หลังจากนั้นตารางชีวิตของกัณหาก็แทบไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก ทุกเช้าเธอตื่นแต่เช้าไปนั่งที่ริมหาด จนสายเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็ย้ายเปลี่ยนที่มาที่สระน้ำชายป่า  ตอนเย็นๆพอแดดร่มลมตก เธอก็แวะไปเยี่ยมเหล่าบรรดาเพื่อนๆของเธอที่เรือนพยาบาล

            อาการของทุกคนดีวันดีคืนหลังจากได้ไข่มุกอันดามัน ตอนนี้หน้าตาทุกคนดูปกติ ไม่ซีดเซียวแล้ว แต่ยังลุกเดินไม่ค่อยไหวนัก  พวกเขากินกับนอนหลับเป็นส่วนมาก ช่วงหลังๆเริ่มตื่นมานั่งได้นานขึ้น พูดได้สักสองสามคำก็เริ่มอ่อนเพลียแล้ว อาการของแหวนดีขึ้นเร็วกว่าใคร อำพันบอกว่าเป็นเพราะแหวนอายุยังน้อยจึงฟื้นตัวเร็วกว่าเพื่อน ตอนนี้แหวนลุกเดินรอบเตียงได้แล้ว พูดได้เป็นประโยคได้ สีหน้าก็ดูแจ่มใสมากกว่าทุกที

            กัณหานึกอยากให้ทุกคนหายป่วยไวไว เธอจะได้ออกไปตามหาน้ำอมฤตเสียที เธอวางแผนจะเดินทางทันทีที่อำพันอนุญาตให้ทุกคนออกจากเรือนพยาบาลได้ ระหว่างนี้เธอก็พยายามตั้งใจฝึกอาคมรอ เสียแต่ว่ามันไม่คืบหน้าเอาเสียเลย กล่องลูกบาศก์ยังคงวางอย่างสงบนิ่งอยู่บนมือของเธอ กัณหาเอาแต่เพ่งมองแล้วถอนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

            “ตั้งใจหน่อยสิกัณหา” เธอด่าตัวเอง เมื่อนึกเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา ที่นั่งเพ่งเจ้ากล่องโง่ๆนั่นทั้งวัน “รีบฝึกให้เป็นจะได้ออกเดินทางเสียที”

            ยิ่งฝึกนานไป กัณหายิ่งรู้สึกหดหู่และท้อใจมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นตอนเริ่มมาทำงานในเรือนพยาบาลใหม่ๆ เพราะสิ่งที่ทำมันไม่คืบหน้า ไม่เห็นผล กัณหานึกอยากไปคุยกับคนอื่นๆ เพื่อขอฟังประสบการณ์การฝึกของแต่ละคนบ้าง ว่าแต่ละคนมีวิธีการฝึกอย่างไร แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอกับคนอื่นมากนัก เจ้างูเขียวใบตองก็หายสาบสูญไปเลยนับตั้งแต่วันที่พาเธอไปส่งที่ถ้ำ อำพันบอกว่า ท่านอาจารย์มีงานให้ใบตองทำ เช่นเดียวกับผีพรายที่ปกติ มักเห็นแถวๆโรงอาหารบ่อยๆ ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้เจอเช่นกัน ส่วนอำพันนั้นก็วุ่นวายกับการดูแลคนไข้และปรุงยาสมุนไพรหลายสิบหม้อต่อวัน จนแทบกัณหาแทบหาเวลาคุยกับหล่อนได้ยากเต็มที ส่วนคนอื่นๆที่เจอกันในโรงอาหาร อย่าว่าแต่คุยเลย แค่หายใจเสียงดังกว่าทุกคนกัณหาก็รู้สึกกลายเป็นตัวประหลาดเสียแล้ว กัณหานึกถึงค่อมหรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ คนที่ปลอมตัวเป็นค่อม กัณหาไม่รู้แน่ว่าเขาเป็นใคร รู้แค่ว่าตอนนี้เขาถูกกักตัวไว้ที่ไหนสักแห่งในเขาริมอ่าว ตอนที่กัณหาเริ่มทำงานในเรือนพยาบาลนั้น กัณหาเคยรู้สึกหดหู่ใจแบบนี้ เพราะเธอทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ไม่ว่าซักผ้า ล้างพืชผัก ทำความสะอาดเรือน ก็ยังโชคดีที่มีเขาช่วยสอนเธอทีละเล็กละน้อยอย่างละเอียดจนในที่สุดเธอก็ทำเป็น ผิดกับตอนนี้ เธอได้เรียนกับท่านอาจารย์ที่ทุกคนนับถือและร่ำลือมากว่าเก่งและมีความสามารถในการสอนอาคม แต่กัณหากลับรู้สึกเหมือนว่าไม่ได้เรียนอะไร เธอไม่เข้าใจสักนิดว่าต้องทำอย่างไรถึงจะขยับเขยื้อนกล่องไม้ได้ สุดท้ายเธอก็ได้แต่นั่งเพ่งมองและคาดหวังไปวันๆว่ามันจะลอยจากพื้นได้บ้าง

