ้าเมือง ท่านฮารุน กับฝ่ายที่สนับสนุนน้องชายของเจ้าเมือง ท่านฟีราซ และฝ่ายที่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะสนับสนุนใครดี ความขัดแย้งเรื่องการสืบตำแหน่งเจ้าเมืองนี้ทวีความรุนแรงขึ้นทุกทีและไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ระหว่างนั้นก็มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเป็นรอบๆ ทั้งสองฝ่ายต่างโทษอีกฝ่ายว่าเป็นต้นตอของเหตุการณ์วุ่นวายเหล่านั้น หลังจากมีเรื่องนี้เกิดขึ้น ความขัดแย้งก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ ฝ่ายท่านฮารุนอ้างว่า เพราะท่านฟีราซให้เอาเรือมงคลออกทะเลก่อนถึงเวลาอันสมควรเลยทำให้ปีศาจในทะเลโกรธจัดจนต้องออกมาฆ่าแกงชาวเมือง ฝ่ายท่านฟีราซก็หาว่า เป็นเพราะท่านฮารุนไปฆ่าปลาศักดิ์สิทธิ์เลยทำให้ปีศาจในทะเลออกอาละวาด”

             “มันเรื่องอะไรกัน” แหวนแทรกขึ้นมา

             “มันเป็นความเชื่อของคนในเมืองนี้นะ” กาเจียร์บอก “ให้เล่าก็จะยาว เอาเป็นว่าสรุปว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็โทษกันไปมา สุดท้ายกิจการของเมืองที่แย่อยู่แล้วจากความหวาดกลัวของชาวเมือง ก็ยิ่งแย่ลงอีกเมื่อมีความขัดแย้งของฝ่ายปกครอง”

            “น่าเห็นใจชาวเมือง” กัณหาอดสงสารชาวเมืองไม่ได้ ในช่วงเวลาที่เกิดปัญหาขึ้นในเมือง พวกชนชั้นปกครองมัวแต่ทะเลาะกัน

            “ข้าเชื่อว่า มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อโทษอีกฝ่ายว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา เสียแต่ว่าไม่มีหลักฐานมากพอจะพิสูจน์”

            “ทำให้คนกลัวทั้งเมืองเพื่อเหตุผลทางการเมืองก็ดูเป็นเหตุผลที่น่าจะลงทุนทำอยู่” ช่วงออกความเห็น “แต่ก็อย่างที่อาติบอก ในกลุ่มเรามีเพียงคุณหนูกับอาติที่ใช้อาคมเป็น แต่ทั้งคู่ยังเยาว์และเพิ่งเริ่มฝึกหัดอาคม ข้าเกรงว่าจะให้พวกเขาไปจับคนทำอาคมนั้น น่าจะยาก เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว คนทำอาคมก็น่าจะมีฝีมืออยู่พอตัว”

             กาเจียร์ถอนใจ เขาดูผิดหวังยิ่งนัก กัณหาเดาว่ากาเจียร์คาดว่าในคณะของกัณหาน่าจะมีคนที่มีอาคมสูงส่งพอจะจับตัวคนที่ทำอาคมเงาปีศาจนี้ได้ เสียแต่ว่าผลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะคณะที่เขามาขอร้องดันเป็นกลุ่มผู้ใช้อาคมรุ่นอ่อนหัด เขาจึงได้แต่เงียบด้วยความผิดหวังท่วมใจ

             “อย่าเพิ่งยอมแพ้สิ ท่าน” อาติพูดงึมงำเบาๆ ด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจช่วยอีกฝ่ายได้

             “เมื่ออาคมเราด้อยกว่าเขา ถ้าอยากจะเอาชนะ เราก็ต้องมีแผนที่เหนือกว่า” กัณหาพูดขึ้นมาบ้าง

