26 ตอน ทะเลราตรีและคัมภีร์อาถรรพ์(2)
โดย นกเป็ดน้ำ
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ไม่มีเสียงผู้คนรอบตัวอีกต่อไป มีเพียงเสียงคลื่นลมและเสียงเรือแล่นผ่านทะเล ค่อมค่อยคลายมือที่รัดคอกัณหาออก และผลักเธอลงไปนั่งที่ท้องเรือ กัณหาเอามือกุมคอ เธอสำลักต่อเนื่อง ยังไออยู่ตลอด และหน้ามืดจนมองไม่เห็นสิ่งรอบตัว
“นั่งอยู่ที่ท้ายเรือนั่นแหละ ห้ามขยับมา” ค่อมบอกอาติ
กัณหาค่อยๆ อาการดีขึ้น เธอเริ่มลืมตามามองรอบตัว การมองเห็นค่อยๆกลับมาชัดเจนอีกครั้ง เธอกำลังนั่งอยู่ในเรือหางยาว บริเวณท้องเรือด้านหน้า โดยมีค่อมนั่งอยู่ที่หัวเรือตรงหน้าเธอ กัณหารู้สึกว่าหน้าตาเขาเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเรียวยาวขึ้น มีหนวดมากขึ้น และตัวดูสูงขึ้นกว่าทุกที ท่าทีของเขาก็ดูอ่อนเพลีย ไกลออกไปแสงอาทิตย์เริ่มจางลง ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนเป็นสีส้มสวยงาม
“ข้าต้องการถึงฝั่งก่อนจะมืด” ค่อมตะโกนใส่อาติ “อย่าโอ้เอ้”
“ก็ท่านให้กระผมขับเรือได้เร็วแค่นี้” อีกฝ่ายประท้วง “วังมุกอยู่ไกลจากฝั่งมากนะขอรับ ตอนขามาท่านก็รู้”
“โว้ย” ค่อมดูหงุดหงิดมากขึ้น กัณหารู้ดีว่าเขาอยากถึงฝั่งเร็วๆ เพราะกลัวพวกวังมุกจะตามมาทัน แต่เขาก็ไม่กล้าให้เร่งความเร็วเรือมากนัก เพราะประสบการณ์อันน่าเข็ดหลาบตอนอยู่ในเรือพยาบาลที่หมุนติ้ว
เราต้องถ่วงเวลา เบี่ยงเบนความสนใจ ความคิดโง่ๆสิ่งเดียวที่นึกได้ในตอนนี้
“ท่านรีบมากขนาดนี้ ได้สิ่งที่อยากได้จากใต้ทะเลแล้วหรือ” กัณหาถามเหมือนชวนคุย ในขณะที่มือก็ยังกุมคอที่ดูโล่งขึ้นบ้างไว้อยู่
“จะได้ยังไงละ” ค่อมสวน เขาดูหงุดหงิดง่ายกว่าปกติที่กัณหาเคยเห็น “ยังหาไม่เจอ ถ้าไม่ใช่ไอ้ทับนั่นมาขวางไว้”
“อ้าว แล้วไม่กลับไปหาแล้วหรือ ไหนๆก็อุตส่าห์มาแล้ว” เด็กน้อยแสร้งยกสีหน้าสงสัยมาไว้บนใบหน้า
“จะกลับไปหายังไง ไม่เห็นเรอะ ว่าพวกเขาไล่ล่าข้าอยู่ เจ้าเซ่อ” ค่อมด่าไม่เว้นวรรค “อย่ามาแสร้งโง่หน่อยเลย”
“ไหนๆ ท่านก็จับฉันมาเป็นตัวประกันแล้ว ฉันขอถามได้ไหมว่าท่านมาหาอะไรรึ ทำไมถึงต้องลอบมาหา”
“หึ หึ” ชายคนนั้นหัวเราะในคอ “หาอะไรงั้นหรือ ข้าจะบอกให้เอาบุญ ใต้ท้องทะเลนี้มีคัมภีร์มหาเวทที่ไอ้แก่ที่พวกเจ้าเรียกอาจารย์นะ เอามาเก็บซ่อนเอาไว้ที่นี่”
“คัมภีร์มหาเวท” กัณหาทวนคำอย่างงุนงง อาติเองก็พลอยหันมามองด้วย “คืออะไร”
“เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมสุดยอดเคล็ดวิชาที่เล่าลือกันว่าใครที่ได้ศึกษาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่มีอาคมเหนือใครๆ”
“ท่านเลยจะมาขโมยมันไปศึกษาเหรอ” กัณหาถามต่อ “แล้วทำไมไม่ไปขอท่านอาจารย์ดีๆละ มางมหาเองทำไม”
“ลูกพี่ข้าเคยไปขอแล้ว ไม่ได้ผล” ค่อมตอบ มองไปรอบตัวอย่างหงุดหงิด “ข้าและลูกศิษย์ชั้นเอกของอาจารย์อีกหลายคน เฝ้าปรนนิบัติรับใช้และติดตามท่านอาจารย์มานานปี พวกข้าน่าจะเป็นกลุ่มแรกๆที่มาช่วยอาจารย์ถางป่า และสร้างหมู่บ้านเขาริมอ่าวขึ้นมา พวกเราต่างเฝ้าใฝ่ฝันที่จะมีโอกาสได้ฝึกสุดยอดวิชานี้บ้าง เมื่อเราศึกษาอาคมจากอาจารย์จนหมดสิ้นความรู้ของอาจารย์ พวกเราจึงขอโอกาสที่จะได้อ่านคัมภีร์เล่มนี้ แต่ก็ถูกปฏิเสธ บอกว่าเรายังอ่อนด้อยไป ยังไม่คู่ควรแก่การศึกษาคัมภีร์นี้ พวกเราจึงออกไปเดินทางรอบโลก เฝ้าเก็บประสบการณ์ เพื่อจะกลับมาขอศึกษาคัมภีร์เล่มนี้อีก แต่ไม่ว่าทำเท่าไหร่ ไอ้แก่นั่นก็ปฏิเสธ ข้าว่าที่จริงแล้วเขาคงอยากเก็บไว้ศึกษาเองคนเดียว จะได้ไม่มีใครเทียบเขาได้ แบบที่คนโบราณเขาว่า อย่าสอนศิษย์หมดทุกอย่างเดี๋ยวศิษย์จะคิดล้มล้างอาจารย์ ถุย!!!”
“คัมภีร์มหาเวท” เด็กน้อยทวน เอียงคอไปมา “ในนั้นมีเวทมนตร์ อาคมขั้นสุดยอดใช่ไหม เช่นอะไรบ้างล่ะ ”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง ก็ยังไม่ได้อ่าน” ค่อมย่นคิ้ว “แต่ที่ได้ยินเขาลือกันว่า มีอาคมที่สามารถเสกพายุฝน ทำร้ายล้างได้ทุกสรรพสิ่ง อาคมที่ทำให้สามารถต่อสู้กับคนนับหมื่นได้ด้วยลำพังเพียงคนเดียว อาคมที่สามารถทำให้ทะเลเรืองแสงเพียงแค่เอามือแกว่งในน้ำทะเล และ…”
ค่อมหยุดพูดกะทันหันเมื่อเจ้าเด็กน้อยตรงหน้าล้มตัวลงไปบนท้องเรือและตั้งต้นหัวเราะเสียงดังอย่างสนุกสนาน ในขณะที่แสงอาทิตย์ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไป ท้องฟ้าเริ่มค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้นทุกที
“เจ้าขำอันใด” ค่อมขมวดคิ้วมองเธออย่างไม่พอใจ “มีอันใดน่าขัน”
“ขอโทษทีเถิด” กัณหาพยายามเอามือปิดปากเพื่อกลั้นหัวเราะ ที่ท้ายเรืออาติแอบชะลอความเร็วขอเรือลงไม่ให้ทั้งคู่ได้ทันสังเกต “คือฉันนึกไม่ออกว่าจะอยากทำให้ทะเลเรืองแสงไปทำไม”
“มันเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาในนั้นเฉยๆ ข้าไม่ได้จะฝึกวิชานั้น” อีกฝ่ายเอามือเท้าสะเอว ดูไม่พอใจที่อีกฝ่ายดูถูกคัมภีร์ในปรารถนาของเขา
