24 ตอน เหตุร้ายในวังมุก(2)
โดย นกเป็ดน้ำ
รุ่งเช้าวันถัดมาทุกคนพร้อมกันที่ท่าน้ำไม่ไกลจากหอกลางหรืออาคารที่มียอดแหลมมากนัก บินตังแจกถุงมือและถุงสำหรับใส่ไข่มุกให้กับพวกที่จะดำน้ำ อันได้แก่ อำพัน ค่อม บินตัง ทับ และคนอื่นที่กัณหาไม่รู้จักอีกสามคน ส่วนกัณหาและอาติ อยู่รอบนท่าและมีถังบรรจุน้ำยาล้างพิษหอยมุกอยู่เบื้องหน้า โดยมีเจ้าผีพรายและงูเขียวให้กำลังใจอยู่ข้างๆ นอกจากพวกเขาแล้วยังมีชาววังมุกที่แต่งตัวคล้ายกับอาติอีกนับสิบยืนรอให้กำลังใจอยู่บนท่าด้วย
“เอ้า นี่ถุงมือของเจ้า” อาติยื่นถุงมือหนังสีเขียวสดใสให้คู่หนึ่งให้กัณหา “ใส่ตอนรอรับไข่มุกที่ยังไม่ได้ล้างจากพวกที่ดำน้ำ แล้วเอาไข่มุกที่ได้ไปจุ่มแช่และล้างในถังนี้” เขาชี้ไปที่น้ำยาล้างพิษหอยมุก
“เราจะดำน้ำเป็นกลุ่ม” บินตังอธิบายให้ทุกคนฟังด้วยเสียงดัง “พยายามอย่าดำน้ำไปไกลจากลุ่มเด็ดขาด อย่าลืมว่าตอนที่ขึ้นมาหายใจให้สังเกตทุ่นลอยน้ำสีส้มด้วย ห้ามดำน้ำออกจากแนวทุ่นเด็ดขาด เพราะนอกแนวทุ่นจะเป็นน้ำลึกและไกลจากวังมุกมาก พวกเจ้าอาจจะเหนื่อยจนว่ายกลับเข้าวังมุกไม่ได้ ที่สำคัญถ้าได้รับบาดเจ็บ ต้องการความช่วยเหลือให้ยิงประกายไปสีแดงขึ้นฟ้า ข้าเตรียมคนบนบกไว้รอช่วยเหลือแล้ว” เขาผายมือไปที่คนกลุ่มหนึ่งที่รอที่ท่าน้ำ
กลุ่มคนที่เตรียมตัวจะดำน้ำพยักหน้ารับคำ ต่างคนต่างตรวจดูชุดของตนเป็นรอบสุดท้ายว่ารัดกุมดีแล้วหรือยัง ก่อนจะพากันตามไปที่ท่า แล้วค่อยๆกระโดดลงน้ำไปทีละคน
“อยากตามลงไปดูบ้างเชียว” เจ้าผีพรายมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตื่นเต้น
“ก็ลงไปสิ เจ้าตายไปแล้ว ไม่จมน้ำหรอก ไม่มีใครเป็นกังวลด้วย” เจ้างูเขียวประชดประชัน “ไม่ต้องกลั้นหายใจเลยมั้ง”
“เจ้านี่” ผีพรายค้อน แต่ก็ยังไม่กล้าไปลงน้ำอยู่ดี
หลังจากนั่งรอราวๆหนึ่งถึงสองชั่วยาม พวกที่ดำน้ำบางส่วนเริ่มกลับเข้าท่าพร้อมกับถุงใส่ไข่มุกสีทองที่ส่องประกายล้อแดด กัณหากับอาติรีบใส่ถุงมือไปรับถุงเหล่านั้นมาเทไข่มุกลงในน้ำยาล้างพิษ ก่อนจะวิ่งไปยื่นถุงส่งกลับคืนให้นักดำน้ำ พวกเขาหอบหายใจสักพักแล้วมุดกลับลงน้ำไป กัณหาเอาผ้านุ่มๆค่อยๆเช็ดถูเม็ดไข่มุกสีทองอย่างระมัดระวัง แต่ละเม็ดนั้นมีขนาดแตกต่างกัน บางเม็ดมีขนาดเท่านิ้วโป้ง บางเม็ดใหญ่ถึงครึ่งฝ่ามือ
“สวยมากเลย” เจ้าผีพรายยื่นหน้ามาใกล้มือของกัณหา
