รุ่งเช้าวันถัดมา หญิงสาวแรกรุ่นทั้งเมืองพาเดินทางมายังบริเวณลานกลางเมืองพร้อมครอบครัวเพื่อรับการทดสอบ ช่วง อาติและแหวนนั่งอยู่ที่ด้านหลังของลาน มีกัณหายืนอยู่กลางลานคอยส่งกล่องไม้ให้หญิงสาวเหล่านั้น หลังจากการทดสอบนานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครสามารถทำให้กล่องไม้ลอยหรือเปลี่ยนสีได้เลย

            “มีแค่นี้รึ” ช่วงถามกรมการเมือง เมื่อหญิงสาวทั้งหมดหยิบกล่องวางไว้ในมือก็ไม่ก่อให้เกิดผลใดๆ 

            “เอ่อ..”กรมการเมืองมองหน้ากันไปมา

            “ข้าว่ายังมีอีกแน่ ญาณของข้าบอกว่ายังไม่หมด ตอนนี้เรายังไม่เจอหญิงสาวคนที่ปีศาจต้องการ”

            “คือ…” ชายคนหนึ่งในกลุ่มกรมการเมืองเอ่ยขึ้น “ยังเหลืออีกสองคน แต่คือ…”

            “คืออะไร อ้ำอึ้งอยู่ได้” ช่วงตำหนิกรมการเมือง

            “คือ เหลืออีกสองคน คนหนึ่ง นางเป็นหลานสายตรงของอดีตเจ้าเมือง อีกคนเป็นบุตรสาวของน้องชายของเจ้าเมือง”

            “แล้วอย่างไร” ช่วงถามต่อ หญิงสาวและผู้คนที่ยืนดูกันอยู่รายรอบพากันมองมาอย่างไม่พอใจเมื่อทราบว่ามีหญิงสาวไม่ได้มาทดสอบ “พวกหล่อนเป็นหญิงชั้นสูง ย่อมต้องเสียสละเพื่อบ้านเมืองมากกว่าใครไม่ใช่รึ แค่มาทดสอบแค่นี้ถึงกลับหลบหน้าหลบตา ไม่กล้ามาทดสอบเยี่ยงแม่หญิงคนอื่นๆเทียวรึ”

            “เอ่อ…” กรมการเมืองไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ชาวเมืองคนอื่นๆที่ได้ยินพากันส่งเสียงประท้วงไม่พอใจเสียงดังลั่น จนทหารต้องรีบเข้ามาห้ามปราม

            “ข้าจะไปเจรจากับบุตรชายและน้องชายของท่านเจ้าเมืองผู้เป็นบิดาของพวกนางอีกที” กรมการเมืองคนนั้นรับคำ และรีบออกจากลานกลางเมืองไป ท่ามกลางเสียงร้องโห่ของชาวเมือง

 

 

 

            รุ่งเช้าวันถัดมากรมการเมืองให้คนมาเชิญช่วงไปที่ลานกลางเมืองอีกรอบ กัณหามั่นใจว่าคนที่มาทดสอบในวันนี้เป็นคนที่กาเจียร์ต้องการตัวแน่ๆ เมื่อพวกเขามาถึงที่ลานกลางเมืองพบว่ามีบริเวณที่กั้นไว้เหมือนเป็นพลับพลาที่ประทับที่เคยเห็นเวลาฝ่ายในออกตามเสด็จพระเจ้าแผ่นดินไปป่า หรือไปที่อื่นๆนอกวัง กัณหามั่นใจว่าใต้พลับพลานั่นจะต้องมีผู้มีอำนาจหรือมียศศักดิ์สูงในเมืองนี้อยู่เป็นแน่ ทหารเชิญช่วงให้นั่งที่กลางลานบนอาสนะที่จัดเตรียมไว้ให้ ส่วนคนอื่นๆก็นั่งลงด้านหลังช่วง