“อ้าว ท่านมาขโมยเคล็ดวิชาไป แล้วจะไม่เอาไปฝึกงั้นรึ” เด็กน้อยหยุดหัวเราะแล้วก็ลุกขึ้นนั่งมองอีกฝ่าย “แล้วขโมยไปทำไม เอาไปไว้บูชาบนหิ้งหรือ”
“ข้าก็จะขโมยไปฝึกนั่นแหละ ในคัมภีร์นั้นมีหลายเคล็ดวิชามาก ข้าแค่ยกตัวอย่างให้เจ้าฟังว่ามีอะไรบ้าง เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา ส่วนข้าก็จะฝึกเคล็ดวิชาชั้นยอดในคัมภีร์นั้น ว่าแต่เจ้าเถิด ข้าเห็นเจ้ามาช่วยงานอำพันมาก็นานที อำพันก็ยังใจดำ ไม่ดูดำดูดีเจ้า เขาใช้งานเจ้าอย่างทาส เจ้าจะทนอยู่ทำไม” ค่อมเลิกคิ้วแล้วมองเธอ “ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนมีไหวพริบดี ไม่หวาดกลัวสิ่งใด ดูท่าทางน่าจะมีอาคมอยู่พอตัว ถ้าได้รับฝึกสอน เจ้าจะเป็นมีอาคมสูงส่งไม่แพ้ใคร”
“ฉันไม่ได้อยากฝึกอาคมสักเท่าใดหรอก ฉันแค่มาทำงานรอเพื่อนๆหายก็เท่านั้น”
“เจ้าไม่อยากฝึก หรือไม่มีโอกาสได้ฝึกกันแน่” อีกฝ่ายยิ้มเยาะๆ “ถ้าเจ้าช่วยข้า ข้าจะสอนอาคมให้เจ้าดีไหม คนอย่างเจ้า ข้าเชื่อว่าฝึกได้ไม่ยากนัก ถ้าเจ้าช่วยให้ข้าได้คัมภีร์มหาเวทมา ข้าจะแบ่งเคล็ดวิชาชั้นยอดให้เจ้าฝึก”
“ไหน เคล็ดวิชาชั้นยอดที่ท่านว่าคือกระไร” เด็กน้อยหรี่ตามองเขาอย่างตั้งใจ “ฉันขอฟังหน่อยเถิด”
“เคล็ดกระไร ประเดี๋ยวได้คัมภีร์มาเจ้าก็รู้เองละน้า” อีกฝ่ายจ้องหน้าเธอเขม็ง “ข้าไม่ชอบวุ่นวายกับเด็กนัก อย่าพูดมากความ ไม่งั้นเจ้าจะเจอดี” อาติอาศัยจังหวะที่เขาไม่เป็นที่สนใจลดความเร็วเรือลงอีก ขณะนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วงสวยงาม อาติแอบลอบชำเลืองมองไปเองหลัง
หวังว่าพวกวังมุกจะตามมาทันก่อนจะมืด
“แปลว่าท่านเองก็ไม่รู้แน่ๆว่าในคัมภีร์นั้นมีเคล็ดวิชาใดบ้างแล้วท่านจะมาขโมยไปทำไม เสียเวลาและยังต้องเหนื่อยอีก”
“ก็ถ้าใครที่ได้ฝึกเคล็ดวิชาในคัมภีร์นั้นจะเป็นหนึ่งในใต้หล้าอย่างไรละ ใครๆก็รู้กัน” เขายืดตัวขึ้นอย่างภูมิใจ ราวกับได้ฝึกวิชานั้นมาแล้ว และหันมาจ้องหน้ากัณหา “เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าจะไปรู้กระไร”
“เป็นหนึ่งในใต้หล้าเพื่อกระไรรึ” อีกฝ่ายยังตอแยไม่หยุด
“เพื่อจะได้มีอำนาจมากๆอย่างไรเล่า เจ้าโง่” ค่อมดูหงุดหงิดขึ้นทุกที ในขณะที่รอบตัวเริ่มมืดลง
“มีอำนาจมากๆไปเพื่ออะไร” เด็กน้อยยังคงสงสัยไม่หยุด
“โว้ย ถามมากความ” ค่อมตะโกน “มีอำนาจมากๆ เจ้าก็จะได้ในทุกสิ่งที่เจ้าต้องการอย่างไรเล่า มีชื่อเสียง มีคนนับหน้าถือตา มาเคารพข้า”