กัณหากำลังจะก้มลงไปล้างไข่มุกพอดีตอนที่เธอเหลือบไปเห็นประกายไฟสีแดงผุดขึ้นมาจากน้ำ แสงนั้นสะท้อนขึ้นมาเหนือน้ำสักพักก็หายไป คนบนท่าหลายคนก็เห็นด้วยต่างชี้ชวนกันดู ชายหนุ่มที่อยู่บนท่าสองคนกระโดดลงไปในน้ำ สักพักทั้งคู่ก็หอบร่างหมดสติของทับมาด้วย
“ทับ” เจ้างูอุทาน เมญ่ารีบวิ่งไปดูอาการเขา
“หมดสติ ไม่หายใจ มีร่องรอยการต่อสู้” หล่อนว่า แล้วหันขวับมาทางคนที่อยู่รอบๆ “รีบย้ายไปที่เรือนพยาบาลเร็ว”
ชายสี่คนรีบปรี่เข้ามาช่วยกันแบกทับแล้วหายลับไปตามทางเดินหลัก เมญ่าและหญิงอีกหลายคนรีบวิ่งตามเขาไป
“เขาจะไม่เป็นไรใช่ไหม” กัณหาหันถามเจ้างูเขียวที่มีสีหน้าตกใจพอกัน
“ข้าก็ไม่แน่ใจ ข้าไม่รู้เลยว่าหอยมุกต่อสู้อย่างไรได้บ้าง” เจ้างูเขียวบอก “เท่าที่ข้ารู้คือ หอยมุกอาคมพวกนี้ฆ่าคนตายได้”
“ข้าก็ไม่เคยเห็นสักเท่าใดหรอก” อาติรีบตอบก่อนกัณหาทันได้เอ่ยปากถามเขา “เราไม่ได้เก็บไข่มุกอาคมกันบ่อยๆหรอกนะ”
“นี่ มัวแต่คุยกันอยู่นั่นแหละ มารับไข่มุกเร็ว” เสียงอำพันดังมาจากที่ท่าน้ำ กัณหาหันไปมองเห็นเธอเกาะที่ขอบท่ามีถุงไข่มุกอยู่ในมือ
“อำพัน”
กัณหารีบวิ่งมาหาและเล่าเรื่องอาการบาดเจ็บของทับให้ฟัง อำพันมีสีหน้ากังวลใจมากเมื่อได้ยินและตัดสินใจไม่ลงไปดำน้ำอีก หล่อนรีบตามไปดูอาการของทับ กัณหาขอตามไปด้วย
“มาสิ เจ้ามาด้วยก็ดี” อำพันบอก กัณหาจึงลุกจากท่าน้ำรีบเดินตามอำพันไป
“อ้าว ทิ้งข้าไว้เลย” เสียงอาติตะโกนไล่ตามหลัง แต่กัณหาไม่ได้ยิน “อ้าว เอาถุงมือข้าไปด้วยละนั่น”
“ท่านรู้จักเรือนพยาบาลของที่นี่หรือ” กัณหาถาม เมื่อเห็นอำพันเดินไปตามทางอย่างชำนาญ
“แต่ก่อน ข้าเคยมาบ่อยๆ” อำพันตอบเลี้ยวเข้าไปในแพตึกสีขาวชั้นเดียวหลังหนึ่งที่อยู่สุดทางเดิน ด้านข้างเป็นท้องทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล
ในห้องนั้นเป็นห้องกว้างมีเตียงหลายหลังวางเรียงรายเหมือนเรือนพยาบาลที่เขาริมอ่าว ม่านกั้นระหว่างเตียงถูกผูกมัดไว้ ทำให้มองเห็นได้ทั้งห้อง เมื่อพวกเขาไปถึงมีกลุ่มหญิงสาวกำลังรุมอยู่ที่เตียงเตียงหนึ่งที่สุดห้อง
“แม่อำพัน” เมญ่าร้องเรียกเมื่อเห็นอำพันเข้ามา “ข้ากำลังจะให้คนไปตามพอดี”
“เป็นไงบ้าง” อำพันปรี่เข้าไปหา คนรอบเตียงพากันแหวกทางให้
“ออกไปได้ละ” เมญ่าไล่หญิงสาวที่อยู่รายรอบ พวกหล่อนพากันทยอยเดินออกไป แต่ยังมีหลายคนหันกลับมามองอย่างสนใจ
