“พอๆ ประเดี๋ยวเจ้านั่นได้ตายหรอก” อำพันว่า ในขณะที่คนอื่นๆที่อยู่รายรอบพากันยิ้มมุมปาก

            เด็กหนอเด็ก ช่างคิดไปได้กระไร แต่คนที่เจ็บใจกว่าน่าจะเป็นเจ้าหมอนั่น  

            ลักลอบทำร้ายยอดฝีมือ ไม่มีใครจับได้ แต่ดันมาตกม้าตายกับฝีมือเด็กสองคน

            ความเร็วในการหมุนของเรือนพยาบาลค่อยๆลดลงเรื่อยๆ จนรูปร่างที่เลือนรางของเรือนกลับมามองเห็นได้ชัดอีกครั้ง ในที่สุดหลังจากทิ้งเวลาไว้สักพัก เรือนก็หยุดหมุนและลอยเอื่อยๆอยู่กลางทะเล

            “ลากกลับเข้ามาชิดทางเดินสิ ไอ้หนู” บินตังบอกด้วยน้ำเสียงเจือความขบขัน “จะให้พ่อเหาะออกไปรึไง”

            อาติหลับตาอีกครั้ง แล้วเรือนก็ค่อยๆขยับกลับเข้ามาชิดสุดปลายทางเดินอย่างช้าๆ บินตังเดินไปที่สุดทางเดินแล้วก็มีทางเดินเล็กๆงอกจากทางเดินหลักไปเชื่อมกับทางเดินหน้าเรือนพยาบาล

            “ไปดูกันเถิดว่าเป็นใคร” บินตังว่า กัณหา อาติและอีกหลายคนตามเขาไป ในขณะที่อำพันและเมญ่าก้มลงตรวจชีพจรยามที่บาดเจ็บทั้งสองคน

            ข้าวของต่างๆภายในเรือนพยาบาล เช่น โต๊ะ เตียง โคมไฟ หมอน ยังคงวางอยู่ที่เดิมของมันอย่างอัศจรรย์ รวมถึงทับด้วย ร่างของเขายังอยู่บนเตียงพยาบาลไม่หล่นไปไหน ซึ่งก็ตรงกับที่อาติบอกกับกัณหาก่อนเริ่มปฏิบัติการว่า ข้าวของทุกชิ้นในอาคารในแถบวังมุกถูกเสกอาคมให้ยึดอยู่กับที่ แม้ว่าจะมีการขยับของเรือนตามกระแสน้ำในมหาสมุทรก็ตามทีเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุกรณีมีพายุเข้า โดยตอนแรกนั้นกัณหาไม่แน่ใจว่า ร่างทับจะตกลงจากเตียงหรือไม่ แต่อาติเชื่อว่า แม่ของเขาน่าจะเสกอาคมไว้ เพราะแม่ค่อนข้างกลัวคนไข้ตกเตียงอยู่แล้ว

            ชายคนหนึ่งนอนฟุบอยู่ที่พื้นเรือน มีกองอ้วกเปรอะเปื้อนส่งกลิ่นเหม็นอยู่ข้างตัว เขาสวมเสื้อดำและนุ่งโจงกระเบนสีดำรวมทั้งใส่ผ้าคลุมศีรษะเหมือนที่อาติบอก แม้จะยังไม่เห็นหน้า เห็นแค่รูปร่าง กัณหาก็พอจะบอกได้ว่าเป็นใคร

            “ค่อม” เจ้างูอุทาน แม้จะเห็นแค่หลังของชายคนนั้น ชายอีกสองคนที่ตามหลังมา ขยับเข้าไปใกล้ร่างบนพื้น ก่อนพลิกตัวเขาขึ้น ชายอีกคนเอาเชือกมัดมือเขาไพล่หลังไว้

            “เป็นค่อมไปได้ยังไง” ผีพรายว่า “ค่อมไม่เคยมีปัญหากับทับมาก่อน”

            “งั้นเราคงต้องสืบสวนแล้วล่ะ ว่าเกิดอะไรกับค่อม” บินตังบอกเจ้างู “ถ้าอ้างว่ามาเยี่ยมไข้ คงยากจะเชื่อ ทั้งการแต่งตัว การทำร้ายยามเฝ้าประตู เป็นหลักฐานชัดว่าเขามีเจตนาไม่ดี”

