“อาติ” กัณหายิ้มเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยและรอยยิ้มขี้เล่นของอาติผู้นั่งอยู่ที่โต๊ะมุมห้องตามลำพัง อาติลุกขึ้นมาจากโต๊ะมาหาพวกเขา 

“มาทำอะไรที่นี่กันขอรับ” อาติทักทายทุกคนอย่างร่าเริงเหมือนเช่นทุกครา 

“อาตินี่หมื่นช่วง ลูกศิษย์อีกคนของท่านอาจารย์ และนี่แหวนเพื่อนของฉัน” กัณหาแนะนำ “นี่อาติ ลูกชายหัวหน้าวังมุก เจ้าของไข่มุกอันดามันที่เอามาปรุงยาให้แหวนกับช่วงกินอย่างไรละ”

“โอ้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” แหวนยิ้มกว้างให้อาติ “มานั่งด้วยกันไหม”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน เจ้าใช่ลูกชายของบินตังรึเปล่า” ช่วงถาม

“ใช่ขอรับ” อาติยิ้มให้ช่วงตาหยี “ท่านรู้จักพ่อของกระผมด้วยรึขอรับ”

“รู้จักสิ เสียดายไม่ได้มีโอกาสเจอเขาเลย”  ช่วงหัวเราะเบาๆ “มาๆมานั่งด้วยกันเถิด”

อาติดูดีใจมาก เขาขยับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลง

“นี่นกอะไรเนี่ย งามเสียจริง” เขาก้มลงมองดูนกการเวกบนตักของกัณหา

“นกการเวก ชื่อ จี้ด” แหวนตอบทันที

“ข้าไม่ได้ชื่อจี้ด” เจ้านกประท้วงเสียงดังลั่น จนกัณหาต้องรีบจุ๊ปากห้าม อาติหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินมันประท้วง ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “นกวิเศษหรือนี่”

“อย่าพูดเสียงดัง ประเดี๋ยวเจ้าของร้านเห็นนกพูดได้ก็จับไปทำแกงหรอก จี้ด” แหวนข่มขู่ กัณหาแอบยิ้มตาม

“มาทำอะไรที่นี่ละ อาติ” ช่วงไถ่ถาม รำคาญเสียงทะเลาะกันของเจ้านกและแหวน “จะว่าท่องเที่ยวก็คงไม่ใช่ เพราะตอนนี้เมืองนี้ก็ดูไม่ค่อยน่าเที่ยวสักเท่าใด”

“กระผมจะเดินทางไปเกาะสุลาวารีขอรับ” อาติเล่า “เพิ่งมาถึงที่นี่เมื่อวานแล้วก็มาเจอสภาพแบบนี้ ก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรดี”

“อาติจะไปทำอะไรที่เกาะสุลาวารีหรือ” กัณหาแปลกใจมากที่เขามีจุดหมายเดียวกับเธอ

“ข้าจะไปเรียนวิธีการขับเรือเหาะที่เกาะสุลาวารีนะ” อาติตอบยิ้มๆ

“เรียนขับเรือเหาะ” กัณหาแปลกใจมากกว่าเดิม “เรียนไปทำไมในเมื่อเธอก็ขับเรือได้อยู่แล้ว”

“คือ ตามธรรมเนียมของชาววังมุก เราทุกคนจะต้องผ่านพิธีการเข้าสู่วัยหนุ่ม ซึ่งก่อนจะเข้าพิธีนี้ได้ ถ้าเจ้าเป็นผู้ชายเจ้าต้องออกเดินทางจากวังมุก ไปศึกษาหาความรู้อื่นๆที่เจ้าไม่เคยเรียนที่วังมุกมาก่อน และนำกลับไปเผยแพร่ที่วังมุก จะเป็นความรู้อะไรก็ได้ที่เจ้าอยากเรียน แล้วตอนนี้ข้าก็สนใจอยากเรียนขับเรือเหาะ เพราะที่วังมุกไม่เคยมีเรือเหาะมาก่อน ข้าก็เลยวางแผนว่าจะเดินทางไปเกาะสุลาวารีเพื่อไปเรียน แต่พอมาถึงที่นี่ปรากฏว่า ท่าเรือที่นี่งดออกเดินเรือ”

“มันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่นี่ละ” แหวนถามสิ่งที่ข้องใจมาตลอดตั้งแต่เข้ามาในเขตเมืองนี้ “พวกเขากลัวปีศาจอะไรกัน กลัวจนถึงขั้นไม่กล้าออกไปทำงาน ไม่กล้าพูดถึง”

“ข้าก็ไม่แน่ใจนักหรอก” อาติพูดเสียงเบาลง “ข้าได้ยินมาแค่ว่า หลังจากอดีตเจ้าเมืองเสียชีวิตลง ปีศาจจากทะเลก็เริ่มออกอาละวาด ตอนแรกก็สร้างคลื่นยักษ์มาล่มเรือชาวบ้านและทำลายท่าเรือ ต่อมาเจ้าปีศาจทะเลก็เริ่มขึ้นฝั่ง ทำลายข้าวของ และหลอกหลอนผู้คนที่ออกนอกบ้านในเวลากลางคืน ตอนนี้ทุกคนกลัวมากจนไม่มีใครกล้าออกนอกบ้านหรือออกเรือแล้ว”

“ปีศาจอันใดกันหน้าตาเป็นอย่างไร” ช่วงสงสัย ระหว่างนั้นชายที่ชื่อมูดายกอาหารมาให้พวกเขา 

“ไม่มีใครเคยเห็นหน้าตามันหรอกขอรับ” มูดาตอบระหว่างที่วางถ้วยน้ำแกงลงบนโต๊ะ “รู้แค่ว่ามันเป็นเงาสีดำๆ ลอยไปลอยมาในเมือง ตอนแรกมันอยู่แค่ที่ท่าเรือ แต่ตอนนี้มันลอบเพ่นพ่านไปทั่วเมืองแล้ว”

“พวกเจ้าก็เลยต้องระวังตัว ไม่ออกจากบ้าน ไม่ไปไหนเลยงั้นสิ” แหวนซัก 

“ขอรับ ทุกคนกลัวกันมาก” มูดาหน้าซีดลงเมื่อเล่า “ตอนนี้ยังไม่มีใครหาวิธีขับไล่ปีศาจร้ายออกไปได้เลย ชาวเมืองทุกคนต่างพากันหวาดกลัว เราได้แต่หวังว่าจะมีใครมาช่วยแก้ปัญหาให้เราได้”

 

 

คืนนั้นกัณหานอนไม่หลับ เธอนอนลืมตาเบิกโพลงอยู่บนเตียง ใจคิดถึงเรื่องที่มูดาและอาติเล่า ปีศาจอะไรกันนะที่น่ากลัวขนาดนั้น น่ากลัวจนทุกคนในเมืองไม่แม้แต่จะเอ่ยถึง ระหว่างที่เธอกำลังนอนคิดไปคิดมาอยู่นั่นเองก็ได้ยินเสียงประตูแง้มออก

“แหวน” กัณหาลุกขึ้นมานั่งบนเตียงที่เธอนอน  “จะไปไหน”

“พุธโธ่ คุณหนู ข้าตกใจหมด” แหวนเอามือกุมอก “ยังไม่นอนหรือเจ้าค่ะ”

“เธอจะแอบออกไปไหน” กัณหาถามทันที ท่าทีลับๆล่อๆของแหวนมันบอกชัด

“ก็แหม ก็ข้าอยากรู้นะสิ ว่าปีศาจที่ชาวบ้านกลัวนักกลัวหนาหน้าตาเป็นอย่างไร มีจริงหรือไม่”

“เธอจะออกไปดู?” กัณหาตื่นตะลึง “ไม่กลัวปีศาจออกมาทำร้ายรึ”

“ก็แค่แอบไปดูหน้าหน่อย อย่าให้มันเห็นเราสิ” แหวนพูดทันทีแล้วรีบออกจากห้องไปก่อนที่กัณหาจะทันได้ห้าม

“แหวน?!!”