            “ต้องทำให้ได้ ต้องทำให้ได้ เราจะได้ออกไปตามหาน้ำอมฤตเสียสักที” กัณหาพร่ำบ่นทุกวัน

 

 

 

             ป๋อม 

            เสียงก้อนหินก้อนเล็กตกกระทบพื้นน้ำก่อนจะจมหายไป น้ำในสระกลางป่าไผ่ไหวกระเพื่อมออกเป็นวงก่อนหายลับไป สระน้ำแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยต้นไผ่ขึ้นเบียดเสียดกัน จนมองไม่เห็นพื้นที่ในส่วนอื่นๆของป่า ที่นี่จึงถูกจัดไว้สำหรับเป็นที่อาบน้ำเฉพาะสำหรับผู้หญิงเท่านั้น เพราะมันดูเป็นที่รโหฐานมากกว่าสระน้ำบริเวณชายป่าที่กัณหาไปนั่งทุกบ่าย กัณหานั่งอยู่ที่ก้อนหินริมสระ แกว่งเท้าในน้ำอย่างใจลอย มือก็ยังคงหยิบก้อนหินโยนลงไปในสระ 

            ป๋อม

            “ถ้าเจ้าไม่อาบน้ำละก็ กลับเรือนเสียเถิด” เสียงดังขึ้นมาจากริมสระด้านหนึ่ง กัณหาหันไปเห็นอำพันยืนอยู่ที่นั่น หล่อนถือตะกร้าที่ภายในใส่ข้าวของมาสำหรับอาบน้ำ เธอนึกแปลกใจ เพราะปกติผู้พักอาศัยที่นี่มักจะมาอาบน้ำในช่วงหัวค่ำกัน และตอนนี้ดึกมากแล้ว จนกัณหาคิดว่าไม่น่าจะเจอใคร

            “ขอโทษทีจ้ะ” กัณหาว่า  วางก้อนหินในมือที่กำลังจะโยนลงข้างตัว อำพันมองสำรวจตัวเธอที่ยังอยู่ในสภาพมอมแมมก็พอบอกได้ว่ายังไม่ได้อาบน้ำ

            “ท่าทางเจ้าอาการไม่ค่อยดีนะ” อำพันว่า นั่งลงที่ขอบสระด้านหนึ่ง “หน้าตาดูหมองๆยิ่งกว่าตอนทำงานในเรือนพยาบาลเสียอีก”

            “จ้ะ” กัณหารับคำ รู้สึกเบื่อหน่ายมากจนไม่อยากจะพูดกับใคร

            “เรียนเป็นอย่างไรบ้าง” อำพันถาม

            “ก็ไม่ถึงไหนหรอกจ้ะ” เด็กน้อยตอบอย่างหม่นหมอง เธอนั่งก้มหน้าความรู้สึกผิดหวังท่วมใจ หลังจากนั่งฝึกมาหลายวันหลายคืนแล้วก็ยังไม่เห็นผลใดๆ