            มีเสียงดังออกมาจากพลับพลานั้น เป็นเสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดเสียงดังว่า 

            “เริ่มพิธีได้”

            กาเจียร์พยักหน้าให้กัณหาเดินถือกล่องไม้มาบริเวณกลางลาน

            “เอาของนั่นเข้ามาภายในนี้สิ” เสียงผู้ชายสั่งมาจากพลับพลา

            “หาได้ไม่” ช่วงขัดขึ้นทันที “การทดสอบต้องทำกลางแจ้งในที่มีแดดส่องถึงจึงจะได้ผล” 

            “นี่เจ้า!!!” เสียงผู้ชายนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ กรมการเมืองที่ยืนอยู่ข้างพลับพลารีบเข้าไปภายใน กัณหาคาดว่าเขาน่าจะไปเจรจาความกับชายเจ้าของเสียงที่ทรงอำนาจนั้น สักพักหญิงรูปงามสองคนเดินออกมาจากพลับพลานั้น หล่อนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าคล้ายกับที่เห็นเมญ่าใส่ คือเสื้อแขนยาวและผ้าซิ่นยาวถึงข้อเท้า แต่ชุดของพวกนางดูหรูหรากว่า และเป็นสีทองงามจับตา กัณหาสังเกตว่าหญิงคนหนึ่งเป็นหญิงสาวน่าจะวัยไล่เลี่ยกับกาเจียร์ อีกคนเป็นเด็กสาวแรกรุ่น น่าจะอายุแก่กว่ากัณหาแค่ไม่กี่ปี

            “อารีฟา เริ่มก่อน” เสียงผู้ชายดุดันสั่งมาจากในพลับพลา

            “เหตุใดต้องเป็นอารีฟาเริ่มด้วยเล่า” เสียงผู้ชายอีกคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมา “ข้าว่าเริ่มพร้อมกันน่าจะดีกว่า ข้าเห็นมีกล่องไม้นั่นตั้งหลายอัน”

            “แค่ให้อารีฟาเริ่มก่อนจะเป็นไรนักหนา” เสียงผู้ชายคนแรกส่งเสียงไม่พอใจ

            “ให้เริ่มพร้อมกันจะเป็นไรนักหนา” เสียงชายคนที่สองขัด “ดูพร้อมกันไปเลยจะได้ไม่เสียเวลา”

            “เริ่มพร้อมกันก็ได้ ท่านทั้งสอง” ช่วงตัดบทเมื่อเห็นท่าว่าจะมีสงครามประสาทตามมา แล้วหันไปหาแหวน “เจ้าจงยกกล่องไม้ไปให้ท่านหญิงถือ และดูแลกล่องไม้นี้ด้วย”

            แหวนค้อน ช่วงมองหล่อนตาเขม็ง หล่อนจึงลุกจากที่นั่ง ถือกล่องไม้อีกกล่องไปด้วย “บอกคุณหนูว่า กล่องนี้ให้อาติทำ”

            “เจ้าดูกล่องไม้ที่แหวนถือนะ” ช่วงกระซิบบอกอาติ เขาพยักหน้ารับ 

            แหวนถือกล่องไม้นำไปส่งให้หญิงสาวที่ดูอ่อนวัยกว่า ส่วนกัณหาก็รอยื่นของให้หญิงสาวอีกคน

            “กล่องนี้ให้อาติดู” แหวนหันมากระซิบกับกัณหา 

            หญิงสาวตรงหน้ากัณหารับกล่องไม้ไปถือ ตอนนั้นเองกัณหาตั้งจิตสมาธิโดยไม่ให้เป็นที่สังเกต สักพักกล่องไม้นั้นลอยขึ้นและเปล่งแสงสีทอง ในขณะที่อาติก็ทำให้กล่องไม้ที่อยู่ที่หญิงอีกคนกลายเป็นสีทองและลอยขึ้นเช่นกัน

            เกิดเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจในหมู่ชนที่อยู่รอบลาน หลายคนก้มลงกราบไหว้หญิงสาวทั้งสองเบื้องหน้า กัณหาเห็นหญิงสาวทั้งสองมีสีหน้าซีดเผือดเมื่อรู้ตัวว่าพวกหล่อนเป็นคนที่ปีศาจต้องการตัวหญิงสาวคนที่อายุน้อยกว่าทรุดตัวนั่งลงแล้วก็ร้องไห้ออกมา

            “ไม่จริง” เสียงกรีดร้องดังลั่นจากพลับพลา เสียงพวกผู้หญิงร้องไห้คร่ำครวญดังตามมา 

            “เงียบ” เสียงชายคนเดิมจากในพลับพลาดังขึ้น สักพักชายคนหนึ่งหน้าตาคมเข้มดูดุดันในชุดประจำเมืองสีเหลืองทองที่ดูหรูหราลุกออกมานอกพลับพลาตรงไปที่ช่วงและยกดาบขึ้นพาดคอช่วง

            “ฝ่าบาท ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น” กรมการเมืองหลายคนรีบเข้าไปห้าม

            ช่วงยังคงนั่งสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีหวาดกลัวใดๆต่อดาบที่พาดที่ลำคอ ในขณะที่แหวนกรีดร้อง ตัวสั่นงันงก

            “มันหลอกลวง” ชายคนนั้นตะโกน “เจ้าต้องการอะไรจึงทำเช่นนี้บอกมา!!!”

            “ฝ่าบาท” กาเจียร์รีบเข้าไปห้ามทัพ “ท่านอาจารย์มีเจตนาดี ท่านต้องการช่วยพวกเราจริง อย่าทำเช่นนั้นเลย” 

            “ช่วยงั้นหรือ” ชายคนนั้นหันมาต่อว่ากาเจียร์ “มันเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง สร้างเรื่องทั้งหมดเพื่อให้ตนมีชื่อเสียง”

            “ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด” ช่วงตอบชายคนนั้นอย่างสงบ กัณหานึกนับถือเขาจากใจจริงที่ยังสามารถเล่นละครอยู่ได้ แม้ความตายอยู่ตรงหน้า “ถ้าอยากรู้ว่า เรื่องที่ข้าพูดจริงหรือไม่ก็เอานางทั้งสองคนนี้ไปบูชาปีศาจก่อน แล้วเจ้าจะรู้ว่าจริงหรือไม่”

            “ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอกเจ้าแก่ เจ้าโกหก” ชายคนนั้นขึงขังขึ้นมาทันที “ข้าจะเอาเจ้าไปบูชาปีศาจนั่นเป็นคนแรกดีไหม”

            ชายที่แต่งตัวดูมีภูมิฐานอีกคนเดินออกมาจากพลับพลา เขาสวมชุดแบบเดียวกันแต่เป็นสีส้มอมทอง 

            “อย่าเพิ่งโมโหโทโสเกินงาม ฮารุน” ชายคนนั้นปราม

            “ไม่ให้โมโหรึ” ชายที่ชื่อฮารุนหันมาทันที “งั้นท่านจะมอบชีวิตอารีฟา เพื่อบูชายัญแก่ปีศาจไหมละ ท่านอา” เขาหันมามองชายชุดส้มด้วยสีหน้าท้าทาย น้ำเสียงดูเยาะเย้ยอีกฝ่ายเต็มที่

            ชายชุดส้มอมทองหันไปหาหญิงสาวที่กัณหามอบกล่องไม้ให้ หล่อนพยักหน้าให้เขา แม้สีหน้าจะซีดเผือดแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

            “ข้าคุยกับอารีฟาแล้ว นางยินดีจะมอบชีวิตเพื่อช่วยชาวเมือง หากนางคือคนที่ปีศาจต้องการ” เขาพูดด้วยเสียงหนักแน่น อาติกับกัณหาถึงกับหันไปมองใบหน้านางอย่างตกตะลึง