 

 

 

กัณหานึกเป็นห่วงแหวนจนต้องตามออกมาที่ระเบียงด้านหน้าโรงแรมเสียด้วย ทั้งคู่แอบหลบอยู่หลังแจกันทรงสูงอันใหญ่ที่วางไว้ที่ระเบียงนั้น

“มูดาบอกว่า เจ้าปีศาจจะออกมาเพ่นพ่านในเมืองตอนกลางคืน ยิ่งดึกยิ่งเจอเยอะ” แหวนกระซิบกระซาบ และสอดส่ายสายตามองไปที่ทางเดินเบื้องล่าง กัณหาแอบชะโงกดูตามหล่อน แต่ไม่เห็นมีใครหรืออะไรอยู่บนทางเดินด้านล่างเลย

“หรือคืนนี้มันจะไม่มา” กัณหาว่า หลังจากรอนานจนขาเป็นตะคริวแล้วเจ้าปีศาจก็ยังไม่มาสักที แค่ก่อนที่เธอจะได้ทันพูดจบ จู่ก็มีเงาดำๆปรากฏบนทางเดินเบื้องล่าง

กัณหากับแหวนได้แต่จ้องมองเงานั้นอย่างตกตะลึง มันเป็นเงาดำๆยาวปรากฏบนพื้นโดยไม่มีเจ้าของเงา เงานั้นเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เงาเริ่มเคลื่อนที่ไปบนพื้นเดินไปตามทางเดินและเลี้ยวไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ

“ผะ ผี” แหวนหน้าซีดเผือด “ผีจริงๆด้วย” 

“ผีจะมีเงาได้ไง” กัณหายังข้องใจ เธอนึกถึงผีพรายที่เขาริมอ่าว ผีพรายเป็นร่างโปร่งแสงที่ไม่มีแม้แต่เงาให้เห็น “มันผิดธรรมชาติของผี”

“ท่านไปรู้ธรรมชาติของผีได้ไง” แหวนหันมาเถียงเธอ ใบหน้าหล่อนซีดขาวไปหมดแล้ว

“ก็ฉันเคยเห็นผีที่เขาริมอ่าว” กัณหาเถียงคืนบ้าง 

“ผีไหนข้าไม่เคยเห็นเลย ถ้าท่านไม่เรียกผี งั้นก็ปีศาจเงาแทนก็ได้” แหวนแก้คำพูดของตน มือหล่อนที่จับอยู่ที่ผิวแจกันอันใหญ่เต็มไปด้วยเหงื่อ กัณหามองแหวนอย่างขุ่นใจหน่อยๆ แล้วก็นึกได้ว่าผีพรายหายตัวไปตั้งแต่ก่อนแหวนจะฟื้น แหวนจึงไม่เคยเห็น กัณหามองเงาที่คืบคลานไปบนพื้นทางเดินเบื้องล่างอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วจู่ๆสิ่งที่ท่านอาจารย์เคยพูดขึ้นก็ดังขึ้นในหัว

 

เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับอาคม

มันคือการเสกหรือทำอะไรที่เหนือธรรมชาติได้รึเปล่าเจ้าค่ะ

อะไรละ ที่เจ้าว่าเหนือธรรมชาติ

เออ… เช่น เสกวัตถุขึ้นมาเองได้ ทำให้วัตถุที่ตกลงไปแล้วลอยขึ้นมาอยู่ข้างบน ทำให้เรือแล่นเร็วขึ้น ประมาณนี้ไหมเจ้าค่ะ

ที่จริงแล้วอาคมก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ มันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงพลังงานบางอย่างจากจิตของเราให้กลายไปเป็นพลังงานบางอย่างได้ เราจึงเรียกว่าอาคม อาคมก็เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่มีธรรมชาติของมัน ไม่ได้เป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติแต่อย่างใด