“แล้วถ้าทุกคนมาเคารพท่านแล้ว ท่านจะได้ประโยชน์อะไร”
“ก็จะได้ของกำนัลมากมาย…”
“แล้วท่านจะเอาของกำนัลนั้นไปทำกระไรรึ” เจ้าตัวดียังซักไม่หยุด “รู้ได้ยังไร ว่าของที่เขาเอามาท่านจะถูกใจ”
“โว้ย หยุดพูดสักที” ค่อมพูดทันที ชี้หน้ามาที่อีกฝ่าย “ถ้าเจ้าไม่หยุดพูดข้าจะสาปเจ้า”
“ฉันก็แค่สงสัยเท่านั้นเอง” เด็กน้อยเบะปาก “ฉันหิวน้ำเสียจริง”
“ก็เจ้าพูดมาก สมน้ำหน้า” ค่อมยิ้มเยาะ
“ถ้าตอนนี้ฉันได้ฝึกคัมภีร์มานะ ฉันจะเสกให้น้ำทะเลกลายเป็นน้ำจืด ฉันจะได้ดื่ม” กัณหาว่าหัวเราะแจ่มใส เอามือยื่นออกจากเรือแตะโดนผิวน้ำทะเล ค่อมเหยียดริมฝีปาก “หรือจะสาปให้ทะเลกลายเป็นทะเลเรืองแสงดีน้า”
ทันใดนั้นท้องทะเลที่เริ่มมืดก็เริ่มเปล่งแสงสีน้ำเงินตัดกับท้องฟ้าที่มืดสนิทอย่างชัดเจน น้ำส่วนที่ถูกเรือกระแทกกลายเป็นสีฟ้าเขียวก่อนแตกออกเป็นละอองสีฟ้าน้ำเงินและตกลงบนผิวทะเลสีน้ำเงินสวยงาม
ค่อมมองทะเลอย่างตกตะลึง แล้วหันมามองกัณหา
“นี่เจ้า เจ้าทำมันได้ไง” เขาร้องออกมาอย่างตกใจ ผงะถอยหลัง
“โห” กัณหาเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เธอไม่เคยเห็นทะเลเรืองแสงสีน้ำเงินสวยงามเช่นนี้มาก่อน ดูราวกับว่าน้ำทะเลกำลังส่งยิ้มทักทายเธอในค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ เธอมัวแต่มองไปที่ทะเลโดยไม่ได้สนใจค่อมเลย
“นี่ก็อาคมที่ทำให้ทะเลเรืองแสงไง” อาติตะโกนมาจากท้ายเรือ “ท่านไม่ชอบเหรอ”
“จะ เจ้า…ทำมันได้ไง” เขามองกัณหาสลับกับอาติ “หรือว่าเจ้า เจ้าได้อ่านคัมภีร์นั่นแล้ว”
“ไม่หรอก” อาติตอบน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าไม่เคยอ่าน”
“ฉันก็ไม่เคยอ่าน” กัณหามองในทะเลอย่างแปลกใจ “นี่ฝีมือใครกัน”
“อย่าปดข้า” ค่อมตะโกน ดูหวาดกลัวขึ้นมาทันทีทันใด มองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นมีเรือใครสักคน ก็แปลว่าคนที่เสกมันต้องอยู่บนเรือนี่ โดยคนที่น่าสงสัยที่สุดเห็นจะเป็นเจ้าเด็กช่างพูดนั่น เพราะพอหล่อนเอามือแตะน้ำ น้ำทะเลก็เรืองแสงขึ้นมา เหมือนที่เขาเคยได้ยินมาว่าถ้าศึกษาคัมภีร์มหาเวทแล้วจะทำได้ อาติอาศัยจังหวะที่ค่อมตกใจจนทำอะไรไม่ถูกนั้นโยกเรือจนค่อมที่ยืนอยู่เพียงคนเดียวในเรือเสียการทรงตัว ผลัดตกลงไปในน้ำทะเล เมื่อร่างเขาจมลงในน้ำก็มีแสงสีแดงวาปขึ้นตรงตำแหน่งที่เขาจมลงไป แล้วสักพักร่างเขาก็ลอยขึ้นจากผิวน้ำ มีตาข่ายสีเหลืองทองคลุมไว้อย่างหนาแน่น