            “งั้นก็ให้อารีฟา มอบชีวิตให้ปีศาจบ้านั่นคนเดียวแล้วกัน” ฮารุนหัวเราะเสียงดัง “แล้วข้าจะรอดูว่า ปีศาจจะหายไปไหม”

            “ไม่ได้” ช่วงพูดต่อทันทีแม้จะมีดาบจ่ออยู่ที่คอ ถ้ากล่องไม้เปลี่ยนสีทั้งสองกล่องก็แปลว่าต้องมอบชีวิตทั้งสองคนนี้ให้แก่ปีศาจพวกมันถึงจะพอใจและกลับไปใต้ทะเลเหมือนเดิม หากได้ไม่ครบพวกมันจะไม่ไป” 

            “เจ้า!!!” ท่านชายฮารุนโมโหขึ้นมา แต่ในนาทีนั้น จู่ๆเข่าของเขาก็ทรุดลง ดาบตกลงถึงพื้นทันที กัณหาหันไปมองอย่างแปลกใจ เห็นอาติกำลังเพ่งสมาธิไปที่เขา

            “ข้าบอกได้แค่นั้นแหละ ข้าช่วยชี้ทางให้เจ้าแล้ว ต้องขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไรต่อไปกับคำแนะนำที่ให้” ช่วงลุกขึ้นยืนอย่างผึ่งผาย แล้วก้มมองชายชุดทองนั้น “หากต้องการช่วยให้ประชาชนของเจ้ามีความสุข ก็ต้องยอมแลกกับชีวิตของบุตรสาวเจ้า เจ้าถึงจะคู่ควรกับการเป็นเจ้าเมือง”

            เสียงคนโห่ร้องตะโกนดังลั่นให้มอบหญิงสาวทั้งสองให้ปีศาจ หญิงสาวที่นั่งลงร้องไห้คร่ำครวญหนักกว่าเดิมอารีฟานั่งลงข้างๆและพยายามปลอบนาง

            “ข้าว่าจากสถานการณ์นี้เราก็พอบอกได้แล้วว่าใครคู่ควรจะขึ้นเป็นเจ้าเมืองคนใหม่ของเรา ชายชราที่ดูมีอายุมากสุดในกลุ่มกรมการเมืองเอ่ยขึ้น “ท่านชายฟีราซ น้องชายของท่านเจ้าเมือง จะยอมเสียสละบุตรสาวของตนเองเพื่อชาวเมืองทุกคน ท่านยอมเสียสละเพื่อชาวเมืองขนาดนี้ย่อมคู่ควรแก่การขึ้นสืบทอดตำแหน่งจากท่านเจ้าเมือง” มีเสียงโห่ร้องตอบรับอย่างยินดี และมีเสียงตะโกนพร้อมกันว่า ฟีราซ ฟีราซ

            “เจ้า” ชายชุดทองลุกขึ้นได้อีกครั้ง หลังจากอาติคลายมนต์ออกจากตัวของเขาแล้ว เขาดูโกรธจัดจนทำอะไรไม่ถูก “พวกเจ้าทุกคนมันโง่อย่างงี้ไงละ ถึงได้โดนไอ้แก่นี้หลอกง่ายดาย  ไอ้เงาที่เดินไปมาทั่วเมืองนะ ไม่ใช่ปีศาจมาจากที่ไหนทั้งนั้น มันเป็นอาคมที่ถูกเสกขึ้นมา”

            “ท่านพูดเรื่องอะไร  ฝ่าบาท” กาเจียร์เถียงขึ้นมา มันคือปีศาจจากใต้ทะเล ท่านอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญอาคมคนนี้ก็บอกเช่นนั้น”

            “มันหลอกลวง” ฮารุนตะโกน “มันไม่ใช่รู้เรื่องอะไร เงาพวกนั้นไม่ใช่ปีศาจ มันเป็นอาคม เป็นอาคมที่ถูกเสกขึ้นมา”

