รุ่งเช้าวันต่อมากัณหาเล่าเรื่องที่พบกับท่านฮิเทคาวะเมื่อคืนและเรื่องที่ท่านฮิเทคาวะเสนอให้เรียนฟันดาบในจิตกับฮิโรชิ ทั้งแหวน ช่วงและอาติต่างพากันสนใจมาก

“ได้ยินว่าเป็นวิชาของพวกซามูไรที่มีความสามารถทางอาคม” ช่วงบอกด้วยท่าทีครุ่นคิด “เป็นวิชาดาบโบราณมีมานับร้อยปี หากท่านได้ฝึกนับว่าโชคดีมาก เพราะไม่ใคร่มีใครนอกจากพวกลูกหลานซามูไรถึงจะได้ฝึก ถ้าท่านฮิเทคาวะเสนอจะให้คนสอนให้ ข้าว่าควรไปเรียน”

“ใช่ๆ ข้าเห็นด้วย ข้าเองก็อยากเรียน” อาติเอ่ยอย่างตื่นเต้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสนใจ “ข้าจะไปขอเขาช่วยสอนข้าด้วย เขาจะยอมสอนให้ไหมน้า ฟังๆ ดูน่าจะเป็นเคล็ดวิชาสำคัญของที่นี่”

“ไปลองขอก่อนก็ได้” กัณหารีบสนับสนุนทันที เพราะเธออยากได้เพื่อนมาเรียนด้วย การมีเพื่อนเรียนด้วยมันน่าสนุกกว่าการเรียนคนเดียวมากนัก

“ถ้าท่านได้ฝึกดาบนี่ก็ดีสิเจ้าค่ะ คุณหนู จะได้ไม่ต้องมาจับดาบแข็งๆ หนักๆ นั่นให้เมื่อยมือ” แหวนรีบสนับสนุนด้วยเช่นกัน

“คุณหนูคงไม่ต้องมาฝึกดาบให้ลำบากตั้งแต่ต้นหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะ…” ช่วงกำลังเริ่มเกริ่น

“ข้าไม่ได้ขโมย!!!” แหวนตะโกนใส่ช่วง “เลิกใส่ร้ายข้าได้แล้ว”

“พอเถอะ ช่วง” กัณหารีบห้ามปรามก่อนเรื่องจะบานปลายอีก ช่วงได้แค่ยักไหล่ แหวนมองเขาอย่างไม่พอใจ “และฉันขอว่าอย่าพูดเรื่องนี้อีก เรื่องมันแล้วไปแล้ว ขอให้แล้วกันไป อย่าเอามาพูดจาหาเรื่องกันอีกเลย”

แหวนเบะปากใส่ช่วง ช่วงพยักหน้ารับคำ

“เอาเถอะ เรารีบทานอาหารจะได้ไปเตรียมตัว ฝึกซ้อมกัน” อาติรีบเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน

 

บ่ายวันนั้นพวกเขาไปหาฮิโรชิที่สนามหญ้าริมสระใหญ่ตามคำสั่งของท่านอิเทคาวะ เมื่อไปถึงที่นั่นฮิโรชิรอพวกเขาอยู่แล้ว ฮิโรชิเป็นชายร่างสูงดูบึกบึน มีท่าทีเคร่งขรึมไม่ต่างจากท่านฮิเทคาวะ เมื่อกัณหาและอาติขอร้องเขาให้อาติเรียนด้วยกันเขาก็ไม่มีท่าทีปฏิเสธแต่อย่างใด

“การฝึกวิชาดาบในจิตเป็นวิชาที่อาศัยสองศาสตร์รวมเข้ากัน หนึ่งคือศาสตร์แห่งการต่อสู้ด้วยดาบ ต้องมีความรู้ว่าจุดใดฟันแล้วถึงตาย จุดใดฟันแล้วรอด จุดใดฟันแล้วจะทำให้ศัตรูอ่อนกำลังลง จะเคลื่อนไหวอย่างไรถึงจะทะลวงเข้าไปยังจุดนั้นได้ สองคือศาสตร์แห่งพลังจิต ต้องอาศัยจิตที่มั่นคงและเชื่อมั่น อาศัยกำลังของจิตค่อนข้างมาก อาจจะมากกว่าวิชาดาบทั่วไป ท่านต้องมีสมาธิที่แน่วแน่ และต้องมั่นใจและเชื่อมั่นในดาบของท่าน การฝึกนั้นจึงจะประสบผลสำเร็จ ช่วงแรกข้าจะเริ่มด้วยการสอนให้ท่านใช้จิตทำหน้าที่ดาบก่อน เมื่อท่านฝึกได้สำเร็จ เราจึงจะฝึกกระบวนท่าดาบเพื่อมาประกอบการต่อสู้”

ฮิโรชิเอาท่อนซุงสองอันมาวางไว้เบื้องหน้าพวกเขา ให้พวกเขานั่งลงและทำสมาธิจินตนาการว่าถือดาบอยู่ในมือ และให้ฟาดดาบลงเบื้องหน้าให้ท่อนซุงขาด กัณหากับอาติลองพยายามคนละหลายครั้งก็ไม่เป็นผล การฝึกวิชานี้ทำให้กัณหานึกถึงการฝึกจุดเทียนไขที่เขาริมอ่าวอีกครั้ง มันช่างให้ความรู้สึกเหมือนกันไม่มีผิด คือว่างเปล่าและดูเหมือนรอคอยอย่างไร้ความหวัง