            “ข้าบอกเจ้าแล้วว่า การเรียนอาคมเหนื่อยยิ่งกว่าทุกสิ่งที่เจ้าเคยทำมา” อำพันว่า เอามือแกว่งน้ำในสระให้กระเพื่อมบ้าง “แต่เจ้าก็อยากมาเรียนเองไม่ใช่เรอะ”

            “ฉัน…” กัณหานิ่งไปไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร นึกอยากจะบอกอำพันจับใจว่า เธอไม่อยากเรียนมานานแล้ว แต่ที่ต้องไปเรียนเพราะเกรงใจที่อำพันอุตส่าห์ไปออกปากขอท่านอาจารย์ให้

            “ไม่อยากเรียนแล้ว” อำพันต่อคำพูดนั้นให้ “อยากออกไปตามหาน้ำอมฤตนั่นแล้วมากกว่า”

            กัณหาหันไปมองเธอ          

            “ฉันพยายามเต็มที่แล้ว แต่ฉันก็ยังทำไม่ได้สักที ฉันว่าบางทีฉันอาจจะมีความสามารถไม่พอที่จะฝึกอาคมได้ ฉันไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว ฉันอยากเริ่มเดินทาง ทำสิ่งที่ฉันควรจะได้ทำเสียที”

            “อืมม ตอนเจ้ามาขอข้าทีแรกไม่เห็นเจ้าพูดเช่นนี้เลย” อำพันหัวเราะหึหึในคอ “ฟังเช่นนี้ข้าก็พอรู้แล้วว่าเหตุใดการฝึกของเจ้าจึงไม่ก้าวหน้าอย่างที่ควรจะเป็น”

            “เพราะอะไรละ” กัณหาย้อนถาม สิ่งที่เธออยากรู้จับใจเสียเหลือเกิน ว่าทำไมมันถึงไม่คืบหน้าเสียที 

            “เจ้ารู้ไหม ว่าหอยมุกสร้างไข่มุกได้อย่างไร” อำพันถามไพล่ไปอีกเรื่อง

            กัณหาชะงัก นึกหงุดหงิดใจนิดหน่อยว่าการเรียนของเธอมันเกี่ยวข้องกับหอยมุกอย่างไร

            “ฉันไม่รู้เลย ฉันยังไม่เคยเห็นตัวหอยมุกด้วยซ้ำ เห็นแต่ไข่มุกที่ท่านนำขึ้นมา”

            “ไข่มุก เกิดจากมีเม็ดทรายหรือสิ่งแปลกปลอมอะไรบางอย่างหลุดเข้าไปในตัวหอยมุก สิ่งเหล่านั้นสร้างความระคายเคืองอย่างมากให้กับหอยมุก พวกมันจึงสร้างสารบางอย่างออกมาเคลือบสิ่งแปลกปลอมนั้น พวกมันเคลือบเจ้าสิ่งแปลกปลอมนั้นทุกวัน วันละเล็กละน้อย สุดท้ายเมื่อผ่านไปนานปี เม็ดทรายหยาบๆเม็ดเล็กๆก็กลายเป็นไข่มุกที่งดงาม”

            กัณหามองอำพันอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เธอยังคงตั้งใจฟังต่อไปว่าเรื่องราวนี้จะไปสิ้นสุดที่ใด

            “จะว่าไปการศึกษาก็ไม่ต่างอะไรกับการสร้างไข่มุกของหอยมุกนั่นแหละ” อำพันหันมายิ้มให้กัณหาอย่างอ่อนโยน “เจ้าต้องมีเม็ดทรายเป็นแกนกลางก่อน และอาศัยความเพียรพยายามนานนับปี เจ้าจึงจะสามารถเปลี่ยนเม็ดทรายที่ไร้ค่าให้เป็นไข่มุกที่สูงค่าได้ และเมื่อถึงวันนั้นจริง เจ้าจะได้เห็นว่าความงามของมันไม่แพ้กับไข่มุกที่เจ้าเคยเห็นเลย”