ตรงหน้าพวกเขาทับนอนอยู่บนเตียง ผิวซีดจาง ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ เขาหลับตาสนิท หายใจแผ่วเบา อำพันตรงเข้าไปจับชีพจรและเปิดเปลือกตาของเขาดู
“ข้ากรอกยาล้างพิษหอยมุกให้แล้ว แต่เขาดูไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย” เมญ่ามองเขาอย่างกังวล “ชีพจรยังคงช้าเหมือนจะหยุดเต้น”
อำพันเปิดดูภายในปากของทับ คลำตรงตำแหน่งหัวใจและยกนิ้วมือของเขาขึ้นมาดู สักพักหนึ่งหล่อนก็เงยหน้าขึ้นก่อนเอ่ยว่า “เขาไม่ตอบสนองต่อยาแก้พิษ เพราะเขาไม่ได้โดนพิษจากหอยมุก”
“หมายความว่าไง” เมญ่าขมวดคิ้วมองเธอ
“เขาต้องอาคมของมนุษย์” อำพันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “มีคนพยายามฆ่าเขา”
เมญ่าและกัณหาอึ้งไปสักพักกับคำพูดของอำพัน แต่สีหน้าและท่าทางอันเคร่งเครียดของอำพันบอกชัดว่าเธอไม่ได้พูดเล่น
“เป็นไปได้ไง” เมญ่ากระซิบ “ทับไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใครมาก่อน เขาเป็นที่รักของทุกคนที่นี่”
“เราเจอเขาได้ยังไง” อำพันถาม
“ฉันเห็นประกายไฟสีแดงจากทะเล พวกที่อยู่บนท่ากระโดดลงไปช่วยเขาขึ้นมา ตอนขึ้นมาเขาก็มีสภาพนี้แล้ว”
กัณหาตอบแทนเมญ่าที่นิ่งไป “ฉันไม่เห็นคนทำร้ายหรือทะเลาะกันบนผิวน้ำเลยในตำแหน่งที่ลูกไฟนั้นพุ่งขึ้นมา แสดงว่าเขาถูกทำร้ายตอนอยู่ใต้ทะเล พวกที่ลงไปดำน้ำด้วยกันน่าจะเป็นคนทำ”
“ใครกัน” เมญ่าหน้านิ่วคิ้วขมวด “จะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร หรือว่า…”
เมญ่ากับอำพันสบตากันอย่างหวาดกลัว กัณหามองทั้งสองคนอย่างสงสัย ดูราวกับว่าพวกเขาเข้าใจบางเรื่องเหมือนกันโดยไม่ต้องอธิบาย
“เป็นไปไม่ได้หรอก หมอนั่นจะเข้ามาได้อย่างไร เรามีการคุ้มกันที่หนาแน่นขนาดนี้” อำพันส่ายหน้า พยายามสะบัดไล่ความคิดนั้นออกไป
“รึเป็นอุบัติเหตุ” เมญ่าว่า
“ไม่น่า ถ้าเป็นอุบัติเหตุจริง คนทำเห็นอาการเขาไม่ดี ควรรีบช่วยขึ้นฝั่งหรือตามมาดูอาการเขาไม่ใช่หรือ”
“แล้วเราจะทำยังไงต่อดี” เมญ่ามีท่าทีกังวลใจขึ้นมา
“ข้าจะปรุงยา เจ้าไปช่วยข้าที” อำพันหันมามองกัณหา กัณหาพยักหน้ารับอย่างงุนงงที่ได้รับคำชวน ก่อนที่จะออกไปจากห้อง อำพันหันมาหาเมญ่าอีกทีก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“หาคนเฝ้ายามหน้าเรือนพยาบาลไว้ก็ดี ถ้ามีคนปองร้ายทับจริง เขาคงไม่หยุดแค่นี้แน่”