            “ก็คงต้องทำเช่นนั้น” เจ้างูเขียวรับคำ ในขณะที่ชายอีกคนมัดข้อเท้าของค่อมไว้อย่างแน่นหนาบินตังพึมพำอะไรสักอย่างแล้วตาข่ายสีเหลืองทองก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของค่อมและหล่นลงมาคลุมตัวของเขาไว้อย่างเงียบเชียบ

            “เอาเขาไปขังไว้ที่ยอดหอกลาง” บินตังบอก “พรุ่งนี้ข้าจะสอบสวนเขาเอง”

            ชายสี่คนยกร่างค่อมและพากันเดินออกไปจากเรือนพยาบาล บินตังหันมามองกัณหาและอาติก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “ใครเป็นคนคิดจะจับคนร้ายด้วยวิธีนี้”

            “กัณหาเลยพ่อ เข้าใจคิดมาก” อาติชูนิ้วโป้งให้กัณหา

            “ไหวพริบดีนะ มิน่าล่ะ ท่านอาจารย์ถึงยอมให้มาด้วย” เขายิ้มให้กัณหา “เสียดายแต่ว่าข้ายังไม่เคยมีโอกาสชมอาคมของเจ้าแม้สักน้อยเลย”

            “ค่อม” เสียงอุทานของอำพันดังมาจากด้านหน้าเรือนพยาบาล บินตังได้ยินก็เดินตามไปถึงด้านนอกเรือนพยาบาล อำพันยืนมองไปที่ร่างของค่อมที่ถูกห่อด้วยตาข่ายสีเหลืองทองอย่างตกตะลึง เมญ่าก็เช่นกัน ทั้งคู่ดูเหมือนพูดอะไรไม่ออก ระหว่างที่ชายสี่คนยกร่างเขาผ่านหน้าไป

            “เราคงต้องจับตัวเขาไว้ก่อน คงต้องสอบสวน สาเหตุที่เขามาลอบทำร้ายทับ” บินตังอธิบายให้สองสาวที่ชะงักค้าง

            “เขามาเยี่ยมพ่อทับเฉยๆรึเปล่า” เมญ่าว่า สีหน้าดูไม่เชื่อ “เจอแค่เขาคนเดียวในเรือนพยาบาลรึ” 

            “ใช่” บินตังตอบ “และถ้ามาเยี่ยมธรรมดา เหตุใดต้องแต่งตัวมิดชิดพรางตัว แถมยังทำร้ายคนเฝ้า วิธีการที่เขาทำดูส่อเจตนาไม่ดี ข้าต้องสอบสวน”

            “ไม่ใช่ค่อม” อำพันพูดทันที ดูเหมือนเธอเริ่มตั้งสติได้ “เขาไม่ใช่ค่อมแน่”

            “หมายความว่าไง” บินตังย้อนถาม

            “เขาไม่ใช่ค่อม ข้ารู้จักค่อมตัวจริงมานาน ถึงเขาเงอะงะ แต่เป็นคนทำงานเป็นระเบียบ ละเอียดรอบคอบ และที่สำคัญ ค่อมไม่มีวันทำร้ายใครถึงตายแน่ นิสัยเขาไม่ใช่แบบนั้น”

            “งั้นเจ้าจะบอกว่าเราจับผิดคน ทั้งๆที่เราได้ตัวเขาขณะที่กำลังก่อเหตุและมีพยานยืนยันงั้นรึ” บินตังมองอำพันเขม็ง

            “หรือเจ้าจะบอกว่า กัณหากับอาติเป็นคนทำเรื่องนี้เรอะ จะหาว่าเด็กๆทำร้ายยามสองคนนั่น และรวมหัวกันใส่ร้ายค่อมเรอะ” ผีพรายเลิกคิ้ว เจ้างูรีบเอาหางแตะไหล่เชิงห้ามปราม

            “ไม่ใช่ ข้ากำลังจะบอกว่า มีคนปลอมตัวเป็นค่อม”

 