             “วางแผนงั้นรึ” กาเจียร์ทวนคำ เงยหน้ามองกัณหา

             “ใช่” อาติมองกัณหาตาลุกวาว เมื่อนึกถึงครั้งที่พวกเขาจับค่อมตัวปลอมที่มีอาคมเหนือกว่าพวกเขาได้ “ต้องวางแผนล่อให้เขามาติดกับ”

             ช่วงมองหน้าอาติกับกัณหาสลับกันไปมา กาเจียร์ยิ้มออก

             “ใช่ ต้องมีแผน”

 

 

            

            “ข้ามีเรื่องจะขอพบท่านหัวหน้ากรมการเมือง” เสียงกาเจียร์ดังขึ้นที่หน้าประตูหอกลางเมือง

            “ท่านมีอะไรรึ ท่านกาเจียร์” นายทหารหน้าประตูถาม 

            “ข้าพบหนทางช่วยกำจัดปีศาจในเมืองแล้ว” กาเจียร์บอกทันที “ช่วยไปแจ้งเหล่ากรมการเมืองหน่อย”

            “จริงหรือขอรับ ท่านกาเจียร์” นายทหารหน้าประตูดูดีใจมาก “กระผมจะรีบไปบอกเลยขอรับ”

            นายทหารคนนั้นรีบวิ่งเข้าไปในหอกลางเมือง หลังจากหายไปสักพักเขาก็รีบวิ่งผลุนผลันกลับมา “ท่านหัวหน้ากรมการเมืองเชิญท่านเข้าไปภายในขอรับ”

            กาเจียร์เดินอย่างผึ่งผายเข้าไปในหอกลางเมือง เดินเข้าไปได้สักพักชายหลายคนก็รีบเดินออกมาจากห้องด้านใน คนที่ชราสุดในกลุ่มนั้นเอ่ยขึ้นมาว่า

            “พวกทหารบอกว่า…”

            “ใช่ ขอรับ ข้าพบผู้ที่จะช่วยเหลือเมืองของเราได้แล้วขอรับ ท่านพ่อ” กาเจียร์พูดทันที “ข้าพบผู้มีอาคมท่านหนึ่งเดินทางมาที่นี่พอดี ตอนนี้เขาพำนักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมือง เมื่อข้าเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองให้เขาฟัง เขาก็บอกว่าน่าจะมีวิธีช่วยเราได้”

            “จริงรึ” ชายชราไม่มั่นใจนัก “เขามั่นใจรึว่าจะสามารถกำจัดปีศาจได้ พวกนักต้มตุ๋นหลอกลวงก็มีเยอะนะ เจ้าต้องระวังให้มาก”

            “เขาดูมั่นใจเต็มร้อย ขอรับท่านพ่อ” กาเจียร์ยืนยัน

            “แค่เขามั่นใจ แค่นี้เจ้าก็เชื่อแล้วรึ กาเจียร์” ชายอีกคนส่ายหน้า “ช่วงนี้ยิ่งมีแต่พวกต้มตุ๋นออกมาขายเครื่องรางแปลกๆให้ชาวบ้านเต็มไปหมด”

            “เขาแสดงอาคมให้ข้าดูขอรับ ข้าทดสอบจนมั่นใจว่าเป็นผู้มีอาคมสูงส่งพอที่จะช่วยเราจับปีศาจที่เข้ามาเพ่นพ่านในเมืองของเราได้” กาเจียร์ยืนยัน “ข้าไม่ใช่คนเชื่อใครง่ายๆนี่ขอรับ ท่านพ่อก็รู้ และอีกอย่างตอนนี้บ้านเมืองของเราก็วุ่นวายยิ่งนัก ข้าว่าเราลองไปหาเขา ฟังคำแนะนำของเขาก่อน แล้วค่อยพิจารณาว่าจะทำตามหรือไม่ดีไหมขอรับ”