            อำพันหยิบก้อนหินที่กัณหาพึ่งวางลงข้างตัวมาใส่ลงในฝ่ามือของกัณหาอีกครั้ง

            “แต่ที่แย่ที่สุดก็คือ ตอนนี้เจ้ายังไม่มีแม้แต่เม็ดทรายที่จะเป็นแกนกลางให้เจ้าสร้างไข่มุกเลย เมื่อเจ้าไม่มีแกนกลางให้ยึดจับ เจ้าก็จะไม่มีวันสร้างไข่มุกได้”

 

 

 

              กัณหาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่อำพันพูดเลยสักนิด คืนนั้นเธอนอนไม่หลับเอาแต่คิดไปคิดมาถึงสิ่งที่อำพันพูด มันเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ อำพันบอกว่า สิ่งที่เธอขาดคือแกนกลางสำหรับสร้างไข่มุก เมื่อเธอไม่มีแกนกลางนั่น เธอจึงไม่สามารถสร้างไข่มุกได้

             “แล้วแกนกลางที่ว่าคืออะไร” กัณหายังคิดไม่ตก พลิกตัวมานอนหงายเอามือก่ายหน้าผาก “มันคืออะไรกัน” 

            แต่จนแล้วจนรอดเธอก็คิดไม่ออกอยู่ดี สุดท้ายเธอก็ผล็อยหลับไปเอง  อาจจะเป็นเพราะก่อนนอนเธอคิดเรื่องนี้มากไป พอตอนหลับไปเธอจึงฝันว่า เธอไปไล่ตามเก็บไข่มุก และถูกสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งไล่ตาม กัณหาพยายามนี้มันอย่างไรก็ไม่พัน สุดท้ายมันกัดเธอ จนเธอสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกพลั่ก หลังสะดุ้งตื่นกัณหาเห็นว่าใกล้เช้าแล้วเธอจึงไม่นอนต่อและลุกขึ้นเตรียมตัวออกไปที่ทะเลพร้อมกับเจ้านกน้อยเช่นทุกวัน ขณะที่เธอกำลังจะออกบ้านพักนั้น เห็นแหวนเดินมาตามทางช้าๆ

            “แหวน” กัณหาอุทาน  รีบไปหาหล่อนทันที “อำพันอนุญาตให้ออกมานอกเรือนพยาบาลแล้วรึ”

            “จุ๊ๆ เบาๆสิ” แหวนว่า หน้าตาเลิกลัก ขึ้นมาทันใด เธอชำเลืองมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง

            “อย่าบอกนะ ว่าแอบหนีออกมา” กัณหาส่ายหน้า “เธอยังไม่แข็งแรงนะ”

            “ก็ข้าเบื่อนี่นา คุณหนู” แหวนบ่น ทำหน้าบูดบึ้ง “วันๆจะให้ข้านั่ง และเดินวนไปวนมาอยู่แค่นั้นรึ แต่ก่อนข้าตะลอนๆไปทั่วทั้งพระนครเทียว”

            “ก็ตอนนั้นเธอแข็งแรง แต่ตอนนี้เธอยังไม่หายดี ประเดี๋ยวแม่อำพันมาเจอเข้า เป็นเรื่องแน่”

            “หมอผู้หญิงที่ดุร้ายป่าเถื่อนนั่นเรอะ” แหวนย่นจมูกอย่างรังเกียจ 

            “ทำไมพูดเช่นนั้น ไม่ดีเลย ถ้าไม่มีแม่อำพันเป็นธุระในการดูแลเจ้า เจ้าตายไปนานแล้ว” เจ้านกน้อยส่ายหน้า