บินตัง และเหล่าชายฉกรรจ์อีกห้าคนยืนอยู่รอบร่างของค่อมที่ถูกสะกดด้วยอาคมและมีตาข่ายสีทองคลุมไว้อย่างแน่นหนาบนชายฝั่ง ไม่ไกลจากนั้นเจ้างู อำพัน ผีพราย และอีกหลายคนรุมล้อมเมญ่าอยู่ โดยมีเด็กทั้งสองนั้นถูกเมญ่ากอดรัดซะแน่นจนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกอีกครั้ง
“แม่ พอปล่อยได้แล้ว” อาติว่าพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมกอดมารดา
“ฮือ โชคดีจริงๆที่เด็กๆไม่เป็นไร” เมญ่าว่ายังคงกอดรัดทั้งคู่
“ปล่อยพวกเขาเสียเถิดเมญ่า ประเดี๋ยวจะตายเสียก่อน” เจ้างูเอาหางแตะไหล่เมญ่า
“ฮือ” เมญ่ายอมปล่อยทั้งคู่ออกจากอ้อมกอด เจ้างูรีบดึงตัวกัณหาออกมาทันที อำพันยิ้มมุมปาก
“โอ๊ย แม่เกือบตาย” อาติโวยวาย ก่อนค่อยๆขยับลุกขึ้นและนวดคอตนเองไปด้วย
“ก็แหม แม่กลัวว่าเจ้าทั้งสองจะเป็นอะไรไป” เมญ่ายิ้มเขิน
“เด็กๆไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เจ้างูปลอบ
“กระผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ”อาติเถียงอย่างหงุดหงิด
“จริงสิจ้ะ จู่ๆทะเลเรืองแสงได้ไง” กัณหาถาม เบื้องหน้าเธอคลื่นทะเลที่ซัดเข้าฝั่งยังคงเป็นสีน้ำเงินสดใสและสะท้อนแสงอยู่ในความมืด “มีใครเสกมันขึ้นมาหรือจ้ะ”
“เสกมันขึ้นมา” เมญ่าทวนคำอย่างงุนงง “ไม่หรอก ไม่มีใครสามารถเสกทะเลกว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ได้หรอก”
“อ้าว แล้วจู่ๆทะเลเรืองแสงขึ้นมาได้ไงจ้ะ” กัณหาถาม
เมญ่ากับอาติส่งยิ้มให้กันก่อนที่อาติจะพูดขึ้นว่า
“มันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินะ ช่วงนี้ของปี จะมีพวกสัตว์ทะเลบางตัวที่เรืองแสงได้โตเร็วมากขึ้น พวกมันสามารถสร้างแสงเองได้ พออยู่กันมากๆก็จะเห็นเหมือนทะเลเรืองแสงขึ้นมาเอง”
“ใช่จ้ะ มันมีทุกปี มักเป็นปีละหนึ่งถึงสองสัปดาห์เท่านั้นเอง โชคดีจริงๆที่เธอมาทันได้ดูวันที่เกิดปรากฏการณ์นี้พอดี ปกติปรากฏการณ์พวกนี้มักพบได้ใกล้ชายฝั่ง วันนี้ของปีพวกชาววังมุกก็จะกลับขึ้นฝั่งเพื่อร่วมเฉลิมฉลองปรากฏการณ์นี้บนหาดด้วย เสียแต่ปีนี้เรายุ่ง เลยยังไม่ได้เริ่มงานสักที”
“อ้าว แล้วพวกลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ เขาไม่รู้กันหรือจ้ะ” กัณหาสงสัย เธอนึกถึงค่อมที่มีท่าทีแปลกใจและตกใจมากกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เธอหันมามองเจ้างู ผีพราย และอำพันที่พากันส่ายหน้า