            “ข้าสงสัยตั้งแต่เขาปรุงยาโดยใช้ใบสามแฉกแล้ว” อำพันเล่าให้ทุกคนฟัง “ใบสามแฉกไม่ใช่พืชที่ปลูกในสวนสมุนไพรของเรา มันเป็นพืชหายากและมีพิษร้ายแรง ต้องเข้าไปเก็บในป่าลึกเท่านั้น ไม่เหมือนใบโม่ง ที่แม้มีหน้าตาคล้ายกันแต่ปลูกที่ใดก็ขึ้นได้ แถมเวลาเทน้ำที่คั้นจากใบโม่งลงไปในยาจะไม่เปลี่ยนสียาที่ปรุงไว้เลย ในขณะที่น้ำที่คั้นจากใบสามแฉกเวลาเทลงไปในยาจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงสดอยู่สักพัก เมื่อมันละลายปนไปในยาสีม่วงจึงหายไป แม้กระทั่งเด็กที่ไม่มีความรู้อย่างกัณหายังสังเกตลักษณะพิเศษนี้ได้ ข้าจึงมั่นใจว่าไม่มีทางที่คนที่ชำนาญอย่างค่อมจะใส่มันลงไปในยาโดยไม่รู้ว่า มันจะทำให้ยาเป็นพิษ แต่ตอนนั้นข้าไม่แน่ใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ถึงทำแบบนี้ ข้าจึงไปแอบสังเกตท่าทีของเขา  ดูเหมือนเขาจะระแคะระคาย จึงพยายามจุดไฟเผาเรือนที่พักของตัวเองเพื่อใส่ร้ายข้า ตอนนั้นข้าไม่คิดอะไร คิดว่าเป็นแค่อุบัติเหตุ จนกระทั่งรุ่งเช้าวันถัดมาเจ้าโพธิ์ไปตรวจดูที่เรือนพักของเขา เจ้าโพธิ์บอกข้าว่าเหมือนมีคนจงใจเผาเรือนของค่อม   ตอนที่ข้าได้ยินข้านึกว่า เขาสำนึกผิดในสิ่งที่ทำเลยคิดจะฆ่าตัวตาย แต่ปรากฏว่า เมื่อเขาฟื้นได้สติแล้ว เจ้าโพธิ์ไปคุยกับเขา เขากับบอกเจ้าโพธิ์ว่า เห็นคนมาด้อมๆมองๆหน้าบ้านมาหลายวัน คาดว่าคนนั้นน่าจะเป็นคนเผาเรือนของเขา พอข้าได้ฟังก็มั่นใจว่า เขาคาดหมายให้ทุกคนสงสัยข้าแน่ โชคดีว่าวันที่เกิดเหตุ  ข้าไปเจอกัณหาที่หน้าเรือนของเขาพอดี พอกัณหาเล่าให้คนอื่นฟังว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากเหตุการณ์วันนั้น ทำให้ไม่มีใครสงสัยข้า

            ส่วนเรื่องการเดินทางมาที่นี่ วันที่ท่านอาจารย์ไปเยี่ยมเขาที่ที่พักฟื้น เขาบอกกับท่านอาจารย์ว่ารู้สึกผิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาทราบมาว่า ไข่มุกอันดามันจะสามารถแก้ไขเรื่องเลวร้ายที่เกิดจากความสะเพร่าของเขาท่านได้ เขาอยากจะขออนุญาตท่านอาจารย์ไปตามหาไข่มุกด้วยตนเองเพื่อชดเชยความผิดที่เขาก่อขึ้น วันต่อมาข้าได้ขึ้นไปพบท่านอาจารย์ ท่านเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง ข้าก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นว่า นี่คือจุดประสงค์หลักจริงๆที่เขาใส่ใบสามแฉกลงไปในยาหรือเปล่า เขาต้องการทำให้คนไข้ทั้งสี่คนอาการแย่มากจนต้องเดินทางมาที่วังมุกรึเปล่า ข้าได้แค่เก็บความสงสัยไว้ในใจเท่านั้น ข้าตอบรับคำสั่งของท่านอาจารย์ ที่ให้มาชวนเขาไปด้วย ข้าทำเป็นไว้ใจ และคิดว่าเขากลับตัวแล้ว อย่างไรก็ตามข้าคอยแอบสังเกตเขาตลอดการเดินทาง ตอนที่มาถึงที่นี่ เขาก็ดูมีทีท่าแสดงชัดว่า ประสงค์จะลงไปเก็บไข่มุกในน้ำ ทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลย และข้ารู้จักนิสัยค่อมดี ว่า เขาเป็นคนไม่ชอบการว่ายน้ำและดำน้ำมากแค่ไหน พอได้ยินเขาว่าจะลงไปเก็บไข่มุกด้วยตนเอง ข้าก็ยิ่งเชื่อว่า เขาต้องการมาค้นหาสิ่งที่อยู่ใต้น้ำมากกว่าไข่มุกเป็นแน่ มิหนำซ้ำ ตอนเย็นวันนี้ ข้าถามเจ้าอาติว่า ค่อมเอาไข่มุกขึ้นมาส่งบ้างหรือไม่ คำตอบก็เป็นไปตามคาด ไม่ได้ไข่มุกสักเม็ดจากเขา ทั้งที่เขาขึ้นจากน้ำเป็นคนสุดท้าย”