            “มันไม่ใช่อาคม มันเป็นปีศาจทะเล” ช่วงยังยืนยัน ชาวเมืองที่อยู่รอบนั้นมองไปมองมาอย่างสับสน

            “ฝ่าบาทรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นอาคม” กาเจียร์ถามทันที “จะเป็นไปได้อย่างไร ใครจะเสกอาคมได้ทั่วทั้งเมืองขนาดนี้ได้”

            “ไอ้แก่นี่ไง” ฮารุนชี้มาที่ช่วง “มันเป็นคนเสกแน่ๆ เสกอาคมมาก่อกวนพวกเรา ให้พวกเราหวาดกลัว แล้วก็มาตักตวงเอาผลประโยชน์”

            “แล้วข้าจะทำไปเพื่ออะไรละ” ช่วงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ข้ามาที่เมืองนี้เพื่อขึ้นเรือไปที่อื่น การที่ท่าเรือใช้งานไม่ได้ ข้าจะได้ประโยชน์อะไร หรือจะว่าข้าต้องการทรัพย์สินอื่นใด ตั้งแต่ข้ามาก็ยังไม่ได้รับทรัพย์สินอื่นใดเป็นพิเศษเลย กาเจียร์ยืนยันได้”

            “จริง ขอรับ” กาเจียร์เห็นด้วย “ฝ่าบาท เชื่อท่านอาจารย์เถิดขอรับ เราจำเป็นต้องเสียสละท่านหญิงทั้งสองเพื่อให้ทุกสิ่งกลับมาเป็นเหมือนเดิม”

            “เจ้าโดนมันหลอกกาเจียร์ ข้าบอกแล้วไงว่ามันเป็นอาคม ไม่ใช่ปีศาจ”

            “แต่ตอนแรกที่เกิดเรื่อง ฝ่าบาทกับท่านเจบัตก็บอกเองว่ามันเป็นปีศาจ ได้โปรดเถิดขอรับ เพื่อบ้านเมืองของเรา เพื่อชาวเมืองทุกคน โปรดยอมให้ท่านหญิงเจนาบเสียสละเพื่อทุกคน” กาเจียร์ทรุดตัวนั่งลงคุกเข่า

            “ได้โปรดเมตตาชาวเมืองทุกคนด้วยเถิด” กรมการเมืองคนอื่นทำตามกาเจียร์ พากันนั่งคุกเข่าลง 

“โปรดเมตตาเสียสละเพื่อพวกเราด้วยเถิด” ชาวเมืองหลายคนทรุดลงนั่งคุกเข่าตามกรมการเมือง

            “พวกเจ้า”  ฮารุนขึ้นเสียงใส่ เขาดูโมโหโทโสมากขึ้น เขายกดาบขึ้นอีกครั้งคราวนี้พาดคอของกาเจียร์

            “เจ้ามันโง่เง่านัก ข้านึกว่าเจ้าจะฉลาด กาเจียร์” ฮารุนโมโห “ได้ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าสละชีวิตของเจนาบ ข้าก็ขอชีวิตของเจ้าเป็นข้อแลกเปลี่ยน”

            กัณหา และแหวนมองสบตากันอย่างตกตะลึง เรื่องมันชักจะเลยเถิดแล้ว

            “เอาไงดี” อาติกระซิบถามช่วงที่เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนกัน

            “ข้ายินดี ถ้าท่านเอาชีวิตข้าไป แล้วท่านจะยอมมอบท่านหญิงเจนาบเพื่อชาวเมืองทุกคน” กาเจียร์พูดทันที กัณหากับแหวนได้แต่มองหน้ากันอย่างตกใจมากกว่าเดิม

            “ดี” ฮารุนแสยะยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้ารึ กาเจียร์ ในเมื่อเจ้าพูดเอง ข้าก็จะ…”