กัณหาใช้เวลาช่วงบ่ายในโรงปรุงยา เรือนเล็กๆข้างเรือนพยาบาล ช่วยล้างสมุนไพรและคนหม้อยาที่อำพันพึ่งปรุงใหม่ อำพันให้ไปเอาไข่มุกอันดามันบางส่วนมาปรุงยาด้วย เธอเล่าให้กัณหาฟังว่า นอกจากไข่มุกจะมีคุณสมบัติขับพิษแล้วยังเป็นยาบำรุงกำลังชั้นดีโดยเฉพาะกับคนที่โดนอาคมมา
คืนนั้นมีงานเลี้ยงต้อนรับคณะเดินทางจากเขาริมอ่าวที่หอกลางเมือง บินตังเชิญทุกคนมาร่วมกันรับประทานอาหารและมีการแสดงจากเด็กๆชาววังมุกด้วย อาหารที่จัดไว้มีทั้งที่เป็นพืชผักมังสวิรัติแบบที่เขาริมอ่าวและมีอาหารทะเลที่ปรุงสดจัดไว้อีกฟากของโต๊ะด้วย ทุกคนในงานต่างถามอำพันถึงอาการของทับ อำพันบอกว่าอาการยังไม่ดีนัก กัณหานึกแปลกใจว่าทำไมอำพันไม่บอกทุกคนว่าอาการของทับไม่ได้เป็นจากพิษหอยมุกอาคม จนบินตังถึงกับพูดติดตลกขึ้นมาว่า
“อุ๊บะ ไอ้ทับเอ๊ย พลาดท่าพ่ายแพ้แก่หอยมุกเสียแล้ว สงสัยเรื่องนี้ต้องเก็บไว้เล่าลืออีกยาว” บินตังตบเข่าฉาด คนรอบโต๊ะพากันหัวเราะขำขัน “เรื่องนี้ต้องถึงหูท่านอาจารย์แน่ๆ”
“นั่นสิ” ชายที่ร่วมดำน้ำอีกคนหัวเราะอยู่ที่อีกด้านของโต๊ะ “ตอนจะลงน้ำ ยังท้าพนันท้าแข่งกับข้าอยู่เลย แสดงว่างานนี้ข้าชนะใช่หรือไม่”
“นั่นๆ พอมันฟื้นมาเมื่อใด ต้องให้ไอ้ทับเลี้ยงอาหารสักมื้อ ชดใช้ความพ่ายแพ้” บินตังว่า เสียงหัวเราะดังรอบโต๊ะอีกรอบ กัณหาไม่นึกมีแก่ใจจะหัวเราะตามเลย เธอมองรอบโต๊ะอย่างไม่สบายใจนัก จังหวะนั้นเองเสียงกระซิบที่หูก็ดังขึ้น
“ถุงมือของข้าเล่า เจ้าเอาไปไว้ไหนเสียแล้ว” เสียงอาติดังขึ้นข้างหู
กัณหาสะดุ้ง หันไปมองเห็นเขายืนยิ้มให้อยู่ด้านหลัง “ถุงมืออะไร”
“อ้าว ก็ถุงมือที่เจ้าใส่ตอนรับไข่มุกจากทะเลมาล้างไง ถุงมือนั่นแพงมากนะ เอาคืนข้าได้รึยัง ข้ามีแค่สองคู่”
“เอ่อ…” กัณหาสะดุ้ง แต่ก็นึกไม่ออกว่าเอาถุงมือไปไว้ที่ใด “ฉันถือออกมาหรือ”
“ใช่สิ เจ้าถือออกมาจากท่าตอนที่ตามท่านอำพันมาเยี่ยมชายคนนั้นไง ข้าเรียกตามหลังมาเจ้าก็ไม่ฟัง”
กัณหารู้สึกใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเอาถุงมือออกมาจากท่า และนึกไม่ออกว่าถอดถุงมือออกเมื่อใด
“อย่าบอกว่าหายแล้วนะ” อาติเอามือตบหน้าผาก “เฮ้ย…”
“ขอโทษจริงๆ ฉันจำไม่ได้เลยว่าเอาไปไว้ไหนแล้ว ฉันรีบไปหาให้นะ” กัณหารีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพย อาติได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