            “เจ้ากำลังจะบอกว่า ค่อมอยากได้ สิ่งสำคัญใต้น้ำนะหรือ” เจ้างูทวนคำ ท่าทางตกตะลึง 

            “ตอนแรกข้าก็คิดว่าเป็นค่อม แต่พอมาเห็นการทำร้ายคนเฝ้า และทับ ข้าก็ยิ่งแน่ใจว่าเขาไม่ใช่ค่อม มีคนสวมรอยเป็นค่อมแน่ๆ ค่อมตัวจริงชอบอยู่สันโดษ ไม่ชอบดำน้ำ ไม่ชอบต่อสู้และทำร้ายใคร และที่สำคัญข้าเชื่อแน่ว่าค่อมไม่มีวันวางยาคนไข้ของตนเองเด็ดขาด เพราะจุดประสงค์หลักที่เขามาเป็นลูกศิษย์ที่นี่ก็เพื่อเป็นหมอยาเช่นข้า” อำพันพูดอย่างมั่นใจ

            ตอนนี้เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว แต่พวกเขายังคงอยู่ที่ใต้ถุนหอกลาง และนั่งจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส เรื่องคนร้ายที่จับได้ ส่วนร่างของค่อมถูกทุกคนใช้อาคมร่วมกันสะกดและถูกนำไปขังไว้ด้านบน กัณหานั่งฟังอำพันเล่าเรื่องอย่างตั้งใจมาก เธอนึกสงสัยตั้งแต่ที่อำพันบอกว่าคนที่พวกเขาพบไม่ใช่ค่อมแล้ว

            “สิ่งสำคัญที่ใต้ทะเลที่ท่านพูดถึงคืออะไรเหรอ” กัณหาถามขึ้นมากลางวง ทุกคนทั้งวงหันมามองเธอราวกับว่าเธอสอดขึ้นมาอย่างไม่เหมาะสม

            “เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้คือ เราต้องรู้ให้ได้ว่าคนที่ปลอมเป็นค่อมนั้นเป็นใคร” บินตังพูดต่อโดยไม่สนใจกัณหา “เราจะทำได้อย่างไร ใครพอทราบไหมว่ามีอาคมใด สามารถเปลี่ยนเราให้เป็นคนอื่นได้”

            “คาถาก็มี” เจ้างูเอ่ยขึ้นทันควัน “แต่ยากมาก ต้องเป็นคนมีฝีมือเท่านั้น ยาปรุงก็มี”

            “ถ้าเป็นจากยาจริง ต้องกินต่อเนื่องกันทุกวัน ถ้าเย็นนี้หรือคืนนี้เขาไม่ได้กิน ภายในพรุ่งนี้เย็นเราต้องรู้แน่ว่าเป็นใคร” อำพันว่าอย่างครุ่นคิด “แต่ถ้าเป็นอาคมก็ยากหน่อย เราอาจต้องอาคมบีบให้เขาแสดงตัว”

            “แน่นอนว่าทำได้ยากมาก” ชายอีกคนเสริมขึ้นมา “ข้าว่ามีวิธีที่ดีกว่านั้น”

