หลังจากงานฉลองทะเลราตรีสามวันสามคืนผ่านไป ชาววังมุกเริ่มต้นเก็บของและค่อยๆทยอยกันกลับวังมุก กัณหา เจ้างูและผีพราย ก็กำลังจะเดินทางกลับเขาริมอ่าวเช่นกัน ทั้งสามไปร่ำลาบินตัง เมญ่าและอาติที่กำลังทยอยกันขึ้นเรือ

            “ขอให้โชคดีในการเดินทางนะ” บินตังแจกยิ้มให้ทุกคน “หวังว่ามาคราหน้าข้าจะได้ชื่นชมอาคมของเจ้าบ้างนะ กัณหา”

            “จ้ะ ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะจ้ะ” กัณหายิ้มตอบ 

            “อ้อ แล้วเจ้าอย่าลืมรายงานที่ข้าบอกให้ท่านอาจารย์ล่ะ ใบตอง” บินตังหันไปพูดกับเจ้างูเขียว

            “แน่นอน” เจ้างูรับคำ “ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพเช่นกัน”

            “หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะ” อาติว่าหันมามองกัณหา “และหวังว่าเจ้าคงไม่มีเรื่องแผลงๆมาให้ข้าทำอีกล่ะ” 

            กัณหายิ้มกว้างกว่าเดิม ทุกคนที่อยู่รายรอบพากันหัวเราะขบขัน

            

 

 

             กัณหา เจ้างูใบตอง และผีพรายเดินทางมาถึงเขาริมอ่าวในอีกหลายวันต่อมา การเดินทางขากลับของพวกเขาค่อนข้างโล่งและเงียบกว่าขามา เพราะอำพันพาทับกลับมาก่อน ค่อมหรือคนที่ปลอมเป็นค่อมถูกส่งกลับมาแล้วเช่นกัน เหลือก็แต่พวกเขาสามคนที่นั่งรถม้าตามกลับมาทีหลัง เมื่อมาถึงที่เขาริมอ่าวก็มีสิ่งที่ทำให้กัณหาประหลาดใจมากกว่าเดิมเมื่อชายคนที่รอต้อนรับพวกเขาที่ลานเทียบรถม้าเอ่ยทักขึ้นว่า

            “แสดงความยินดีกับเจ้าด้วยนะ กัณหา”

            “ยินดีเรื่องอะไร” ผีพรายหันไปถามชายคนนั้นอย่างประหลาดใจ

            “อ้าว ยังไม่ทราบเรื่องกันเลยรึ ไม่กี่วันมานี่เอง ท่านอาจารย์ตกลงรับเจ้าเด็กคนนี้เป็นศิษย์แล้ว ต่อไปนี้นางคือ ศิษย์คนใหม่ของที่นี่”

            “จริงเหรอ” เจ้างูและผีพรายอุทานขึ้นพร้อมกัน สีหน้าทั้งคู่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

            “เจ้ารู้ได้ไง เมื่อไรกัน” เจ้างูใบตองซักชายคนนั้นต่อ

            “ข้าก็ได้ยินคนอื่นเขาเล่าลือกันนั่นแหละ” ชายคนนั้นบอก “อ้อ ได้ยินเขาว่าแม่อำพันไปขอให้ด้วยตนเองเสียด้วย เหตุนี้แหละ คนถึงเล่าลือกันหนาหู เพราะเจ้าเด็กน้อยนี่มาทำงานได้ไม่นาน จะว่าไปยังไม่ถึงปีเลย แม่อำพันก็ใจอ่อนไปขอให้เสียแล้ว”

            “เย้ เย้” ผีพรายกระโดดโลดเต้นอย่างยินดี ราวกับตนเองได้รับเลือกให้เป็นศิษย์ใหม่เสียเอง เจ้างูเองก็ยิ้มอย่างยินดีเช่นกัน กัณหารู้สึกงุนงง ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี เพราะก่อนหน้านี้เธอเลิกฝันเรื่องเรียนอาคมเสียแล้ว

            “ทำไมเจ้าดูไม่ดีใจเลย” งูใบตองมองเธออย่างสงสัย “ไม่อยากเรียนแล้วหรือ”

            “ไม่รู้สิ จริงๆฉันถอดใจไปนานแล้ว คิดว่าอาจจะไม่เรียนแล้ว”