            “นกพูดได้!!!” แหวนอุทาน เบิ่งโตเท่าไข่ห่าน “นกของท่านพูดได้หรือนี่”

            “ใช่” กัณหายิ้ม เป็นยิ้มแรกของเธอในรอบหลายวันมานี้ “เจ้านกน้อยเป็นนกการเวกวิเศษจากป่าหิมพานต์”

            “ทำไมตั้งชื่อมันว่านกน้อยละ ตัวก็ไม่ใช่น้อยเลยนะ” แหวนเอียงคอไปมามองดูนกที่ตัวพอๆกับแม่ไก่ตัวเล็กๆ ดูขนาดตัวแล้ว มันห่างไกลจากคำว่า น้อย มากนัก

            “เพราะข้าใช้ชื่อเดิมของข้าไม่ได้นะสิ” เจ้านกบอก พยายามขยับตัวให้ห่างจากแหวนมากที่สุด “เลิกจ้องข้าราวกับเป็นตัวประหลาดเสียที ข้าเป็นนกที่มีพรสวรรค์พูดได้หลายภาษา ภาษามนุษย์เป็นหนึ่งในนั้น” 

            “ข้าว่าเจ้าพูดภาษามนุษย์เก่งนะ แต่ชื่อเจ้าดูไม่ผ่าน ไม่ไพเราะเลย” 

            “ไม่ใช่ชื่อข้า” เจ้านกเถียง “นางเรียกข้าว่านกน้อย เพียงเพราะว่า ข้าใช้ชื่อเดิมของตนเองไม่ได้เท่านั้นเอง”

            “ทำไมใช้ชื่อตัวเองไม่ได้ละ” แหวนยังซักต่อไม่หยุด แถมยังแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้เจ้านก จนเจ้านกน้อยต้องโผบินออกห่าง

            “ไม่ใช่กิจของเจ้า” เจ้านกตอบอย่างไม่พอใจนัก แหวนหัวเราะ

            “ถ้าใช้ชื่อเดิมไม่ได้ งั้นข้าตั้งให้ใหม่แล้วกัน ชื่ออะไรดีละ ถึงจะเหมาะสมกับนกตัวใหญ่ปากมากอย่างเจ้า ชื่อ ใหญ่ ไม่สิไม่ดี ชื่อหลวง อืมม ดูเชยสักหน่อย ชื่อ จี้ด ดีกว่า น่ารักดี” 

            “ไม่” นกว่า บินอยู่ข้างๆไหล่ของกัณหาอย่างไม่พอใจ กัณหาได้แต่หัวเราะ เมื่อแหวนร้องเป็นเพลงขึ้นมาว่า “จี้ด จี้ด ตัวจิ๊ดริดเช่นเจ้าต้องชื่อจี้ด” 

            “ไม่ม่ม่ม่ม่ม่ม่ม่”

            “จี้ดดดดดดดด”

            “พอแล้ว” กัณหารีบห้าม เมื่อแหวนเริ่มหน้าซีดลงเล็กน้อย หลังจากเถียงกับเจ้านกน้อย “ประเดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไปหรอก เธอกลับไปเรือนพยาบาลซะเถอะ”

            “พุธโธ่ คุณหนู เมตตาข้าเถิด อยู่แต่ในเรือนนั้นข้าอึดอัดใจยิ่งนัก ขอมาได้เห็นเดือนเห็นตะวัน เห็นทะเลที่ข้าชอบบ้างเถิด”  อีกฝ่ายทำหน้าเศร้าหมองและอ้อนวอน

            สุดท้ายกัณหาก็ใจอ่อน ยอมตามคำขอของคนป่วยที่กระหายจะได้เห็นทะเลยิ่งนัก เธอจึงจูงแขนพาแหวนเดินไปจนถึงทะเลและค่อยๆให้อีกฝ่ายนั่งลง ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังขึ้นจากสุดขอบฟ้าตัดกับทะเล แสงของมันตกกระทบผืนน้ำดูงดงามยิ่งนัก แหวนเหยียดขาออกบนผืนทรายตรงหน้าและเริ่มเอาเท้าเขี่ยทรายอย่างสนุกสนาน