กัณหารีบลุกออกจากโต๊ะที่นั่งทานอาหาร ทุกคนต่างมองเธออย่างสงสัยว่าจะไปไหน กัณหาจึงรีบขอโทษขอโพยทุกคน และขอตัวออกไปหาถุงมือของอาติ ซึ่งเธอไม่แน่ใจว่าลืมทิ้งไว้ไหน
“โอ๊ย เรื่องนั้นไม่ต้องรีบหรอก ก็อยู่ในวังมุกนี่ละ” บินตังว่า หันมามองตาเขียวใส่ลูกชาย “แขกเดินทางมาเหนื่อยๆ ทำงานมาทั้งวัน ให้เขาพักก่อน พรุ่งนี้ค่อยหาก็ได้ ไม่ต้องกลัวถุงมือหายหรอกน่า ไม่มีใครเอาไปหรอกถุงมือของเอ็งนะ”
“พ่อ” อาติร้องประท้วงได้แค่นั้น เขาทำหน้าบูดบึ้งไม่พูดไม่จา
คืนนั้นหลังจากเสร็จงานเลี้ยง กัณหานอนไม่หลับ เธอนึกถึงใบหน้าบูดบึ้งของอาติเมื่อพบว่าถุงมือของเขาหายไป ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าเขาต้องหวงถุงมือคู่นั้นแค่ไหน พอมาให้กัณหายืมใช้แล้วมันหายไป กัณหาเลยรู้สึกผิดมาก เธอตั้งใจว่าจะตามหามันทันทีหลังงานเลี้ยงเลิก แต่งานเลี้ยงดันเลิกดึกมาก อำพันเลยห้ามไว้ บอกว่าค่อยไปหาพรุ่งนี้เช้าก็ได้ กัณหารู้สึกไม่สบายใจมาก เธออยากรีบไปหาให้เจอก่อนพรุ่งนี้เช้า จึงแอบย่องลงจากเตียงนอน ออกมานอกเรือนพักรับรองเพื่อหาถุงมือ
กัณหาเดินไปดูที่ท่าน้ำก่อนเป็นอันดับแรก แต่ไม่เห็นสิ่งใดอยู่ที่ท่าน้ำเลย เธอจึงนั่งลงคิดทบทวนว่าเธอไปไหนมาบ้างหลังจากได้รับถุงมือ
“หลังจากนั้นฉันตามอำพันไปเยี่ยมทับ อยู่เรือนพยาบาลสักพัก ก่อนออกไปที่โรงปรุงยา แล้ว กลับออกมาเอาไข่มุกที่ท่าน้ำ กลับไปโรงปรุงยาอีก แล้วออกมาร่วมงานเลี้ยง” เธอนั่งนับนิ้วดู “งั้นไปที่เรือนพยาบาลก่อนแล้วกัน
กัณหาออกเดินไปตามทางเดินหลักอย่างเงียบเชียบและคอยสังเกตมองรอบตัว เผื่อมีใครเห็นจะโดนดุได้ว่าหนีออกมาตอนกลางคืน ไฟจากตะเกียงที่ขอบทางเดินส่องสว่างสะท้อนกับผิวน้ำทะเล ทำให้เห็นเงาของเธอส่ายวูบไปมา จนตอนแรกกัณหานึกว่ามีคนตามต้องหันไปมองด้านหลังบ่อยๆ เธอรู้สึกหวาดกลัว นึกสังหรณ์ใจว่าอาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในคืนนี้
“ไม่มีอะไรหรอก” พึมพำบอกกับตัวเอง “แค่มันมืด เราเลยกลัว”