            “ไปสิ มีโอกาสแล้วก็ต้องเรียน” ผีพรายพูดทันที เจ้างูและชายคนนั้นพยักหน้าเห็นด้วย 

            “ตอนทำงานในเรือนพยาบาลไปนานๆ นานจนฉันเลิกคิดจะเรียนแล้ว ตอนนั้นฉันวางแผนไว้ว่า ถ้าเพื่อนๆฉันฟื้นเมื่อไหร่ก็จะออกเดินทางทันที หลังจากนั้นฉันก็ไม่คิดถึงเรื่องเรียนอีกต่อไป” กัณหาบอกจากใจจริง แล้วเธอก็นึกออกว่าอำพันจะทำหน้าอย่างไร ถ้ารู้ว่าเธอปฏิเสธการไปเรียนอาคมทั้งที่หล่อนเพิ่งไปขอให้ “แต่ว่าถ้าอำพันไปขอให้ขนาดนี้…”

            “เจ้าควรไปเรียน ยิ่งมีโอกาส และจำเป็นต้องใช้ในการเดินทาง เจ้าจำเป็นต้องเรียน อย่างน้อยสุดก็เรียนไว้ป้องกันตนเองในระหว่างเดินทาง” เจ้างูเขียวพูดต่อทันที ผีพรายพยักหน้าเห็นด้วย “พวกเพื่อนๆของเจ้าหลังได้รับไข่มุกต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกสักพักทีเดียว ในระหว่างนี้อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะเรียนอาคมรอ”

            กัณหานิ่งไป ใจหนึ่งเธอก็อยากเรียนไว้เผื่อมันจะมีประโยชน์อย่างที่เจ้างูว่า แต่เธอก็กลัวว่ามันจะกินเวลานานเกินไป ทำให้การเดินทางของเธอล่าช้าไปอีก

            “แล้วเรียนๆหยุดๆ ท่านอาจารย์จะไม่ว่าหรือ” กัณหาสงสัย 

            “เจ้าลองคุยกับท่านอาจารย์ดูแล้วกัน แต่ก่อนอื่น ไปหาอำพันก่อนไปขอบคุณนาง” งูเขียวแนะ รีบตวัดหางชี้ไปทางเรือนพยาบาล

            “จ้ะ”

            กัณหาเดินกลับมาตามทาง มีเจ้างูและผีพรายตามมาติดๆ ทั้งคู่ดูดีใจและประหลาดใจมากที่อำพันยอมไปขอร้องอาจารย์ให้เร็วและง่ายดายกว่าทุกทีที่เคยเห็น ทั้งคู่เถียงกันไปตลอดทางว่าเพราะเหตุใดกัน อำพันจึงใจอ่อนเร็วขนาดนี้

             “ข้าว่าต้องเป็นเพราะเหตุการณ์ที่วังมุกแน่ๆ นางอาศัยปัญญาจับคนร้ายได้อย่างมหัศจรรย์”

             “ข้าว่า เพราะนางขยันมากกว่า ตอนที่ค่อมถูกจับได้ว่าวางยา ก็เหลือนางคนเดียว ช่วยงานอำพันแทบทุกอย่าง ถ้าตอนนั้นไม่มีนาง อำพันคงจะตายไปแล้ว”

              เมื่อมาถึงเรือนพยาบาล ทั้งคู่ขอแยกตัวออกไป ทิ้งกัณหาให้เข้ามาในเรือนพยาบาลตามลำพัง ภายในตัวเรือนมีสิ่งที่ดูแปลกไปก็คือ มีคนมาช่วยงานดูแลคนไข้เพิ่มขึ้น เพื่อนๆของกัณหายังคงหลับสนิทบนเตียง แต่สภาพของพวกเขาดูดีกว่าครั้งก่อนมากนัก หน้าตาพวกเขายังดูซีดเซียวอยู่บ้าง แต่ไม่บวมและไม่โวยวายแล้ว

            “พวกเขาตอบสนองดีกับไข่มุกอันดามัน” เสียงอำพันดังขึ้นไม่ไกลนัก ด้านหลังหล่อนมีหญิงอีกสองสามคน ถือถ้วยยาตามมา เมื่อมาถึงเตียงของคนไข้ แต่ละคนก็แยกกันไปป้อนยา ส่วนอำพันยังคงยืนมองดูกัณหา