            “ท่านพ่อ….ได้โปรด หยุดเถิด” เสียงดังมาจากหญิงที่แหวนส่งกล่องไม้ให้ คนที่กัณหาคิดว่า เธอคือท่านหญิงเจนาบที่กาเจียร์พูดถึง ตอนนี้หล่อนนั่งร้องไห้อยู่ที่พื้นโดยมีอารีฟานั่งประคองร่างที่สั่นระริกของหล่อนไว้ “อย่าทำเช่นนั้นเลย ข้ารู้ดีว่าท่านรักข้ามาก ข้าเองก็รักท่านพ่อมากเช่นกัน” ท่านหญิงนัยน์ตาแดงก่ำ “ใช่ ข้ายอมรับว่าข้ากลัว ข้าไม่อยากทำ ข้ากลัวความตาย แต่สิ่งที่ข้ากลัวมากกว่าคือการมีชีวิตอยู่ดูคนรอบตัวตายไปเรื่อยๆ หากนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ต้องการให้ข้าแลกชีวิตเพื่อหยุดความตายของชาวเมืองแล้วละก็ ข้าก็ยินดีจะทำตามพระประสงค์นั้น”

            คนทั้งเมืองหยุดมองเจนาบเป็นตาเดียว กัณหาเองก็อึ้งไป เธอยังคาดว่าเจนาบอาจจะร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมเสียอีก

            “หูยยย” แหวนอุทานออกมาข้างกัณหา “โคตรเท่อ่ะ”

            “เจนาบ” ฮารุนสะอึก พูดไม่ออก 

            ท่านหญิงเจนาบยกมือขึ้นป้ายน้ำตาออกจากใบหน้าของตนก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเป็นคนขี้ขลาดมาตลอดชีวิต ถึงเวลาที่ข้าต้องกล้าที่จะเสียสละ”

            ชาวเมืองที่อยู่รายรอบบริเวณนั้นได้แต่นิ่งเงียบ หลายคนเอาผ้าออกมาซับน้ำตา แหวนเองก็น้ำตาซึม         

“เจ้าพวกโง่ ไอ้แก่นี่มันไม่ได้รู้จริงหรอก มันโกหกหลอกลวงพวกเจ้าทั้งนั้น ไอ้เงาผีที่เดินตามเมืองไม่ใช่ปีศาจ มันเป็นอาคมที่เจ้าแก่โยฮันสร้างขึ้นมาต่างหาก”  ฮารุนตะโกนเสียงกึกก้องอย่างหมดความอดทน “พวกเจ้าก็โง่ไปเชื่อตามมัน”

            คนทั้งเมืองพากันมองหน้ากันไปอย่างตกตะลึง ตกตะลึงเสียยิ่งกว่าตอนที่ท่านหญิงเจนาบร้องไห้

            “เจ้าพี่ทราบได้อย่างไรว่า โยฮันเป็นคนทำ” อารีฟาพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบนั้น 

            “ก็…ข้าไปสืบทราบมานะสิ” ฮารุนชะงัก เริ่มพูดช้าลง ใบหน้าเริ่มซีดขาว

            “โยฮันเป็นคนในบังคับของเจ้าไม่ใช่หรือ เขาจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน” ฟีราซพูดขึ้นมา ทุกคนหันไปมองฮารุนเป็นตาเดียว

            “หากฝ่าบาทยืนยันว่าเป็นโยฮันจริง ข้าจะให้คนไปจับเขามา ทหารไปจับตัวโยฮันมาบัดเดี๋ยวนี้” กาเจียร์หันไปสั่งทหาร

            “ให้ข้าไปช่วยด้วยไหม” อาติเสนอ “ถ้าเขามีอาคม พวกทหารอาจจะจับยาก”