“มันเป็นอาคม” กัณหาเอ่ยออกมา ขณะลุกขึ้นยืนดูเงาเหล่านั้น

“ชูว์” แหวนจุ๊ปากดึงกัณหาให้นั่งลง

เงาที่เคลื่อนไหวอยู่บนพื้นทางด้านล่างเหมือนจะสังเกตเห็นคนสองคนที่แอบอยู่หลังแจกันทรงสูงที่ระเบียงนั้น กัณหารู้สึกว่าเงาเริ่มยกสูงจากพื้นขึ้นมา มันกำลังเคลื่อนที่มาหาเธอ

“หนีเร็ว มันเห็นเราแล้ว” แหวนฉวยข้อมือกัณหา วิ่งออกจากระเบียงด้านหน้าไปตามระเบียงทางเดินเพื่อกลับห้อง ทางเดินที่พวกเขาผ่านนั้นมีแสงจันทร์ส่องสว่างทำให้เห็นเงาดำๆคืบคลานตามหลังพวกเขามาได้ชัด แต่จู่แหวนหยุดกึก กัณหาก็พลอยหยุดด้วย

“แย่แล้ว” แหวนว่า ใบหน้าหล่อนซีดเผือดกว่าเดิม “เราเลี้ยวผิดทาง” เบื้องหน้าพวกเขาคือประตูเรือนอีกหลังที่ไม่ใช่ที่พักของพวกเขา ประตูนี้ถูกปิดไว้ด้วยกุญแจอันใหญ่

กัณหาหันไปมองที่ระเบียงที่วิ่งผ่านมาเห็นเงาดำค่อยๆคืบคลานมาทางพวกเขา เงานั้นทอดยาวออกเรื่อยๆ เงาบางส่วนทอดยาวไปถึงบริเวณลานของโรงแรมที่อยู่ด้านล่าง เมื่ออยู่ในที่แจ้งกัณหาจึงเห็นได้ชัดว่า เงาที่พวกเขาเห็นนั้น ไม่ได้อยู่ทิศทางตรงข้ามกับพระจันทร์อย่างที่ควรจะเป็น

“ตายแน่” แหวนกุมมือกัณหาไว้แน่ ตัวสั่นเทา มือของหล่อนเย็นเฉียบ แต่หล่อนก็ต้องแปลกใจที่กัณหากลับมองเงาที่กำลังคืบคลานมาทางพวกเขาอย่างสนใจโดยไม่มีทีท่าหวาดกลัว

“ท่านไม่กลัวเลยหรือ” แหวนเสียงสั่น

“ก็เธออยากดูไม่ใช่รึว่ามันหน้าตาเป็นไง นี่แหละโอกาสดีที่จะได้เห็นมันชัดๆ เราควรทักทายมันหน่อยก็น่าจะดี” 

“ห๊า?!!!”

เงาที่อยู่บนพื้นระเบียงชะงัก เช่นเดียวกับแหวน

“เจ้า” เสียงดังมาจากรอบๆตัวกัณหา “กล้าล้อเลียนข้ารึ ตายซะ” 

เงานั้นตรงหรี่เข้ามาหาเธอ กัณหารู้สึกถึงสายลมเย็นวาบเข้าไปถึงในกระดูกเมื่อเงานั้นทะลุผ่านตัวเธอไป เธอกับแหวนล้มลงอยู่บนพื้น สายลมแรงตีเขย่าบริเวณประตูที่ถูกปิดด้านหลังพวกเขาอย่างรุนแรง กุญแจที่คล้องอยู่ที่ประตูสั่นไหวแล้วตกลงมาแตก

 มันต้องการแค่หลอกให้เรากลัว กัณหามองเห็นเศษกุญแจที่ตกอยู่บนพื้นเริ่มกลิ้งไปมา แหวนที่นั่งอยู่ข้างเธอเป็นลมไปแล้ว แต่เด็กน้อยยังคงมองเงาที่ทอดอยู่บนกำแพงนั้นด้วยตาลุกวาว หากประสงค์เอาชีวิตจริง คงไม่ได้แค่คืบคลานช้าๆตามมาหลอกหรือแค่เสกลมพัดทะลุตัวพวกเขาให้ล้มลงหรอกในเมื่อเห็นแล้วว่าพวกเขาไม่มีอาวุธใด