            “เจ้าคงรู้แล้วใช่ไหมว่าท่านอาจารย์ยินยอมรับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว” อำพันบอกกัณหาโดยไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจหรือดีใจอันใดในเรื่องนี้ “มาป่วนเปี้ยนแถวนี้ทำไมอีกละ เจ้าควรไปเตรียมตัวสำหรับการเรียนได้แล้วนะ”

            “เออ… คือฉันมาขอบคุณท่าน ที่ท่านช่วยฉัน” กัณหาว่า รู้สึกเคอะเขิน จนไม่รู้จะพูดอะไร เธอรู้สึกได้ว่าแม้ภายนอกของอำพันจะดูเป็นคนเคร่งขรึม จริงจัง ไม่สนใจใคร แต่ที่จริงแล้วเธอก็ใจดีไม่ต่างจากเจ้างูเขียวเลย

            “ช่วยอะไร ฉันแค่บอกท่านอาจารย์ไปตามความจริง เจ้าเป็นคนมีพรสวรรค์ มีไหวพริบ และมีความมุ่งมั่น ข้าเชื่อว่าถ้าเจ้าได้เรียนอาคม เจ้าจะทำได้ดี” อำพันตอบอย่างเรียบเฉยเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร “พรุ่งนี้ท่านอาจารย์นัดเจ้าให้ขึ้นไปที่ห้องทำสมาธิของท่าน เพื่อเริ่มฝึกครั้งแรก ให้ใบตองพาเจ้าไป เอาดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้ครูพอเป็นพิธี”

            “ดอกไม้ธูปเทียน” กัณหาเอ่ยอย่างตะลึง “ฉันต้องเตรียมอย่างไรบ้าง”

            “ข้าจะเตรียมให้” อำพันบอกทันที “ข้ารู้ว่าเจ้ายังเด็ก ไม่สันทัดเรื่องนี้ พรุ่งนี้เช้า ข้าจะฝากใบตอง เอาไปให้เจ้า วันนี้เจ้าไปพักผ่อนเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมก่อนเถิด การเริ่มฝึกอาคมครั้งแรกยากมาก เหนื่อยกว่าทำงานที่นี่สิบล้านเท่าแล้วเจ้าจะเห็นเอง”

            

 

            

 

            กัณหากลับมาถึงที่พัก เจ้านกน้อยบินมาต้อนรับเธออย่างยินดี มันดูแข็งแรงกระฉับกระเฉงมากกว่าทุกทีที่กัณหาเคยเห็น สีขนบนปีกก็ดูสีสันชัดเจนขึ้น รวมทั้งท่าทีอันร่าเริงสดใสของมัน

            “ยินดีเหลือเกินที่ท่านกลับมาสักที ข้าคิดถึงท่านมาก ข้าได้ยินเขาเล่าลือกันว่า ท่านอาจารย์ของที่นี่ยอมรับท่านมาเรียนอาคมด้วยแล้วหรือ” เจ้านกน้อยทักทายอย่างอารมณ์ดี 

            “ใช่แล้ว” กัณหาตอบรับ 

            “ข้าเชื่อว่าท่านต้องทำได้แน่นอน” เจ้านกยิ้มอย่างยินดี บินวนรอบศีรษะของกัณหาอย่างมีความสุข

            กัณหาได้แต่ยิ้มตอบ ไม่พูดว่าอะไร

 

 

            

            รุ่งเช้ากัณหาตื่นแต่เช้า เธอออกมานั่งเล่นที่ชายหาดเนื่องจากนอนไม่หลับ และกระวนกระวายใจถึงสิ่งที่ตนเองจะได้เจอในวันนี้ เมื่อถึงเวลาทานอาหารเช้า กัณหาไปที่โรงอาหารเหมือนเช่นทุกวัน เธอรีบทานอาหารจนไม่รู้ว่ากินอะไรเข้าไปบ้าง ก่อนจะทานอาหารเสร็จ เจ้างูใบตองมาหาเธอที่โรงอาหารพร้อมกับพานใส่ดอกไม้ธูปเทียนอันเล็กๆ

            “เจ้าพร้อมรึยัง” เจ้างูถาม ยิ้มกว้างให้ 

            “จ้ะ” กัณหาตอบรู้สึกใจเต้นพิกล 

            “ไม่ต้องกลัว ท่านอาจารย์ไม่ดุ” เจ้างูอดขำไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย “ถือพานของเจ้าไปด้วยแล้วตามข้ามา”