            “ทำไงรึ”

            “ก็ปลุกให้เขาตื่นจากมนต์สะกด แล้วงดน้ำงดอาหารสักสัปดาห์หนึ่ง ความอดอยากขาดแคลนจะทำให้พลังในกายลดลง จนต้องยอมคลายมนต์ออก” ชายคนนั้นพูดต่อ

            “เป็นวิธีที่ดี” บินตังตบเข่าฉาด “แต่ก็น่ากลัวว่าเขาตื่นแล้วจะหนีจากเราได้ง่ายดาย”

            “ใช้มนต์ตาข่ายมัดเขาไว้อย่างแน่นหนาน่าจะพอช่วยได้” เจ้างูเสนอความเห็นบ้าง

            “เราควรรีบแจ้งท่านอาจารย์” อำพันว่า “ฝีมืออาคมของเขาสูงมาก ถ้าปลุกเขาตื่นแล้ว เกิดเขาหนีออกไปได้เราจะยุ่ง” อำพันรีบบอก

            “ประเดี๋ยวข้าส่งจดหมายไปแจ้งท่านเอง” บินตังบอก “อย่าได้กังวล อย่างไรเสีย คืนนี้ข้าก็ต้องขอบใจทุกคนมากที่มาช่วย เราควรนอนพักกันก่อน ค่อยเริ่มใหม่พรุ่งนี้เช้า”

            “ถ้างั้นข้าขอตัวไปดูยามสองคนนั้นก่อน” อำพันบอกแล้วรีบลุกขึ้นยืน 

            “ฉันไปด้วย” กัณหารีบลุกขึ้นตาม

            “ไม่ต้องหรอก เจ้าพักเถอะ เจ้าทำมาทั้งวันแล้ว” อำพันยืนยัน แล้วรีบออกไป กัณหาไม่ได้ทักท้วงเพราะรู้ว่าถ้านางห้ามแล้ว ท้วงไปก็ไม่มีประโยชน์

            “เจ้าควรไปนอนซะเถอะ” เจ้างูหันมามองเธอ 

            “ฉันยังต้องไปหาถุงมือของอาติ” กัณหานึกขึ้นได้ถึงสาเหตุที่เธอลุกออกจากเตียงมาวันนี้

            “จริงด้วย” อาติว่า เขาเองก็สะดุ้ง

            “ไม่ต้องแล้วละ” เจ้างูยิ้มเอาหางชูถุงมือสีเขียวสองอันให้อาติดู “ข้าเห็นมันอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงคนไข้”

            อาติรีบวิ่งมารับถุงมือสีเขียวอย่างดีใจ

 

 

            รุ่งเช้าวันถัดมาอำพันกลายเป็นแม่งานดูแลคนไข้ที่เพิ่มกลายเป็นสามคนอย่างเต็มตัว ส่วนกัณหาอยู่คอยช่วยเธอปรุงยา ส่วนเรื่องการดูแลคนไข้มีสาวๆจากวังมุกมาช่วยอีกสามคน ตามที่อำพันบอก พวกเขารับมือกับอาคมที่ค่อนข้างร้ายแรง อาจต้องใช้เวลาพอสมควรจึงจะหาย 

            “แต่ก็ดูดีกว่าพวกเพื่อนๆเจ้าละ” อำพันว่า ขณะหั่นสมุนไพรเพิ่มอีกหลายชิ้น “พวกนั้นโดนทั้งอาคม โดนทั้งยาพิษ ต้องใช้เวลามากกว่า”

            “พวกเขาจะหายดีเหมือนเดิมใช่ไหมจ้ะ” กัณหาถาม

            อำพันเงยหน้าขึ้นมามองกัณหา สีหน้าเธอไม่สู้ดีนักก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะพยายามช่วยให้เต็มที่แล้วกัน”

            “แล้วค่อมละจ้ะ ท่านบอกว่าคนนี้ไม่ใช่ค่อม แล้วค่อมตัวจริงอยู่ไหน” 

            “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าแจ้งเรื่องไปที่ท่านอาจารย์แล้ว ท่านคงให้คนออกตามหาเป็นแน่ ข้ามั่นใจ” 