“พวกลูกศิษย์ของท่านอาจารย์สนใจแต่ฝึกคาถาอาคมเพื่อจะเอาชนะธรรมชาติ จนไม่สนใจศึกษาเรื่องอื่นๆรอบตัว แม้แต่เรื่องธรรมดาๆอย่างปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่นน้ำขึ้นน้ำลง คลื่นลม ทะเลเรืองแสง พวกเขาลืมไปว่า คาถาอาคมเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และธรรมชาติก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเอาชนะ” บินตังตอบคำถามนั้นแทนคนอื่นๆ “ในขณะที่ชาววังมุกศรัทธาและศึกษาสิ่งเหล่านี้ เพื่อเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์และอยู่ร่วมกับมัน”
“แหม พูดทีเดียว ด่าพวกข้ารวดเลยน้า” ผีพรายแย้ง เจ้างูก็หัวเราะตาม แม้แต่อำพันก็พลอยยิ้ม
“ข้าก็เห็นด้วยนะ ทั้งชีวิตข้าก็หมกมุ่นแต่กับการปรุงยา ไม่เคยได้มาศึกษาเรื่องนี้เลย” อำพันพยักหน้ารับและมองไปที่ทะเลที่ยังเรืองแสงสวยงาม
“อีกอย่างหนึ่งชาววังมุกเองก็ไม่ได้เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ทะเลเรืองแสงอย่างที่เจ้าพูดหรอก เราเรียกมันว่า เทศกาลทะเลราตรี เราจะออกเดินทางจากวังมุก มาที่ชายหาด บวงสรวงท้องทะเลด้วยการเต้นระบำรำฟ้อนและชื่นชมบรรยากาศกัน” บินตังบอกและตบท้ายด้วยการขยิบตาให้กัณหา “เราจะเลื่อนเป็นเริ่มจัดงานวันพรุ่งนี้แทน เจ้าจะอยู่รอดูไหมละ”
“จ้ะ” กัณหารับคำ
เสียงกลองตีผสานไปกับเสียงเครื่องดนตรีอื่นๆ ทำให้ชายหาดที่ปกติจะเงียบเหงาในยามกลางคืนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยหยอกเย้าของชาววังมุก กัณหานั่งรวมกลุ่มกับเจ้างูใบตอง และผีพรายที่ริมชายหาด เพื่อดูการแสดงเต้นระบำรำฟ้อนอย่างสนุกสนานที่ริมชายหาดนั้น
“สนุกขนาดนี้น่าเสียดายจริงๆ ที่อำพันไม่ยอมมาดูด้วย” ผีพรายปรบมือไปพร้อมๆกับคนอื่นๆ
“อำพันเป็นห่วงทับและคนไข้อื่นๆนะ บินตังให้คนพาเธอและคนไข้คนอื่นๆไปยังหมู่บ้านเขาริมอ่าวแล้ว ที่เขาริมอ่าวมีสมุนไพรมากกว่า การรักษาจะทำได้ง่ายกว่าที่วังมุก” เจ้างูว่า “น่าเห็นใจอำพันเหมือนกันยังไม่ได้พักเลย”
“แล้วค่อมล่ะจ้ะ” กัณหาถาม “บินตังเอาเขาไปไว้ไหนเสีย”
“ก็เสกอาคมสะกดให้หลับแล้วส่งไปด้วยกันนั่นแหละ” เจ้างูตอบ “บินตังบอกว่า ตอนนี้เก็บไข่มุกครบตามที่อำพันต้องการแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะขังคนร้ายไว้รอให้เสร็จภารกิจอีก ให้พากลับไปเขาริมอ่าวเลย พอถึงเขาริมอ่าวก็ให้ท่านอาจารย์จัดการให้เขาเผยตัวตนเอง ไม่ต้องงดข้าวงดน้ำเขาแล้วละ”