            กัณหารับพานดอกไม้ธูปเทียนนั้นมาจากเจ้างู และเริ่มออกเดินตามเจ้างูไปตามทาง งูเขียวพากัณหาออกจากหมู่บ้านเขาริมอ่าวไปสู่บริเวณทางขึ้นเขาอีกครั้ง กัณหาจำทางเส้นนี้ได้จากลักษณะทางเดินที่ค่อยๆชันขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเดินมาจนถึงปากถ้ำมืดสนิทและเดินผ่านทางเดินภายในถ้ำที่ประดับประดาด้วยโคมไฟสีต่างๆ มาจนถึงห้องกว้างภายในถ้ำที่มีแสงอาทิตย์ส่องลอดผ่านมา มีต้นไม้ขึ้นภายในจนเหมือนสวนหย่อมเล็กๆ มีสระน้ำอยู่ข้างๆสวนต้นไม้นั่น

            “ประเดี๋ยว ท่านอาจารย์มาถึง เจ้าก็เอาพานนี้ให้ท่าน แล้วบอกว่ามาขอฝากตัวเป็นศิษย์” เจ้างูอธิบาย “เจ้าต้องขึ้นมาเรียนที่นี่หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว และต้องกลับลงไปก่อนพระอาทิตย์จะตกดินเสมอ อย่ากลับเย็นมาก เพราะทางก่อนขึ้นเขาเป็นป่า ไม่ค่อยปลอดภัยนักถ้ามืดแล้ว”

            “จ้ะ” กัณหารับคำ “แล้วท่านอาจารย์ละ ท่านไม่กลับลงไปกับฉันด้วยหรือ”

            “ท่านพักที่นี่ตลอด” เจ้างูบอก “เจ้าไปกลับเอง ได้ไหม”

            “ได้จ้ะ” เธอรับคำ 

            “มากันแล้วรึ” เสียงทุ้มนุ่มลึกดังมาแต่ไกล กัณหาสะดุ้ง เจ้างูหันไปมองด้านหลังพร้อมกับก้มหัวคำนับ

            ชายวัยกลางคน ท่าทางสงบเดินออกมาจากมุมถ้ำด้านหนึ่ง เขายังคงนุ่งขาวห่มขาวเหมือนตอนที่กัณหาเห็นในวันแรก

            “นั่งสิ” เขาโบกมือ สักพักพรมสีแดงอย่างดีปรากฏบนพื้นถ้ำ แต่ตัวเขาเองกับนั่งลงบนก้อนหินอันใหญ่อันหนึ่ง หน้าพรมสีแดง

            กัณหาเดินมานั่งลงที่พรมสีแดงนั้น เธอลังเลใจ เมื่อเจ้างูทำท่าพยักพเยิดให้เธอส่งพานให้ท่านอาจารย์ เธอจึงนึกได้รีบหันไปยกพานขึ้นส่งให้ท่าน

            “อิฉัน เอ่อ มาขอฝากตัวเป็นศิษย์เจ้าค่ะ” กัณหาพูดจาตะกุกตะกัก มีเจ้างูพยักหัวถี่ๆเชิงให้กำลังใจ

            ท่านอาจารย์ยิ้มมุมปากเหมือนขบขัน กัณหายิ้มเจื่อนลง แต่อย่างไรก็ตามท่านก็ยื่นมือออกมารับพานของเธอไป

            “แม่อำพันทำให้ละซิ” ท่านว่า ทอดมองพานนั้นอย่างตั้งใจ ก่อนวางมันบนก้อนหินอีกก้อน

            “กัณหายังเด็ก ไม่ค่อยประสีประสา ท่านอาจารย์” เจ้างูรีบบอก “อำพันเลยว่าจัดการให้แทนเสียดีกว่า เกรงจะไม่ทันการ”

            “เอาเถอะ ยังไงข้าก็ขอบใจที่เจ้าเอามา นานแล้วที่ข้าไม่ได้รับศิษย์ใหม่ นับตั้งแต่…” ท่านเงียบเสียงลงไป สีหน้าดูสลดลงเป็นครั้งแรก ก่อนหันมามองเจ้างูแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีธุระกระไรแล้ว กลับไปทำงานของเจ้าเถิด เด็กนี่ข้าดูเอง”

            “ขอรับ ท่านอาจารย์” เจ้างูว่า ก่อนค่อยๆเลื้อยจากไป

 