            “ข้าว่าทำแบบที่กาเจียร์บอกก็ดี ท่านอามัด ตอนนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว” ชายอีกคนหันมาพูดกับชายคนที่ชราที่สุดในกลุ่ม” 

            “ถ้างั้นข้าว่าให้เชิญ เขาเข้ามาในหอกลางเมืองของเราดีหรือหรือไม่ ขอรับ” นายทหารถาม 

            “อืมม งั้นก็ได้ เราจะเชิญเขาเข้ามา” อามัดตอบ

 

 

            “ท่านแน่ใจนะว่าเราจะรอด” แหวนถามเสียงขรึมขณะเดินตามช่วงและอาติ เข้าไปในหอกลางเมืองของเมืองปาเล็มหรือเมืองศรีวิชัย “ถ้าถูกจับได้ ตายยกหมู่นะ”

            “ไม่ลองก็ไม่รู้” กัณหาตอบสั้นๆ แหวนยังมีท่าทีไม่สบายใจ

            “เราจะถูกจับได้ เพราะท่าทีลุกลี้ลุกลนของเจ้านั่นแหละ” ช่วงเอ็ดแหวนเบาๆ แหวนเบะปากใส่เขา “ไม่รู้จะทำอะไรก็อยู่เงียบๆ”

            “เชิญทางนี้ ขอรับ” กาเจียร์ผายมือเชิญช่วงไปนั่งที่ที่จัดไว้ให้  พวกกรมการเมืองยืนอยู่ห่างๆ กาเจียร์เดินมาตรงหน้าช่วงแล้วแนะนำช่วงให้ทุกคนรู้จัก

            “นี่ท่านอาจารย์อาคมจากเขาริมอ่าว” เขาแนะนำ “ท่านกำลังจะเดินทางไปเกาะสุลาวารี ท่านจึงแวะมาขึ้นเรือที่ท่าเรือของเรากับลูกศิษย์สามคน” เขาผายมือไปทางกัณหา แหวนและอาติ

            “เขาริมอ่าวรึ ข้าคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินว่าที่นั่นมีอาจารย์ผู้ชำนาญเรื่องอาคมยิ่งนัก” ชายคนหนึ่งในบรรดากรมการเมืองพูดขึ้นทันที “เคยได้ยินเขาเล่าลือกันอยู่”

            “ใช่แล้ว” ช่วงตอบทำเสียงต่ำคล้ายเสียงท่านอาจารย์ตัวจริง “ข้ามาที่ท่าเรือแล้วเผอิญได้เจอกับชายผู้นี้ เขาเล่าปัญหาของพวกท่านให้ข้าฟังหมดแล้ว ข้าเชื่อว่ามันคือปีศาจผีทะเล ที่อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกแห่งนี้ เมื่อเช้านี้ข้ายังมองเห็นพรรคพวกของมันแอบซ่อนอยู่ใต้ท่าเรืออีกมาก”

            “ปีศาจผีทะเล” หลายคนอุทานพร้อมกัน มีเสียงคุยซุบซิบกันสักพักก่อนเงียบไป

            “ปีศาจนี่มันมาที่เมืองของเราเพื่ออะไรรึ” ชายคนหนึ่งในกลุ่มกรมการเมืองถามขึ้น

            “มันอาศัยอยู่ใจกลางทะเล ในทุกๆห้าร้อยปีมันจะขึ้นจากใจกลางทะเลมาเพื่อหากิน ในวันที่มันออกหากิน วันนั้นท้องฟ้าจะกลายเป็นสีแดงฉานไม่ว่าจะกี่โมงยามก็ตาม ท้องทะเลจะสะเทือนเลือนลั่น ผิวน้ำจะสั่นไหวกลายเป็นคลื่นขนาดมหึมาซัดกลับเข้าฝั่ง ถ้ามันอยู่บนพื้นดินก็จะปรากฏเป็นเงายาวไปทั่ว แต่ไม่เห็นตัว เพราะมันเป็นสัตว์ในใจกลางโลกไม่มีตัวตน พวกมันออกหากินได้เฉพาะกลางคืน เพราะพวกมันกลัวแสงอาทิตย์”