เมื่อมาถึงที่หน้าเรือนพยาบาลกัณหารู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เธอสังหรณ์ใจอาจจะเป็นความจริง เมื่อเห็นยามที่หน้าเรือนพยาบาลนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนทางเดินหลัก ท่าทางการนอนของพวกเขาเหมือนว่าถูกทำร้ายจนล้มมากกว่าแอบหลับเอง ด้านหลังพวกเขา ประตูเรือนพยาบาลถูกเปิดแง้มไว้ กัณหาแอบเห็นแสงไฟลอดออกมาจากภายในเรือน เธอยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกตะลึง แต่ก่อนจะได้ทันทำอะไร มือคู่หนึ่งอุดปากและจมูกเธอไว้ และดึงร่างเธอเข้าไปที่พุ่มไม้ที่ปลูกไว้ในสวนเล็กๆหน้าเรือนพยาบาล กัณหาดิ้นรนอย่างหนัก
ตายแน่ สมองเธอเริ่มหมุนติ้ว เมื่อถูกอุดปากแน่นหนาจนแทบหายใจไม่ออก
“อย่าส่งเสียง ประเดี๋ยวไอ้หมอนั่นก็รู้หรอกว่าเราอยู่ที่นี่” เสียงอาติดังขึ้นเหนือหัว กัณหาหยุดดิ้นรน “หมอบตรงนี้นิ่งๆก่อน”
เมื่อกัณหาหยุดดิ้น อาติก็ปล่อยมือจากตัวเธอ ทั้งคู่หมอบอยู่ในพุ่มไม้เตี้ยหน้าเรือนพยาบาล
“บอกดีๆก็ได้ อุดปากซะแน่นเชียว เกือบตาย” กัณหาบ่นใส่เขา
“ไม่งั้นเจ้าก็จะแหกปากไหม” อีกฝ่ายเถียง
“เธอมาทำอะไรดึกๆดื่นๆ” กัณหาถามเขา เห็นว่าอาติยังอยู่ในชุดเมื่อเช้า
“จะมาทำอะไรละ ก็มาหาถุงมือที่เจ้าทำหายนะสิ” อีกฝ่ายหันมามองค้อนเธอ กัณหาสะดุ้งเล็กน้อย “แล้วเจ้าล่ะมาทำอะไร คงไม่ใช่พวกเดียวกับไอ้หมอนั่นใช่ไหม”
“ฉันก็มาหาถุงมือ” เด็กหญิงก้มหน้าสารภาพ รู้สึกผิดที่ทำถุงมือของอาติหาย
“ดีนี่ มีความรับผิดชอบดี” เขาสรุป ตายังมองไปในเรือนพยาบาล “เหมือนกับหมอนั่น คงมาตาม“เก็บ”ท่านอาทับให้เรียบร้อยแน่ๆ”
“ไอ้หมอนั่นที่เธอพูดถึงเป็นใครหรือ”
“ไม่รู้ ข้ากำลังเดินมาถึงที่เรือนพยาบาล เห็นเขากำลังสู้กับคนเฝ้าหน้าเรือนจนสลบเหมือดแล้วก็เข้าไปข้างใน เขานุ่งชุดดำพรางตัว ปกปิดใบหน้ามิดชิด ไม่แน่เขาอาจจะรู้ว่า ท่านอาทับยังไม่ตาย เลยตามมาจัดการ”
“เธอรู้หรือว่าพ่อทับไม่ได้โดนหอยมุกทำร้าย” กัณหากระซิบถาม มองตามสายตาเขาไปที่ภายในเรือน
“ข้าได้ยินแม่บอกพ่อเรื่องนี้ พ่อจึงให้คนมาเฝ้าเรือนพยาบาลไว้ เกรงว่าจะมีคนตามมาจัดการเขา และดูท่าสิ่งที่พ่อท่านกังวลน่าจะเป็นจริง”
“แล้วเราควรทำยังไง มารอให้เขาทำร้ายทับงั้นหรือ เจ้าควรรีบไปบอกพ่อเจ้าสิ” กัณหาเร่ง “ตอนนี้เขาเข้าไปทำร้ายทับแล้วมั้ง”
“ข้าก็ให้อูมาร์ไปบอกแล้ว เลยมาซุ่มดูอยู่นี่ไง เจ้าคงไม่สั่งให้ข้าเข้าไปขัดขวางเขาหรอกใช่ไหม หลังจากเจ้าเห็นฝีมือเขาจัดการกับคนเฝ้าที่พ่อข้าคัดสรรมาแล้ว” อาติพยักพเยิดไปทางคนเฝ้าที่สลบอยู่ “เจ้าคงรู้ว่าทำแบบนั้นคือเอาชีวิตไปทิ้งชัดๆ”
“แต่เราควรถ่วงเวลาเขาไว้ไม่ใช่เหรอ ไม่ให้เขาจัดการพ่อทับก่อนพ่อเธอจะมาถึง”