            “นุ่มมาก”

            “หาดทรายที่นี่งดงามมากจริง ตอนเช้าก็มีพระอาทิตย์ขึ้นให้เห็นไกลๆ” กัณหาขยับตัวทรุดนั่งลงบนพื้นทราย เจ้านกน้อยก็ร่อนลงไม่ห่างจากสองคนมากนัก

            “เธอรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”

            “ดีขึ้นนะ พอได้เดินยืดเส้นยืดสายก็เริ่มดีขึ้น ตอนนี้รู้สึกดีใกล้เคียงเดิมแล้ว” แหวนบอก เหยียดแขนออกไปข้างหน้า แล้วล้มตัวลงนอนกับพื้นทราย “ข้าอยากนอนอยู่ที่นี่นานๆเสียจริง อากาศดีเช่นนี้ไม่ควรจะอุดอู้อยู่แต่ในห้องเลย”

            “จริง” กัณหาล้มตัวลงนอนตามแหวน แล้วก็ถอนหายใจ “คงจะดีถ้าได้นอนดูพระอาทิตย์ขึ้นเฉยๆ” 

            “ทำไม ท่านมีเรื่องไม่สบายใจรึ” แหวนหันมามองเธออย่างสงสัย “จริงสิ ข้าได้ยินคนที่เรือนพยาบาลบอกว่า ท่านได้เจอท่านอาจารย์ของตาหมื่นช่วงแล้ว ท่านว่าอย่างไรบ้างเรื่องน้ำอมฤตละ”

            กัณหาเล่าเรื่องที่ท่านอาจารย์บอกว่าน้ำอมฤตนั้นมีอยู่จริง แต่อยู่ในดินแดนที่เข้าไปถึงได้ยาก ต้องเดินทางให้ครบพันโยชน์ก่อนจึงจะเข้าไปได้ให้แหวนฟัง แล้วก็เล่าเรื่องที่เธอได้รับการชักชวนให้เรียนอาคมก่อนออกเดินทาง เพราะอาจจะมีประโยชน์ในการเดินทางและมันคือสิ่งที่เธอกำลังฝึกอยู่

            “ก็ดีนะสิ” แหวนว่า “ข้าเห็นด้วยนะ เรียนไปก็อาจจะได้ประโยชน์ ยิ่งถ้าท่านต้องเดินทางไกลขนาดนั้นด้วยแล้ว”

            “ฉันกลัวว่าจะเสียเวลาเปล่า”

            “ทำไมละ” อีกฝ่ายถึงกับลุกขึ้นนั่งมามองเธออย่างประหลาดใจ “ท่านไม่อยากเรียนเพราะอะไร”

            “ก็ฉันฝึกมาตั้งหลายวันแล้วก็ยังไม่เห็นผลอะไรนะสิ” กัณหาว่า ลุกขึ้นมาบ้าง เธอหยิบเอากล่องไม้ทรงลูกบาศก์ออกมาทั้งสามลูก “ท่านอาจารย์บอกว่าถ้าเพ่งจิตไปถึงสิ่งที่ต้องการให้มันเป็น มันจะสามารถลอยได้ หรือหมุนได้ตามที่ฉันต้องการโดยไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด ฉันอยากรีบๆฝึกให้เสร็จจะได้ออกเดินทางสักที แต่ไม่ว่าทำอย่างไร ฉันทั้งเพ่ง ทั้งจ้องอยู่เป็นนานก็ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นเสียสักที จนฉันไม่แน่ใจว่าถ้ามัวฝึกต่อไปจะเกิดผลรึเปล่า และถ้ามัวแต่ฝึกจะทำให้การเดินทางล่าช้าออกไปจากเดิมรึเปล่า 