            ส่วนเรื่องการเก็บไข่มุกนั้น บินตังให้หาคนมาเพิ่มอีกราวเจ็ดแปดคน เพราะต้องเก็บไข่มุกปริมาณมากขึ้น มาต้มยาเพิ่มให้กับทั้งสามคน และเขาให้ตามอีกหลายคนมารอรับและช่วยล้างไข่มุกที่ท่า หลังได้ไข่มุกมากพอจะมีคนเอามาส่งให้ที่โรงปรุงยาข้างๆ 

            กัณหายังนึกข้องใจถึง “สิ่งสำคัญที่ใต้ทะเล” ที่เจ้างูเขียวพูดถึง สิ่งที่ดูเหมือนว่าทุกคาดว่าเป็นสาเหตุให้คนที่ปลอมตัวเป็นค่อมวางยาเพื่อนๆของกัณหา เพื่อหวังว่าจะมาค้นหาสิ่งนี้ในระหว่างที่ทุกคนมุ่งกับการตามหาไข่มุก กัณหาถามหลายคนถึงสิ่งนี้ แต่พอถามเรื่องนี้ทีไร ทุกคนจะกลายเป็นคนหูหนวกไม่ได้ยินที่เธอถามทุกที แม้จะไม่มีใครพูดว่าอะไร แต่กัณหาเชื่อว่า สิ่งนี้ละ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทะเลที่นี่ รวมถึงวังมุกกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามขึ้นมา 

            เมื่อมีเวลาว่างจากการช่วยปรุงยา กัณหาแอบมาพบกับอาติ เพื่อสอบถามเรื่องนี้ แต่อาติเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไรกันแน่

            “เท่าที่ข้ารู้ก็คือ” เขาพูดเบาลงจนแทบเป็นกระซิบ “ศิษย์เอกของท่านอาจารย์ ชื่ออะไรข้าก็จำไม่ได้ละ ข้ารู้แค่ว่าเขาอยากได้สิ่งนี้มาก พยายามทำทุกวิธีให้ท่านอาจารย์ยกให้เขา แต่ท่านอาจารย์ไม่ให้ เขาเลยทรยศท่านอาจารย์และชักชวนศิษย์อีกหลายคนไปด้วย นับตั้งแต่นั้นมาท่านอาจารย์จึงต้องเพิ่มการคุ้มกันเขาริมอ่าว และนำเจ้าสิ่งนั้นมาซ่อนไว้ที่นี่”

            “อ๋อ เพราะเหตุนี้เอง” กัณหาว่า “ตอนฉันกำลังจะเดินทางมาที่นี่ พ่อช่วง เพื่อนของฉันที่เป็นศิษย์ท่านอาจารย์เหมือนกันบอกว่า มาง่ายดายไม่มีปัญหา ท่านอาจารย์ก็ยินดีต้อนรับ แต่พอมาถึงจริงๆ ตอนขาเข้าเขาริมอ่าว เราเจอกับอาคมทะเลเลือด จนทุกคนหมดสติไปกันหมดเกือบไม่รอด ฉันยังสงสัยว่าทำไมท่านอาจารย์ต้องวางอาคมขนาดนั้น เพราะเหตุนี้นี่เอง”

            “ข้าได้ยินว่าท่านอาจารย์ไม่กล่าวถึงชื่อของเขาอีกเลย และทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน” อาติเสริม “ข้าว่าเจ้าคนที่จับได้ อาจเป็นหนึ่งในพรรคพวกของเขาก็ได้”

            “นั่นสินะ”

            เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นเหนือศีรษะทั้งสอง ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นไปมอง ได้ยินเสียงโซ่ฟาดไปมาหลายครั้ง เสียงนั้นดังมาจากชั้นบนสุดของยอดหอกลาง ดังครั้งละนานๆก่อนจะเงียบหายไป

            “เขายังไม่ยอมคลายอาคมออกหรือ” กัณหามองไปที่หน้าต่างบนสุดของหอกลาง

            “ยังพ่อข้าบอกว่า เขาอึดทีเดียว พ่อให้งดน้ำงดอาหารมาหลายวันแล้ว เขายังดูมีเรี่ยวแรงต่อสู้อยู่เลย” อาติส่ายหน้า “เมื่อเช้าข้าเห็นพ่อต้องให้คนขึ้นไปเสริมคาถาอาคมกลัวเขาจะหลบหนี”