“คิดว่าสร้างลมเป็นคนเดียวรึ” กัณหาพูดทันที ทันใดนั้นไฟลุกพรึ่บขึ้นที่เศษกุญแจที่ตกลงมาแตกนั้น กัณหาเห็นเงานั้นชะงักไป เมื่อเห็นไฟปรากฏ แล้วสักพักเศษกุญแจที่มีไฟลุกโชนก็ลอยขึ้นมาจากพื้นและส่องสว่างจ้า กัญหาค่อยๆขยับเศษกุญแจเข้าไปใกล้เงานั้น เศษกุญแจลอยล้อมรอบเงาอย่างยียวนกวนประสาท แล้วสักพักเงานั้นก็หายวับไป

 

 

 

“ช่างกล้านัก” เสียงตำหนิติติงของเจ้านกน้อยดังขึ้น เมื่อได้ยินวีรกรรมของสองสาวเมื่อคืน ในขณะที่อาติที่ยืนอยู่ใกล้ๆได้แต่หัวเราะชอบใจ

“ก็ข้าอยากเห็นนี่นา ว่าปีศาจนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร” เสียงดังอู้อี้ออกมาจากผ้าห่มผืนใหญ่ 

“แล้วได้เห็นสมใจไหมล่ะ” ช่วงมองตาเขียวใส่แหวนที่นอนคลุมโปงตัวสั่นอยู่เบื้องหน้า

“ฮือ” แหวนร้องไห้โฮ ผ้าห่มผืนใหญ่สั่นระริก

“เจ้าบอกว่า เจ้าสงสัยว่าปีศาจที่เห็นเป็นอาคมหรือ” อาติหันมาถามกัณหาผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่ข้างเตียงอย่างสงบ

“ถ้าเป็นผีจริงก็ควรจะต้องไม่มีเงาไม่ใช่หรือ แต่นี่เป็นเงาอยู่บนพื้นดิน แถมบางเงาไม่ชี้ไปด้านตรงข้ามกับพระจันทร์เสียด้วย”

“ฟังจากท่านพูดดูเหมือนเป็นอาคมบางอย่างที่ถูกเสกขึ้นมาจริง” เจ้านกครุ่นคิดตามเธอ 

“ยังไงก็เถิด จะใช่ผีจริงหรือไม่ ท่านก็ไม่ควรออกไปหามันอย่างไม่ระวังตัวอยู่ดี” ช่วงส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

“ฉันรู้สึกว่า เงาพวกนี้แค่หลอกคนให้กลัว ไม่มีจุดประสงค์ทำร้ายใคร” กัณหาว่า “เมื่อมันเห็นว่าเราไม่กลัว มันก็เหมือนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร มันเขย่าประตู ทำลายข้าวของ เพื่อหลอกเรา”

“จะหลอกไปเพื่ออะไร” ช่วงยังข้องใจ 

“ข้าได้ยินมาว่า ปีศาจตัวนี้สร้างคลื่นยักษ์มาทำลายท่าเรือด้วย” อาติใคร่ครวญประเด็นนี้ “ทำลายท่าเรือ ออกหลอกหลอนผู้คนให้ไม่เป็นอันทำมาหากิน เป็นไปได้ไหมว่า เป็นศัตรูคู่ค้าของชาวเมืองนี้ ที่ไม่อยากให้เมืองนี้ออกเดินเรือ”

“ก็เป็นไปได้นะ” ช่วงเอ่ยขึ้นมาบ้าง “เมืองศรีวิชัยค้าขายทางทะเลร่ำรวยมาก เมืองอื่นๆแม้มีท่าเรือเหมือนกัน ก็ไม่เป็นที่นิยมเท่าเมืองนี้ สินค้าทุกอย่างทั้งจากฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกต้องมาลงที่ท่าเรือเมืองนี้ ซึ่งตอนนี้มันก็เลยทำให้เราลำบาก เพราะไม่มีใครกล้าออกจากเมืองไปที่ท่าเรือเลย เมื่อเช้าข้าคุยกับเจ้าของโรงแรมนี้เขาบอกว่า ไม่มีใครออกเรือเลยนับตั้งแต่วันนั้นมา” 