            “แล้วท่านวางแผนการออกเดินทางแล้วรึ” แหวนถาม “ท่านวางแผนแล้วรึว่าจะเดินทางยังไง”

            “มีคนที่นี่แนะนำว่า ฉันควรไปหาเรือเหาะมาเป็นพาหนะ เรือเหาะนี่สามารถไปหาได้ที่เกาะสุลาวารี ฉันเลยตั้งใจว่าถ้าทุกคนฟื้นแล้ว จะชวนทุกคนออกเดินทางไปเกาะสุลาวารีด้วยกัน แหวนจะไปกับฉันไหม”

            “ไปแน่ ข้าไป ข้าจะไปเดินทางพันโยชน์กับท่าน เอาแม่ไปด้วย” แหวนยิ้มให้ทันที เจ้านกน้อยชะงัก “แต่เจ้าหมื่นนั่นจะไปกับเรารึ คงไม่ไปหรอกกระมั้ง”

            “รอเขาแข็งแรงก่อน ฉันค่อยถามอีกที” กัณหาบอก “ตอนนี้เขาอ่อนเพลียมากและหลับตลอด”

            “อย่าเอาไปด้วยเลย ข้ารำคาญหูรำคาญตามัน พูดจากระไรไม่เข้าหูข้าสักอย่างเดียว”

            “ข้าไม่เห็นด้วยหรอกนะ” เจ้านกพูดทันที “ควรจะรอหมื่นช่วงหาย และชวนเขาไปด้วย เพราะข้าได้ยินว่าเขาชำนาญเรื่องการใช้อาวุธ และแข็งแรงพอจะปกป้องพวกเจ้าได้เวลามีปัญหา ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้”

            “จริงรึ” แหวนย้อน “ลืมไปรึเปล่าว่าคนที่ไปช่วยเจ้าออกมาจากน้ำมือไอ้แก่ทองใบคือข้านะ”

            “รู้แล้วละน้า มีคนเล่าให้ฟังแล้ว” เจ้านกรีบหันไปอีกทาง แหวนแลบสิ้นใส่มัน

            “ฉันว่ายังไงก็ต้องรอให้เขาฟื้นก่อน ค่อยเจรจาความกับเขาอีกที แล้วเราก็จะเริ่มออกเดินทางเลย” กัณหาพูดต่อทันที ดูท่าเธอเริ่มจะมีความหวังในการรอคอยอีกครั้ง

            “ดูท่าทาง ท่านจะใจจดใจจ่ออยู่กับเรื่องการไปเกาะสุลาวารีมากกว่าเรื่องการฝึกอาคมอีกนะ” แหวนเลิกคิ้ว “นี่รึเปล่าอาจเป็นเหตุผลที่ท่านฝึกไม่สำเร็จ”

            กัณหาหันมามองแหวน “หมายความว่าไง”

            “ไม่รู้สิ ข้าว่า จากที่ฟังจากท่าน ใจท่านจดจ่ออยู่ที่การไปเกาะนั่น จนไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า” แหวนล้มตัวลงนอนอีกครั้ง “ไม่รู้สินะ จริงๆมันเป็นเรื่องดีที่จะวางแผนไปในอนาคต เพราะมันช่วยให้เรารู้ว่าจะเดินไปอย่างไร แต่บางคนก็สนใจอนาคตมากเกินไป จนลืมมองสิ่งที่กระทำอยู่ตรงหน้า ซึ่งจริงๆแล้วผลของสิ่งที่กระทำในปัจจุบันต่างหากที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคต บางทีอาจจะมากกว่าแผนที่ท่านวางไว้ให้เกิดในอนาคตเสียด้วยซ้ำ”