“คนที่ปลอมตัวเป็นค่อมบอกฉันว่า เขาเป็นศิษย์เอกของท่านอาจารย์ เป็นศิษย์กลุ่มแรกๆที่มาช่วยท่านอาจารย์สร้างเขาริมอ่าว” กัณหาบอกและเริ่มเล่าถึงเรื่องที่เธอคุยกับชายคนนั้นบนเรือให้เจ้างูใบตองกับผีพรายฟัง
“อืมม” เจ้างูทำหน้าครุ่นคิด “ศิษย์เอกของท่านอาจารย์มีอยู่ราวสามสิบคน แต่มีสักสิบสองคนที่มาช่วยสร้างเขาริมอ่าวนี่ และมีไม่กี่คนที่ยังอยู่ที่นี่จนถึงปัจจุบัน หนึ่งในนั้นก็แม่อำพันนั่นไง” เจ้างูพยักพเยิดมาทางกัณหา “ส่วนที่เหลือก็กระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ”
“แล้วท่านอาจารย์ไม่รู้หรือว่ามีใครบ้าง พยายามมาขโมยคัมภีร์มหาเวท” กัณหารีบถามต่อทันที
“รู้สิ รู้ตัวด้วย” ผีพรายทำหน้าไม่พอใจนิดๆ “ก่อนหน้าจะพยายามเข้ามาขโมย เขามาขอคัมภีร์จากท่านอาจารย์แต่ท่านไม่ให้ เขาก็เลยโกรธมากและหนีไปรวบรวมสมัครพรรคพวก จะมาทำสงครามกับท่านอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์ไม่อยากต่อสู้กับเขา จึงต้องเสกทะเลเลือดเพื่อกั้นไม่ให้เขาเข้ามาได้”
“แต่มีคนหลบเข้ามาได้” กัณหาบอก “คนที่ปลอมตัวเป็นค่อมนั่น แล้วก็ฉันด้วย”
“ทุกคาถาย่อมมีจุดอ่อนเสมอ” เจ้างูใบตองตอบอย่างสงบ “แต่หลังจากเจ้าเข้ามาได้ ท่านอาจารย์ก็พยายามปรับแก้มันอีกครั้ง”
“ทำไมท่านอาจารย์ต้องหวงคัมภีร์นั้นไว้ด้วยละ” เด็กน้อยเขี่ยทรายข้างๆตัวเล่น “ให้เขาไปก็จบ”
“ข้าเกรงว่าอาจจะไม่จบนะสิ” เจ้างูว่า เริ่มขดตัวแน่นขึ้นเหมือนกำลังหนาว “เจ้ารู้ไหมว่าคัมภีร์มหาเวทมีอีกชื่อว่ากระไร”
“คัมภีร์สร้างทะเลราตรีรึ” เด็กน้อยว่าติดตลก
เจ้างูกับผีพรายหัวเราะสักพักก็หยุด ก่อนที่เจ้างูจะเอ่ยขึ้นว่า “มีชื่อว่า คัมภีร์มรณะ”
“ชื่อไม่น่าอ่านเลย” กัณหาขมวดคิ้ว “ใครช่างคิดตั้ง”
“สาเหตุที่มันได้ชื่อนี้ เพราะมีคนเล่าลือกันว่า คนเสกคาถาจากคัมภีร์นี้ ส่วนใหญ่เสียชีวิตหลังเสกคาถา ท่านอาจารย์จึงไม่อยากให้ใครไป”
“ทำไมละ” กัณหาตกตะลึง “มันเป็นคัมภีร์ฆ่าคนหรือ”
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจ ข้าเคยได้ยินแค่ว่า มันมีคาถาบางอันสามารถทำอะไรแปลกๆได้ อย่างที่เจ้าได้ยินมา ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนร่ำลือกันว่า ถ้าได้ศึกษาคัมภีร์นี้แล้วจะทำให้เป็นใหญ่ในใต้หล้าอะไรนั่น เพราะเคยมีคนใช้คาถาบางอันแล้วเอาชนะศัตรูนับหมื่นได้ลำพังคนเดียว ก็เลยทำให้ร่ำลือกัน ตอนเด็กที่ข้ามาฝึกอาคมที่นี่พอได้ยินตัวอย่างคาถาที่เขาบอกว่ามีในคัมภีร์นี้ ข้าก็ยังนึกขันว่าทำไมถึงเป็นมหาเวทได้ คาถาแค่นี้จะทำให้เอาชนะคนอื่นได้จริงๆหรือ ทำไมต้องแย่งกันขนาดนั้น แต่พอได้ยินบินตังพูดเมื่อกี้ ข้าก็เพิ่งเข้าใจ”