            “เขาคงหิวข้าวน่าดู” เด็กน้อยรำพัน

            “พ่อข้าไม่ปล่อยให้เขาอดถึงตายหรอกน่า แค่ทำให้เขาอ่อนแรงพอที่จะยอมอะไรง่ายๆ” อาติปลอบเธอ

            เสียงอึกทึกครึกโครมยังดังมาเป็นระยะ กัณหากับอาติมองไปทางยอดหอกลางอย่างไม่สบายใจนัก คนที่เดินไปตามทางก็เริ่มหยุดเดินและมองขึ้นไปดูต้นเสียงเช่นกัน กัณหารู้สึกว่าเสียงดังครั้งนี้ดูนานและดังกว่าปกติ สักพักมีเสียงคนร้องตะโกนว่า “นักโทษหนีไป หนีไป”

            “แย่แล้ว” อาติหน้าเสีย รีบกลับไปที่โรงปรุงยาของเจ้าเร็ว

            กัณหากำลังรีบลุกและกำลังจะออกวิ่ง แต่ไม่ทันไร ร่างเตี้ยของค่อมก็วิ่งกระหืดกระหอบผ่านมา เมื่อเขาเห็นกัณหาก็คว้าร่างเธอมาล็อกคอไว้ กัณหาสำลัก พยายามดิ้นรน แต่มือที่ล็อกคอเธอไว้นั้นทำให้เธอหายใจไม่ออก 

            “ปล่อยเด็กนะ” เสียงบินตังดังมาจากที่ไหนสักแห่ง กัณหาเริ่มรู้สึกหน้ามืด

            “ไปเอาเรือมาให้ข้า ไม่งั้นนังเด็กนี่ตาย” ค่อมตะโกน 

            “ได้ๆ ใจเย็นๆนะค่อม” เสียงผู้ชายอีกคนพูด “ไปเตรียมเรือมา”

            “ส่งเด็กมาให้ข้า ค่อม” เสียงเจ้างูดังเหมือนอยู่ไม่ห่างจากพวกเขามากนัก กัณหาหลับตาแน่น เธอเริ่มมองไม่เห็นอะไรแล้ว “ผู้ใช้อาคมชั้นสูงเช่นเจ้า ไม่ควรรังแกเด็ก”

            “เอาเรือมา!!!” ค่อมตะโกน “เร็ว”

            เนื่องจากค่อมสูงพอๆกับกัณหา เขาจึงลากกัณหาไปตามทางจนถึงท่าน้ำ กัณหายังคงดิ้นและสำลักต่อเนื่อง เธอรู้สึกแน่นจนหายใจไม่ออก 

            “อาติ ลงไปในเรือ” ค่อมตะโกน “แกขึ้นมาจากเรือซะ”

            “ปล่อยเด็กไว้นี่เถอะค่อม ให้เขาขี่เรือไปส่งเจ้า”

            “ไม่ คิดว่าข้าโง่เรอะ เจ้าลุกออกมาเร็ว ให้อาติลงไปขับเรือให้ข้า” ค่อมเอ็ดอยู่ใกล้ๆหูของกัณหา “ขับช้าๆนะ ถ้าเจ้าขับเร็วเหมือนตอนมา นังนี่ตาย”

            “จ้า” เสียงอาติรับคำ

            ค่อมลากร่างของกัณหาลงไปในเรืออย่างทุลักทุเล เมื่อลงมานั่งในเรือสักพัก กัณหารู้สึกว่าเรือค่อยๆออกตัว เสียงผู้คนเอะอะโวยวายบนท่าเริ่มเบาลง อาติคงพาเรือออกมากลางมหาสมุทรแล้ว เขาขับอย่างช้าๆดูใจเย็นมาก

            “เร็วกว่านี้อีกนิด” ค่อมตะโกนใส่อาติ “ไปส่งข้าที่ฝั่ง”

            “ขอรับ” เสียงอาติตอบมาจากไกลๆ เขาน่าจะอยู่ท้ายเรือ แล้วสักพักเรือก็แล่นเร็วขึ้นบ้าง