 

            “เอาล่ะ” ท่านอาจารย์ว่า “เจ้ารู้แล้วใช่ไหม ว่าเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร”

            “เจ้าค่ะ” กัณหารับคำ นึกสงสัยว่าจะถามเธอทำไม “ให้อิฉันมาเรียนอาคมเจ้าค่ะ”

            ท่านอาจารย์ยิ้มน้อยๆขึ้นมาก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ก่อนที่เจ้าจะเรียนอาคม เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจบางเรื่องราวเกี่ยวกับอาคมเสียก่อน เจ้าจึงจะเรียนรู้ได้ดี ฉะนั้นข้าจึงต้องถามเจ้าว่า เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับอาคม”

            “เอ่อ…” อีกฝ่ายนิ่งไป ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะเธอแทบจะไม่เคยเห็นอาคมเลยก่อนจะมาที่นี่ “มันคือการเสกหรือทำอะไรที่เหนือธรรมชาติได้รึเปล่าเจ้าค่ะ”

            ท่านอาจารย์หัวเราะเสียงดังสุดเท่าที่กัณหาเคยได้ยิน เธอถึงกับหน้าเสียทีเดียว ก็เธอเคยเห็นเช่นนั้นนี่นา

            “อะไรละ ที่เจ้าว่าเหนือธรรมชาติ” ท่านถาม ยังคงกลั้นยิ้มไว้

            “เออ… เช่น เสกวัตถุขึ้นมาเองได้ ทำให้วัตถุที่ตกลงไปแล้วลอยขึ้นมาอยู่ข้างบน ทำให้เรือแล่นเร็วขึ้น ประมาณนี้ไหมเจ้าค่ะ”

            ท่านอาจารย์หัวเราะต่ออีกหน่อย แล้วจึงเอ่ยว่า “ที่จริงแล้วอาคมก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ มันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงพลังงานบางอย่างจากจิตของเราให้กลายไปเป็นพลังงานบางอย่างได้ เราจึงเรียกว่าอาคม อาคมก็เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่มีธรรมชาติของมัน ไม่ได้เป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติแต่อย่างใด”

            ท่านอาจารย์ลุกขึ้นยืนและเริ่มออกเดินวนรอบๆตรงที่กัณหานั่ง

            “อาคมเป็นเช่นเดียวกับความสามารถพิเศษอื่นๆของมนุษย์ คือ มีติดตัวทุกคนมากตั้งแต่เกิด บางคนมีมาก บางคนมีน้อย บางคนไม่มี อาคมต่างจากความสามารถอื่นตรงที่ว่า จำนวนคนที่มีอาคมมีน้อยมากจนแทบนับตัวได้ และมีเฉพาะคนที่มีอาคมในตัวเท่านั้นจึงจะสามารถใช้อาคมได้ ในขณะที่ความสามารถอื่นๆ เช่น วาดรูป ฝึกดาบ พวกนี้แม้เจ้าไม่มีความสามารถพิเศษเจ้าก็ยังสามารถวาดรูป หรือใช้ดาบได้ เพียงแต่ว่าอาจจะทำได้ไม่ดีเท่านั้นเอง แต่อาคมนั้น คนที่ไม่มีความสามารถทางอาคมเลยจะไม่สามารถใช้อาคมได้ แม้จะได้รับการฝึกสอนก็ตาม มิหนำซ้ำในคนที่มีความสามารถทางอาคมถ้าไม่ได้รับการฝึกในเวลาที่เหมาะสม ความสามารถนี้ก็จะหายไปตามกาลเวลา จนสุดท้ายแม้เจ้าจะกลับมาได้รับการฝึกอีกครั้ง เจ้าก็ไม่อาจใช้อาคมได้อีกต่อไป”