            “จริงตามที่ท่านว่าเลย” กรมการเมืองหลายคนอุทาน

            “แล้วมันต้องการสิ่งใดหรือท่าน ต้องการกินชาวเมืองหรือ” กรมการเมืองอีกคนหนึ่งถามขึ้น “หรือต้องการอะไร”

            “มันต้องการเลือดสาวพรหมจรรย์ ที่มันเดินพล่านทั่วเมืองเพื่อหาเลือดสาวพรหมจรรย์ที่เหมาะสม ถ้าไม่ได้คนที่เหมาะสม มันก็จะไม่กลับทะเล”

            “เลือดสาวพรหมจรรย์” กรมการเมืองหลายคนอุทานพร้อมกันอีกครั้ง 

            “หมายความว่าต้อง…” ท่านอามัดดูตกอกตกใจ 

            ช่วงเงยหน้าขึ้นมองทุกคน “ใช่ ตามตำนานบอกว่า ต้องเอาหญิงสาวพรหมจรรย์ไปมัดไว้ที่ท่าเรือ ปีศาจจะขึ้นมาจากน้ำ และเอาหญิงสาวคนนั้นลงทะเลไป”

            กรมการเมืองมองหน้ากันอย่างตื่นตะลึง

            “แต่ แต่ก็มีคนตายไปหลายคนตอนที่มันขึ้นฝั่ง” ชายคนหนึ่งเถียงขึ้นมา

            “แสดงว่าคนที่ตายยังไม่ใช่คนที่มันต้องการ” ช่วงตอบอย่างไม่มีสะดุด “หากพวกเจ้าไม่รู้ว่าคนไหนเหมาะสม ข้าช่วยเจ้าได้ ข้าจะช่วยหาหญิงคนที่เหมาะสมให้” 

            “หายังไงหรือท่าน”

            ช่วงพยักหน้าให้อาติ อาติเดินออกไปข้างหน้าถือกล่องไม้ที่กัณหาใช้ฝึกไว้ในมือแล้วชูให้ทุกคนดู

            “จงพาหญิงสาวพรหมจรรย์ทั้งเมืองมาหาข้าที่นี่ ให้พวกนางถือกล่องไม้นี้ หญิงคนใดทำให้กล่องไม้นี้ลอยและเปลี่ยนเป็นสีทองได้ คนนั้นแหละ คนที่ปีศาจต้องการ” ช่วงบอกอย่างสงบ

            “เราจะเชื่อท่านได้อย่างไร” ชายคนหนึ่งพูดทันที “ท่านจะหลอกเอาหญิงสาวในเมืองของเราไป..”

            “เจ้า” ช่วงพูดด้วยเสียงดังขึ้นมา ทันใดนั้นไฟก็ลุกพรึ่บที่ตะเกียงที่ใกล้ที่สุดพร้อมกันสี่อัน กรมการเมืองพากันผงะที่จู่ๆไฟติดเอง หลายคนตัวสั่น “คิดว่าข้าจะทำมิดีมิร้ายพวกนางรึ”

            “ขอประทานอภัยเถอะท่านอาจารย์” ท่านอามัดเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม “มิใช่ว่าเราต้องการลบหลู่ท่าน หากแต่นี่มันหมายถึงชีวิตของชาวเมืองของเรา เราต้องคิดกันให้รอบคอบ เพราะหญิงทุกนางก็ล้วนมีครอบครัวที่รักรออยู่ทั้งนั้น” 

            “ข้าจะช่วยพวกเจ้าหานางจนเจอได้ ส่วนต่อไปเจ้าจะทำอย่างไร ก็สุดแล้วแต่พวกเจ้าจะตกลงกับพวกนางและครอบครัวของพวกนาง”