“แล้วจะให้ทำอย่างไร” เขาหันมาถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ฉันมีวิธี”
“เจ้าแน่ใจรึว่าจะใช้วิธีนี้” อาติกระซิบ สีหน้าหวาดกลัว “ถ้าไม่สำเร็จ เราสองคนตายคู่นะ แต่ถ้าสำเร็จท่านอาทับ อาจตายก็ได้”
“ก็อย่าทำแรงขนาดนั้นสิ เอาแค่เวียนหัวก็พอ” กัณหาบอก “อีกอย่างเรือนพยาบาลหลังใหญ่มาก เธอคงสามารถทำให้มันวิ่งเร็วได้เหมือนเรือหรอก อย่างมากก็น่าจะแค่ขยับไหว”
อาติพยักหน้า เขาวางมือที่ทางเดินเล็กๆเชื่อมระหว่างทางเดินหลักกับทางเข้าเรือนพยาบาล หลังจากนิ่งไปสักพัก ทางเดินนั้นก็หายไป อาติหันมามองกัณหาที่พยักหน้าถี่ๆอีกรอบ ทั้งคู่พากันหลบมาที่เงามืดของโรงปรุงยา อาตินั่งลงและทำสมาธิ
เรือนพยาบาลเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนมันจะค่อยๆขยับออกห่างจากทางเดินหลักอย่างช้าๆ เนื่องจากเรือนพยาบาลอยู่สุดทางเดินอยู่แล้ว ขยับออกไปเพียงนิดเดียว มันก็พ้นเขตทางเดินไปอยู่กลางท้องทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล คนบนเรือนพยาบาลเหมือนยังไม่รู้ตัวว่าเรือนขยับห่างออกไปจากทางเดินทุกทีทุกที เมื่อขยับออกไปได้ระยะพอเหมาะ เรือนก็ยิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้น แต่แน่นอน เนื่องจากเรือนพยาบาลหลังใหญ่กว่าเรือที่กัณหาโดยสารตอนขามาค่อนข้างมาก เรือนจึงไม่ได้วิ่งเร็วเท่าใดนัก แต่ก็เร็วพอจะทำให้คนบนเรือนนั้นตกใจได้ กัณหามองทะลุจากหน้าต่างเห็นว่าเขาพยายามจะเดินมาทางประตูเพื่อออกจากเรือนพยาบาล
“ทำให้เรือนพยาบาลหมุนแทนได้ไหม” กัณหาหันมาถาม “หมอนั่นกำลังจะหนีลงน้ำ ดูเหมือนเรือนจะวิ่งเร็วไม่พอ”
อาติพยักหน้ารับ สักพักเรือนพยาบาลเริ่มหมุนรอบตัวเองเป็นวงกลม ความเร็วในการหมุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กัณหาได้ยินเสียงชายคนนั้นอ้วกอยู่ในเรือน
“เร็วอีก เร็วอีก” กัณหาชักเริ่มสนุก
อาติที่นั่งสมาธิอยู่แอบยิ้มน้อยๆ เรือนหมุนรอบตัวเองเร็วจนสีสันและรูปทรงของเรือนดูลานตาไปหมด กัณหาได้ยินเสียงวิ่งกระหืดกระหอบมาทางด้านหลัง บินตัง เมญ่า เจ้างูใบตอง ผีพราย อำพัน และคนอื่นๆอีกมากมายวิ่งมาทางด้านหลัง
“พวกเจ้าทำอะไรกัน” อำพันอุทาน มองไปยังชายสองคนบนพื้นทางเดินหลักและเรือนพยาบาลที่กำลังหมุนติ้วอยู่กลางมหาสมุทร
“จับคนร้ายค่ะ” กัณหาตอบแล้วหันมายิ้มกว้างให้กับทุกคน
Comments (0)