            กัณหานิ่งไป ได้แต่มองอีกฝ่าย

            “ข้าไม่รู้อาคม ข้าไม่รู้ว่าการเรียนอาคมเขาเริ่มต้นกันอย่างไร แต่ข้าชอบเรียนรู้อะไรหลายอย่าง เพราะข้าเชื่อว่าถ้ามีอะไรๆให้เรียนก็เรียนไปหมดนั่นแหละ สักวันมันอาจจะมีประโยชน์ขึ้นมาก็ได้  ทุกครั้งที่ข้าเรียน เพราะข้าอยากเรียน ข้าจึงสนใจแต่สิ่งที่ข้าจะเรียน ซึ่งข้าว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้ทุกสิ่งในโลกนี้ หากท่านมีใจจะเรียนมัน  ท่านจะหาวิธีการเพื่อจะเรียนรู้มันได้เอง”

            “สาเหตุที่ฉันยังฝึกไม่ได้เสียสักที เพราะฉันไม่ได้อยากจะฝึกอย่างนั้นหรือ” กัณหาพูดช้าๆ ถ้อยคำของแหวนกระทบใจเธออย่างจัง

            “ไม่รู้สินะ ท่านว่าอย่างไรละ ใจท่านอยากฝึกมันจริงๆหรือเปล่า” 

 

 

 

            บ่ายวันนั้น กัณหากลับมานั่งที่สระน้ำใต้ต้นไม้ใหญ่ตามลำพังหลังจากส่งแหวนกลับถึงเรือนพยาบาลพร้อมคำตำหนิของอำพันอย่างครบถ้วน กัณหามานั่งนึกถึงสิ่งที่แหวนพูดไปทั้งหมด รวมถึงเรื่องแกนกลางไข่มุกที่เธอสงสัย หรือจริงๆที่การฝึกของเธอไม่คืบหน้า เพราะเธอ “ใจ”ของเธอมันไม่ได้อยู่ที่การฝึกเลยสักนิด เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะเรียนมัน นี่สินะ สิ่งที่เป็น “แกนกลาง” ที่อำพันพูดถึง เพราะเธอเอาแต่คิดว่ารีบฝึกจะได้รีบออกเดินทาง หรือฝึกไปเพื่อรอเพื่อนๆหาย จนไม่ได้สนใจที่จะฝึกอย่างแท้จริง

            “ใจเรา ไม่ได้อยู่ที่การฝึก มันไปอยู่ที่อื่น” กัณหาส่ายหน้า รู้สึกตัวได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

            กัณหานั่งหลับตาลงพยายามไม่คิดถึงการเดินทางไปเกาะสุลาวารี พยายามนึกถึงแต่กล่องลูกบาศก์ที่เธอต้องฝึก เธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง และพยายามคิดถึงภาพกล่องลูกบาศก์นั้นลอยขึ้นมาในหัว

            “มันต้องลอยได้สิ ฉันต้องทำได้” เธอเพ่งมองมันครั้งแล้วครั้งเล่า

            นับตั้งแต่วันนั้นมา กัณหาจดแผนการเดินทางไว้ใส่กระดาษ แล้วเอาวางที่หัวนอน เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องคิดถึงมันอีก แล้วระหว่างวันเธอยังคงออกไปฝึกที่เดิม และพยายามเลิกคิดถึงแผนการเดินทางนั้น หันมาสนใจแต่ว่ากล่องไม้ของเธอจะลอยได้บ้างหรือไม่

            วันเวลาค่อยๆเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ แต่กัณหาไม่ได้เดือดร้อนกับมันอีกต่อไป เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคนในโรงอาหารนั้นถึงดูสงบกันทั้งนั้น ตอนนี้เธอเริ่มสงบนิ่งไม่ต่างจากพวกเขาและไม่เร่งรีบที่จะฝึกให้ได้อย่างทุกครา เธอค่อยๆฝึกไปทุกวัน ทุกวัน และแล้ววันหนึ่งปาฏิหาริย์ที่เธอรอคอยก็เกิดขึ้น…..