“แล้วเมืองอื่นๆในละแวกนี้ละ ไม่มีใครแวะมาท่าเรือเมืองนี้เลยรึ ไหนว่าเมืองนี้มีเรือมาจอดเทียบมากมายอย่างไร” กัณหาเอะใจขึ้นมา

“นั่นสินะ” อาตินิ่งไปเช่นกัน

“เราลองไปดูที่ท่าเรือดีไหม” เจ้านกน้อยเสนอขึ้นมา “เผื่ออาจมีเรือจากที่อื่นเข้ามาก็ได้”

 

 

เนื่องจากไม่รู้จะทำอย่างไร กัณหา อาติ และช่วงจึงออกจากเมืองมายังท่าเรือที่พวกเขามาดูเมื่อวาน โดยทิ้งเจ้านกน้อยไว้เฝ้าแหวนที่ห้องพัก (ทำไมต้องเป็นข้าด้วยฮึ!) ภายในตัวเมืองตอนเช้านั้นเริ่มมีคนเดินไปมามากกว่าตอนเย็นที่พวกเขามาถึง แต่ทุกคนก็ดูเร่งรีบไปหมด ทั้งสามลังเลใจ ไม่รู้จะถามใครเรื่องท่าเรือและการออกเรืออีกครั้ง สุดท้ายพวกเขาก็เดินมาจนถึงท่าเรือที่มีแต่ความว่างเปล่า 

“ชาวเมืองยังกลัวเกินกว่าจะออกจากเมือง” อาติสรุป มองไปรอบๆท่าเรือที่ยังปราศจากผู้คน

“ถ้างั้นเราอาจต้องขึ้นรถม้าต่อไปยังเมืองที่อยู่ทางใต้ลงไปอีก” ช่วงเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน “น่าจะใช้เวลาราวๆสองสัปดาห์”

“งั้นเราก็รีบออกเดินทางเถอะ” กัณหาพูดทันที อีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วยและกำลังจะหันหลังกลับ

ชายคนหนึ่งเดินตรงมาที่ท่าเรือที่พวกเขาอยู่ เขาเป็นชายผิวขาวร่างสูงดูสมส่วน เขาสวมชุดคล้ายๆชุดที่อาติใส่ แต่เป็นสีส้มดูหรูหรากว่ามาก ใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยความดีใจที่เห็นพวกเขา

“พวกท่านที่มาจากอยุธยาใช่หรือไม่” เขาเอ่ยขณะเดินมาใกล้

“ใช่แล้วท่าน เอ่อ…” ช่วงเกริ่น 

“ข้า…กาเจียร์” ชายหนุ่มแนะนำตัวทันที ข้าเป็นทหารเอกของเจ้าเมืองปาเล็ม หรือที่พวกอยุธยาชอบเรียกเมืองศรีวิชัยนั่นแหละ” เขาเสริมเมื่อเห็นสีหน้างงงวยของทั้งสาม ข้าได้ยินเจ้าของโรงแรมชื่อดังในปาเล็มบอกว่า คณะของพวกเจ้ามีคนที่เป็นอาคมด้วยใช่หรือไม่ ใช่เด็กผู้หญิงคนนี้หรือเปล่า คนที่จัดการปีศาจเงาเมื่อคืน”

ช่วงและอาติชะงัก หันมามองกัณหาในฉับพลัน

“ฉันได้อาคมแค่เล็กน้อย” กัณหาบอก “เพิ่งเริ่มเรียนไม่ถึงปี”

“ท่านมีอะไรกับพวกเราหรือ” อาติรีบแทรกทันที

“คือ… ข้าต้องขอรบกวนเจ้าช่วยพวกเราหน่อย ช่วยตามหาคนที่เสกอาคมมากลั่นแกล้งชาวเมืองนี้”

“ห๊า…?!”