“เข้าใจยังไง” กัณหากับผีพรายพูดพร้อมกัน
“ก็สิ่งที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่ใช่คัมภีร์ไง แต่เป็นธรรมชาติต่างหาก ข้าว่าจากที่ได้ยินมาทั้งหมด ข้าเชื่อว่า คัมภีร์มหาเวท คือคัมภีร์ที่รวบรวมคาถาที่เกี่ยวข้องกับการดัดแปลงธรรมชาติให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ เช่น เสกทะเลธรรมดา ให้มันเรืองแสงได้ไง หรือเสกท้องฟ้าธรรมดาสดใสให้กลายเป็นไต้ฝุ่น ซึ่งคาถาพวกนี้ปกติเราก็สามารถเสกได้แต่เล็กน้อย เช่นอาจเป็นแค่พายุเป็นย่อมๆ แต่ถ้าใช้คัมภีร์นี้เจ้าอาจได้ไต้ฝุ่นสมใจ”
“ซึ่งจะเอาไปทำไม” ผีพรายบ่น กัณหาจุ๊ปากให้เธอเงียบ
“ไม่รู้หรอก บางคนก็อาจจะใช้ประโยชน์จากมันก็ได้ พอคัมภีร์นี้สามารถเสกอะไรที่ยิ่งใหญ่ดูอลังการได้ คนก็เลยกลัว คนอื่นที่เห็นก็อาจเอาคัมภีร์นี้ไปอ้างว่าจะเอามาสาปอีกฝ่าย จะได้มีคนกลัวตนเหมือนกัน นานๆไปคนก็เลยพากันกลัวผู้ครอบครองคัมภีร์นี้ การได้ครอบครองคัมภีร์นี้ก็เสมือนมีอำนาจอย่างหนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่า คัมภีร์นี้สามารถทำให้คนเสกมันตายได้ ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกสร้างมาจากอาคมของเราเอง ซึ่งมันเป็นการกระทำที่ฝืนธรรมชาติ มันก็จะดูดพลังงานจากเราไป ยิ่งเจ้าเสกสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเองแค่ไหน ก็จะยิ่งใช้พลังงานจากตัวเองมากขึ้น สุดท้ายก็อาจทำให้เจ้าแตกดับได้ ข้าว่านั่นอาจเป็นเหตุให้คนที่เสกคาถาจากคัมภีร์นั่นส่วนใหญ่ตายจากการพยายามฝืนธรรมชาติ”
“ฉันไม่เข้าใจที่ท่านพูดเลย” กัณหาว่า เจ้าผีพรายพยักหน้าเห็นด้วย
“ช่างมันเถอะ แต่ที่แน่ๆเพราะเสียงเล่าลือความยิ่งใหญ่ของคัมภีร์นี้ก็เลยทำให้มีคนแย่งชิงกัน ในประวัติศาสตร์ของเรามีคนตายจากการแย่งชิงคัมภีร์นี้มากกว่าตายจากเสกคาถาในคัมภีร์ซะอีก”
“ฉันไม่เข้าใจนัก ท่านพูดเหมือนทำนองว่า ความยิ่งใหญ่ของคัมภีร์นี้คือสิ่งที่คนเอาไปเล่าลือกันเอง” กัณหา
เจ้างูยิ้มก่อนเอ่ยขึ้นว่า “แล้วเจ้าจะได้เห็นเอง ว่าคำปากคน พูดให้คนตายฟื้นขึ้นมายังได้เลย”
Comments (0)