            “แปลว่านางต้องตายกระนั้นหรือ” กาเจียร์ถามช้าๆ “ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือท่านอาจารย์”

            “มีแต่วิธีนี้วิธีเดียวที่จะหยุดปีศาจพวกนั้นได้ ข้าช่วยได้เพียงเท่านี้ ความสูญเสียเป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิด แต่เมื่อถึงเวลาที่บ้านเมืองมีภัย ก็ต้องมีบางคนที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อหยุดภัยนั้น” ช่วงตอบอย่างสงบ 

            กรมการเมืองพากันมองหน้ากันอย่าหวาดกลัว กัณหารู้ดีว่าพวกเขากลัวว่าหญิงคนที่ปีศาจตามหานั้นอาจเป็นลูกหลานหรือญาติของพวกเขา ทุกคนมองหน้ากันไปมาราวกับไม่รู้ว่าจะตัดสินใจว่าอย่างไรดี

            “ท่านบอกว่าพวกนาง หมายความว่าอาจมีมากกว่าหนึ่งคนหรือ” ท่านอามัดทวนคำ

            “ใช่ มีปีศาจจำนวนมาก พวกมันก็ต้องการมากเหมือนกัน”

            ทุกคนในที่นั้นเงียบไป ไม่มีใครพูดหรือมองสบตากันเลย ดูราวกับว่าพวกเขาตกอยู่ในห้วงภวังค์ของตนเอง 

            “ข้าให้เวลาพวกท่านไปคิดแล้วกัน” ช่วงตอบลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นไฟสี่ดวงในตะเกียงก็ดับลงทันที พวกกรมการเมืองได้แต่มองหน้ากันอย่างอับจนหนทาง 

 

 

 

            “จะได้ผลรึ” แหวนนอนเอกเขนกบนเตียงในห้องพักโยนกล่องไม้ไปมา “ดูท่าพวกเขาก็ไม่ค่อยเชื่อนัก”

            “กาเจียร์คงพยายามโน้มน้าวพวกกรมการเมืองอยู่” อาติบอก 

            “ถ้าพวกนั้นจับได้ เราได้คอขาดตายพร้อมหมอนั่นแน่” แหวนบ่น “หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ เราช่วยเขาแล้วจะได้อะไร และมั่นใจได้ไงว่าเขาหวังดีกับชาวเมืองจริง ไม่ใช่ว่าเขามีแผนจะฮุบเมืองไว้เป็นของตัวเองหรอกนะ”

            “ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา” ช่วงเองก็ดูคิดหนัก “ดูจากท่าทีและแผนการที่เราช่วยกันวางแผน เข้าชื่อว่าเขาก็ไม่ได้หวังอะไรไปมากกว่าความสงบสุขของเมืองนี้”

            “โถ ดูเป็นวีรบุรุษเสียจริง” แหวนเบะปาก “ส่วนเราเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอชัดๆ”

            “ช่วยพวกเขา เราก็ได้ออกเรือไวขึ้น” กัณหาบอกกับแหวนที่มีทีท่าไม่เชื่อนัก

            “แล้วคืนนี้พวกท่านมีแผนจะทำอะไร” เจ้านกน้อยสงสัย มองไปที่กัณหากับอาติใส่ชุดดำกันทั้งคู่

            “ทำไม เจ้าจะไปช่วยหรือจี้ด” แหวนสวนขึ้นมา

            “ข้าไม่ได้ชื่อจี้ด” เจ้านกพูดทันที กัณหากับอาติพากันหัวเราะ หลังจากเคร่งเครียดมาแต่เช้า

            “เราวางแผนว่าจะทำให้มันดูน่ากลัวกว่าเดิมอีก” อาติบอก “เพื่อเร่งปฏิกิริยาให้พวกกรมการเมืองตัดสินใจง่ายขึ้น และอยากให้เจ้าช่วยพวกเราด้วย นกน้อยจี้ด”