            “ดังนั้นคนที่ใช้อาคมได้จะต้องมีทั้งพรสวรรค์และได้รับการฝึกในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฝึกก็คือ หลังจากที่อาคมปรากฏแสดงออกมาครั้งแรกจนกระทั่งถึงช่วงที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่ ในคนก็อายุหกถึงเจ็ดปีจนกระทั่งอายุครบยี่สิบห้าปี ยิ่งฝึกตั้งแต่อายุน้อยยิ่งได้เปรียบ ยิ่งฝึกก่อนเข้าสู่วัยรุ่นจะยิ่งดีมาก เพราะอาคมจะเจริญเติบโตในจิตเจ้าได้มากสุดในช่วงที่เจ้าเจริญเติบโตเร็วๆ ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็คล้ายกับความสามารถอย่างอื่นนะ อย่างเช่นถ้าเจ้าต้องการเป็นนักดนตรีที่เก่ง เจ้าก็ต้องฝึกดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย พอเจ้าโตขึ้น ความสามารถทางดนตรีของเจ้าก็จะเจริญขึ้นเช่นกัน ถ้าเจ้ามาฝึกดนตรีตอนแก่ ฝึกได้ก็จริง แต่ไม่อาจเล่นได้ไพเราะเท่ากับคนที่ฝึกตั้งแต่เด็ก”

            กัณหานั่งฟังท่านอาจารย์พูดไปเรื่อยๆนึกสงสัยว่าท่านจะพูดไปอีกนานแค่ไหน แล้วจะบอกให้เธอฟังเรื่องพวกนี้ทำไมกันนะ

            “ที่ข้าบอกเจ้าเพราะเจ้าจำเป็นต้องเข้าใจความรู้พื้นฐานก่อนจะไปปฏิบัติจริง” ท่านอาจารย์ตอบ กัณหาถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำตอบทั้งที่ยังไม่ได้เอ่ยปากถาม “ก่อนที่เจ้าจะเรียนรู้สิ่งใดก็ตาม ความเข้าใจในสิ่งนั้นอย่างละเอียดถึงพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมีเฉพาะคนที่ฐานมั่นคงดีแล้วเท่านั้น จึงจะต่อยอดไปได้อย่างมั่นคง”

            “เจ้าค่ะ” กัณหารีบรับคำยิ้มแหยๆอย่างสำนึกผิด ท่านอาจารย์หยุดเดินและหันมามองเธอ

            “อาคม แท้จริงแล้วเป็นพลังจิตในรูปแบบหนึ่ง ผู้ที่มีอาคม คือผู้สามารถเปลี่ยนแปลงพลังงานจิตเป็นพลังงานในรูปแบบอื่น ซึ่งก็อย่างที่เจ้าพูดไปว่าอาคมสามารถทำได้หลายอย่างมาก การฝึกอาคมก็คือการฝึกควบคุมพลังจิตของตนเองให้สามารถทำอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการ ซึ่งขั้นตอนที่ยากที่สุดในการฝึกอาคมก็คือขั้นแรกสุด การดึงพลังจิตมาใช้ เมื่อเจ้าผ่านขั้นตอนนี้ไป เจ้าจึงจะสามารถฝึกอาคมในรูปแบบอื่นๆได้”

            “การดึงพลังจิตมาใช้” กัณหาพึมพำตาม 

            “เจ้าจะสามารถดึงพลังจิตมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อจิตเจ้าเพ่งอยู่ที่ใดที่หนึ่งอย่างมั่นคง มันเหมือนตอนที่เจ้าเดินข้ามทะเลสีเลือดเข้ามาในเขาริมอ่าวนี้ล่ะ เมื่อเจ้าเพ่งจิตอยู่ที่ใดที่หนึ่งนั้น กระแสจิตของเจ้าต่อสิ่งนั้นจะเปลี่ยนเป็นอาคมได้ ตอนแรกที่เจ้าฝึกจะใช้เวลานานมาก แต่หลังจากนั้นเมื่อเจ้าทำบ่อยๆจนเคยชิน มันก็จะไม่ยากและใช้เวลาไม่นานอีกต่อไป”

            ท่านอาจารย์แบมือออกมาต่อหน้ากัณหา แล้วกล่องไม้ทรงลูกบาศก์ขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือสามกล่องก็ปรากฏขึ้น กัณหามองมันอย่างสนใจ 

            “ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือ ทำให้กล่องพวกนี้ลอยให้ได้” ท่านอาจารย์ว่า แล้วสักพักกล่องไม้ก็ลอยขึ้นจากฝ่ามือของท่านอาจารย์ “ทำให้มันเปลี่ยนสี” สักพักสีกล่องไม้ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสด “และสุดท้ายทำให้มันหมุน” กล่องที่ลอยอยู่ทั้งสามกล่องเริ่มหมุนติ้ว

            “ทำเช่นไรเล่าเจ้าค่ะ อิฉันยังไม่เข้าใจนัก”