            “ขอบใจมาก อาติ” กาเจียร์พยักหน้าให้ อาติรีบตามพวกทหารออกไป

            ทุกคนต่างมองกันอย่างงุนงง มีคนกระซิบกระซาบกันไปมา ต่างคนต่างเริ่มตามเรื่องไม่ทัน 

            “แล้วนี่สรุปมันยังไงกัน” ฟีราซพูดขึ้นทันที เขาเองก็ดูสับสนงุนงงมาก “มันเป็นอาคมฝีมือโยฮันหรือเป็นปีศาจตามที่ท่านอาจารย์ของเจ้าพูดกันแน่ กาเจียร์”

            “ข้าว่าถ้าท่านชายฮารุนยืนยันว่าเป็นอาคมฝีมือของโยฮันก็น่าจะเป็นจริงตามนั้น ฝ่าบาท” กาเจียร์ตอบอย่างสงบ

            ทุกคนหันมามองกาเจียร์

            “หมายความว่ายังไงกาเจียร์” ท่าอามัดถามเขาทันที

            กาเจียร์ทรุดตัวลงนั่งต่อหน้าฟีราซ

            “ข้าขอประทานอภัยแก่ฝ่าบาทและท่านหญิงทั้งสองที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายนี้ ความจริงข้าสงสัยมานานแล้วว่าเงาที่เดินไปมาในเมืองคืออาคมฝีมือของใครบางคนในเมือง แต่ไม่มีหลักฐาน เมื่อข้าได้พบท่านอาจารย์และคณะเดินทางนี้ พวกเขาเสนอให้ข้าวางแผนหลอกล่อให้คนที่แสดงอาคมเผยตัวออกมา ข้าเชื่อว่า…เออ อาจจะเป็นใครในท่านชายทั้งสองคนใดคนหนึ่งเป็นคนสั่งให้ใช้อาคมนี้ ข้าจึงได้วางแผนเพื่อหลอกล่อให้ท่านชายพูดความจริงออกมาเอง ไม่ได้มีประสงค์ทำให้ท่านหญิงทั้งสองหวาดกลัวแต่อย่างไร”

            “เจ้าหมายความว่า…”

            “ใช่แล้ว ข้าให้ชายผู้นี้เสแสร้งเป็นอาจารย์อาคม แล้วเรื่องปีศาจตามหาหญิงพรหมจรรย์อะไรนั่นเป็นเรื่องโกหกที่ข้าสร้างขึ้นเอง เพื่อหาทางหลอกล่อให้ผู้เสกอาคมแสดงตัวออกมา และตอนนี้ข้าก็รู้แล้วว่าอาคมเป็นฝีมือใคร และใครเป็นคนสั่งให้ทำเรื่องนี้ขึ้นมา”

            กาเจียร์มองไปที่ฮารุน

            “นี่เจ้า เจ้าหลอกลวงข้างั้นรึ” ฮารุน หันมาหากาเจียร์อย่างโกรธจัด “เจ้ารวมหัวกับพวกนอกคอกนี้มาเสแสร้งว่ามีอาคมเพื่อจับข้างั้นรึ” กัณหาทันเห็นเขาคว้าดาบขึ้นมากำลังจะฟันกาเจียร์จากทางด้านหลัง”

            แต่ทันใดนั้นร่างของเขาก็ลอยสูงขึ้นในอากาศหลายวาท่ามกลางความแปลกใจของทุกคน เท้าและแขนของเขาห้อยต่องแต่ง

            “เขาไม่ได้หลอกลวงท่านทั้งหมดหรอก” กัณหายิ้ม “อย่างน้อยฉันก็มีอาคมนะ”

 

 

            “เฮ้ย นึกว่าจะโดนจับเข้าคุกเสียแล้ว”  แหวนว่าเอนตัวล้มลงบนเตียงนอนดูท่าทางมีความสุขมากที่ได้กลับมาห้องพักอีกครั้ง

            “จริง” กัณหาว่าล้มตัวลงนอนเช่นกัน เจ้านกน้อยมองท่าทีของทั้งสองแล้วก็ส่ายหัวอย่างเอือมระอา