            “พวกท่านจะทำอะไร” เจ้านกถามซ้ำ

            กัณหากับอาติได้แต่ยิ้มให้กันไม่พูดว่าอะไร เจ้านกมีสีหน้าไม่สบายใจขึ้นมา

            “เจ้าต้องช่วยดูต้นทางให้เราละ” อาติบอกนกที่เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดเต็มที่

 

 

 

            คืนนั้นในเมืองศรีวิชัย มีเงาเดินไปทั่วเมืองเหมือนเดิม สิ่งที่เพิ่มเติมมาคือเสียงครืดคราดและเสียงโหยหวนน่ากลัวปรากฏขึ้นพร้อมกับเงาดำในทุกที่ คนในเมืองยิ่งหวาดกลัวมากกว่าเดิม เช้าวันต่อมา จึงแทบไม่มีใครกล้าออกจากบ้าน พวกกรมการเมืองสั่งเรียกประชุมพร้อมกันที่หอกลางเมืองอย่างเคร่งเครียด หลังจากถกเรื่องนี้กันยาวนานกว่าสามชั่วยามในที่สุดกรมการเมืองก็ได้ข้อสรุป

            “ท่านอาจารย์” เสียงกาเจียร์ดังขึ้นที่หน้าโรงแรมที่พวกเขาพัก “ข้าขอพบท่านอาจารย์หน่อย” 

            “ขอรับ ใต้เท้าเชิญขอรับ” เจ้าของโรงแรมรีบนำทางไปห้องพักของช่วง แต่กาเจียร์ห้ามไว้

            “ไม่เป็นไร ข้าขึ้นไปเอง” เขาบอกเจ้าของโรงแรม “พวกท่านรอข้างล่างดีกว่า คนขึ้นไปหาท่านหลายคน ท่านจะรำคาญเอา ระหว่างนี้ขอช่วยจัดอาหารแสนอร่อยไว้รอด้านล่างด้วย ประเดี๋ยวข้าจะเชิญท่านอาจารย์ลงมา”

            “ขอรับ” เจ้าของโรงแรมรับคำ ก่อนรีบเข้าไปที่หลังครัว กาเจียร์เห็นดังนั้นก็รีบขึ้นมาที่ห้องพักของพวกเขาที่ชั้นสองปีกด้านตะวันออกที่ถูกกันไว้ไม่ให้คนอื่นเข้าพัก “เพื่อให้ท่านอาจารย์ได้สุขสบายและมีความเป็นส่วนตัว” ตามที่กาเจียร์บอกเจ้าของโรงแรม

            “ได้ผล” กาเจียร์บอกพวกเขาเมื่อเข้ามานั่งในห้องพักที่พวกเขานั่งชุมนุมกันอยู่ “เช้าวันพรุ่งนี้ กรมการเมืองจะให้หญิงสาวทั้งเมืองไปที่ลานกลางเมือง”

            “เยี่ยม” อาติดีใจมาก ช่วงก็พลอยโล่งใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการ

            “แล้วนี่” กาเจียร์คลี่กระดาษที่มีรูปหญิงสาวที่งดงามมากสองคนให้พวกเขาดู “คนนี้แหละที่เราต้องการพวกเจ้าจำหน้าไว้”

            “พวกนางเป็นหญิงชนชั้นสูงของเมืองนี้ ครอบครัวของนางจะยอมให้มาร่วมทดสอบหรือ” แหวนสงสัย 

            “ถ้าทดสอบทุกคนแล้วก็ยังไม่เกิดผลใดๆสุดท้ายครอบครัวของพวกนางก็ต้องยอมให้มาทดสอบเอง” กาเจียร์พูดอย่างมั่นใจ “ขอเพียงเจ้าจำหน้าหญิงทั้งสองคนนี้ให้แม่นก็พอ”

            “ไม่มีปัญหา” กัณหารับคำ