            “จงเพ่งจิตไปถึงสิ่งที่เจ้าต้องการให้มันเป็น” ท่านอาจารย์ตอบ “แล้วมันจะกลายเป็นเช่นนั้นเอง”

            ท่านอาจารย์ส่งกล่องทั้งสามให้กัณหาที่รับมาอย่างงุนงง

            “จงกลับมาที่นี่อีกครั้ง เมื่อเจ้าทำทั้งสามสิ่งได้ และแสดงมันต่อหน้าข้า”  ท่านอาจารย์ตอบ สักพักร่างท่านก็กลับไปปรากฏกายนั่งสมาธิบนก้อนหินก่อนใหญ่ที่กัณหาเคยเห็นท่านนั่งสมาธิบนนั้นครั้งแรกที่มาที่นี่ กัณหาได้แต่มองตามไปอย่างงุนงง

 

 

            “เรียนวันแรกเป็นอย่างไรบ้าง” เจ้านกน้อยถามทันทีที่กัณหากลับมาถึงที่พักในตอนเย็น

            “ไม่ได้อะไรเลย” กัณหาตอบอย่างหงุดหงิด แล้วก็ชูกล่องไม้สามอันให้เจ้านกน้อยดู “ฉันได้รับมอบหมายให้มาทำให้กล่องสามกล่องนี้ลอยขึ้นเอง หมุนได้ และเปลี่ยนสีได้ ฉันต้องทำอย่างไรละนี่”

            “แล้วอาจารย์ท่านไม่ได้บอกวิธีหรือ” เจ้านกถามอย่างสงสัย 

            “ท่านบอกว่าให้เพ่งจิตไปถึงสิ่งที่ต้องการให้มันเป็น” เด็กน้อยว่า นั่งลงบนเตียงอย่างหงุดหงิด “ฉันฟังแล้วก็ยังไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร วันนี้ทั้งวัน ฉันก็นั่งเพ่งมองมัน คาดหวังว่ามันจะเปลี่ยนสีได้”

            เจ้านกน้อยถอนหายใจ

            “เธอรู้วิธีบ้างหรือไม่” กัณหาหันไปถามนก 

            “อาคมของมนุษย์กับสัตว์ในป่าหิมพานต์ต่างกัน” เจ้านกตอบอย่างสงบ “ข้าไม่อาจช่วยท่านในสิ่งนี้ได้หรอก”

            “ขอบน้ำใจนัก” อีกฝ่ายประชดแล้วก็หงายหลังลงเตียงไปเลย

 

 

 

            รุ่งเช้าวันถัดมา กัณหามานั่งอยู่ใต้เงาของเขาที่ริมทะเล ซึ่งค่อนข้างเงียบสงบ ปราศจากผู้คน จุดประสงค์หลักก็เพื่อรวบรวมสมาธิสำหรับการฝึก มีเจ้านกน้อยตามมาเฝ้าอยู่ไม่ไกลนัก 

            “เอาละ” เธอรวบรวมสมาธิและหยิบกล่องไม้ทรงลูกบาศก์ออกมาวางบนมือ เธอทั้งเพ่ง ทั้งจ้อง ทั้งจินตนาการว่ามันลอยขึ้นได้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากความคิดที่ว่า “นี่มันงี่เง่า” ผุดออกจากหัวเป็นระยะ

            “มีสมาธิหน่อยสิ กัณหา” เด็กน้อยพึมพำกับตัวเอง แต่ทำเท่าใด เจ้ากล่องไม้ก็ยังคงวางอยู่บนมือ ไม่ขยับเขยื้อน จะมีก็แต่เหงื่อบนฝากมือที่ออกมากขึ้น

            กัณหาลองเปลี่ยนเป็นจินตนาการว่ามันหมุนแทน แถมพึมพำด้วยว่า “จงหมุนๆๆ” ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น 

            จนกระทั่งถึงเที่ยง เมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เธอจึงไปกินอาหารที่โรงอาหารตามปกติ ที่โรงอาหารคนยังคงกินอาหารกันเงียบเหมือนเดิม กัณหากินอาหารคนเดียว หลังกินเสร็จก็ตัดสินใจเปลี่ยนที่ไปที่สระน้ำเล็กๆที่ชายป่า เธอเลือกนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ และทำแบบเดิมเหมือนเมื่อเช้าอีก แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น