            “แล้วสรุปพวกเขาจับท่านชายฮารุนนั้นไว้ไหม” เจ้านกซักถามต่อ

            “จับสิ ท่านฟีราซให้จับเขาไว้และคงมีการสืบสวนการอีกยาว แต่ที่แน่ๆ ข้าว่าเขาคงหมดสิทธิ์ได้เป็นเจ้าเมืองแล้วละ จี๊ด” แหวนเล่าไปหาวไป “น่าสงสารท่านหญิงเจนาบทั้งตกใจ ทั้งหวาดกลัว แล้วยังต้องมารับรู้ความจริงว่าพ่อของตนเองนั่นแหละคือต้นเรื่องร้ายกาจทั้งหมด” 

            “แล้วจะเกิดอะไรกับท่านหญิงเจนาบ” เจ้านกเริ่มเป็นห่วงเด็กสาวที่เขาไม่เคยแม้แต่จะเห็นตัว แต่เท่าที่ฟังจากเรื่องเล่าของแหวนก็ต้องยอมรับว่า เธอเป็นคนดีคนหนึ่งทีเดียว

            “ก็ไม่ทำไม ท่านก็กลับวังของท่านไปนะสิ เห็นกาเจียร์บอกว่า ฟีราซเป็นคนใจเย็นและมีเมตตาต่อคนอื่นมาก ฟังจากกาเจียร์ว่าเขาก็ดูเป็นคนใช้ได้อยู่นะ เชื่อว่าฟีราซคงไม่ปล่อยให้ท่านหญิงลำบากหรอก” แหวนหาวอีกรอบ ตาเริ่มจะปิด

             “จะเชื่อได้อย่างไร” เจ้านกน้อยไม่เห็นด้วยนัก “พ่อของท่านหญิงเป็นคู่แข่งกับท่านฟีราซไม่ใช่รึ เขาได้รับชัยชนะแบบนี้ ข้ากลัวเขาหันกลับไปเล่นงานท่านหญิงผู้นี้จริงๆ”

            “ไม่หรอก ต่อให้ท่านฟีราซคิดเล่นงานเจนาบจริง แต่ฉันเชื่อว่า คุณงามความดีของเจนาบจะปกป้องตัวเธอให้รอดปลอดภัยแน่นอน”

            “อะไรทำให้ท่านเชื่ออย่างนั้น” เจ้านกยังซักไม่หยุด

            “โอ๊ย ถามมากจริง จี๊ด” แหวนบ่นเอาหมอนปิดหู 

            “ฉันก็ไม่รู้” กัณหายิ้มให้เจ้านกที่ได้แต่นึกตอบในใจว่า นึกแล้วเชียว “แต่เจนาบรักชาวเมืองมากขนาดกลัวแทบตายแต่ก็ยอมตายแทนได้ ฉันเชื่อว่า ชาวเมืองก็คงไม่ปล่อยให้เธอลำบากหรอกจริงไหม”

            “ท่านอย่าเชื่อคนง่ายขนาดนั้นไป” เจ้านกแย้งขึ้นมา “ต่อให้เจนาบเป็นที่รักของชาวเมืองมากแค่ไหน แต่ถ้าฟีราซขึ้นเป็นเจ้าเมืองและมีอำนาจล้นฟ้า ถ้าจะทำร้ายนางจริงก็มีหลายวิธีที่จะทำได้ทั้งต่อหน้าและลับหลังขึ้นกับว่าเขาจะทำหรือเปล่า ก่อนมีอำนาจเขาอาจจะเป็นคนดีไม่ทำร้ายใคร แต่ก็ไม่แน่ อำนาจเปลี่ยนคนได้เสมอ ข้าเห็นมานักต่อนักแล้ว” 

             กัณหามองเจ้านกน้อยอย่างไม่สบายใจนักเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไรต่อ แหวนก็ตะโกนมาจากเตียงว่า 

             “เงียบโว้ย จะนอน!!!”