กัณหากับอาติไปฝึกกับฮิโรชิทุกบ่าย สองวันหลังฝึก อาติสามารถทำให้ท่อนซุงมีริ้วรอยได้แม้จะไม่ขาดออกจากกันก็ตามที ฮิโรชิมองรอยบนไม้แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ขั้นแรกนี้ใครมีพลังจิตสูงกว่าก็มักจะทำได้สำเร็จก่อน” เขาอธิบายให้กัณหาฟัง “พลังจิตของท่านอาติค่อนข้างดีแล้ว แต่ความมุ่งมั่นนั้นยังไม่มากพอ ท่านต้องถ่ายทอดมันออกมาให้มากกว่านี้เพื่อให้สามารถฟันท่อนซุงให้ขาดได้”

พออาติเริ่มทำได้ กัณหาก็เริ่มเครียดมากขึ้นเล็กน้อยที่ตนเองยังให้เกิดริ้วรอยบนไม้ซุงไม่ได้เลย เธอพยายามกลับมาฝึกด้วยตนเอง แต่กลับมาฝึกต่อได้ไม่นานนักก็รู้สึกอ่อนเพลีย อาติบอกว่าเขาเองก็รู้สึกอ่อนเพลียมากเช่นกัน ตอนเย็นเมื่อกลับจากการฝึกทั้งคู่แทบไม่ค่อยพูดอะไรกับใคร พอทานอาหารเย็นเสร็จมักจะหลับเกือบทุกวันไป ช่วงกับแหวนได้แต่มองคนทั้งคู่อย่างงุนงง

เวลาผ่านไปราวสองสัปดาห์ หิมะตกลงมาแทบทุกวัน บางวันตกหนักมากจนคนใช้ต้องช่วยกันโกยหิมะออกให้เห็นทางเดินภายในบ้านของท่านฮิเทคาวะ น้ำในสระข้างบริเวณที่พวกเขาฝึกเริ่มจับแข็งเป็นแผ่นบางๆ แหวนชอบเอาก้อนหินโยนลงไปให้มันแตกออกจากกันทุกครั้งที่เห็น อากาศเริ่มเย็มลงมากกว่าเดิม เย็นจนพวกเขาไม่นึกอยากก้าวเท้าออกจากเรือนที่พักเลย แต่จำเป็นต้องออกจากที่พักมาที่สนามหญ้าข้างสระน้ำใหญ่เพื่อฝึกดาบในจิต ช่วงกับแหวนมาเฝ้าดูพวกเขาฝึกทุกวัน บางวันท่านหญิงอายาโกะมานั่งดูพวกเขาฝึกด้วย หลังจากการฝึกอันเหน็ดเหนื่อยในที่สุดกัณหาและอาติสามารถผ่าท่อนซุงให้แยกจากกันได้สำเร็จพวกเขารู้สึกดีใจมากจนแทบอยากจะลุกมาเต้นระบำ แต่ความดีใจนั้นก็หมดลงอย่างรวดเร็วเมื่อฮิโรชิให้พวกเขาเปลี่ยนวิธีการฝึก จากการผ่าท่อนไม้นิ่งๆ เป็นผ่าวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว ฮิโรชิใช้อาคมเสกให้ท่อนซุงเล็กๆ บางๆ ลอยไปมาและให้พวกเขาพยายามเล็งเพื่อฟันมันให้ขาดจากกัน ซึ่งยากยิ่งกว่าการฟันไม้ซุงที่อยู่นิ่งๆ เสียอีกหลายเท่าตัว เพราะพวกเขาต้องพยายามตั้งสมาธิในขนาดที่ท่อนซุงเหล่านั้นบินวนไปมาตลอดเวลา อีกทั้งต้องพยายามเล็งให้ฟันโดนท่อนซุงพอดี กัณหานึกสงสัยว่า อย่าว่าแต่จะให้ใช้พลังจิตฟันให้โดนเลย แค่ให้เธอลองปาก้อนหินให้โดนท่อนซุงเหล่านั้น ยังไม่รู้จะโดนหรือไม่ แหวนกับช่วงคอยส่งเสียงให้กำลังใจ ลุ้นให้พวกเขาสามารถฟันท่อนซุงที่ลอยไปมาให้ได้ สามสี่วันหลังจากนั้นในสุดกัณหาและอาติก็สามารถผลฟันท่อนซุงที่ลอยไปมาได้สำเร็จ

หลังจากพวกเขาผ่าท่อนซุงที่ลอยไปมาได้แล้ว ฮิโรชิก็เริ่มการฝึกอีกขั้น ซึ่งเป็นการฝึกต่อสู้ ฮิโรชิให้พวกเขาใช้ไม้ไผ่อันเล็กๆ เป็นเสมือนดาบ ฝึกฟันกับพวกเขา ตอนแรกฝึกด้วยไม้ไผ่ หลังจากนั้นฮิโรชิให้พวกเขาเปลี่ยนมาใช้พลังจิตฟันแทนไม้ไผ่ ในขั้นนี้กัณหาไปได้เร็วกว่าอาติมาก เพราะเธอเคยฝึกการต่อสู้ด้วยพลังลมปราณและฝึกวิชาตัวเบามาก่อน เธอจึงพอรู้ท่วงท่าในการต่อสู้ และมีความไวในการหลบหนีมากกว่าอาติ

“สิ่งสำคัญที่สุดในการต่อสู้ คือ ต้องหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้เจอ” ฮิโรชิบอกในยามที่กัณหาพยายามฟันให้โดนตัวเขา แต่เขาก็หลบได้พ้นตลอดเวลา “ไม่เช่นนั้นท่านจะไม่มีวันชนะได้โดยเด็ดขาด”

“หาจุดอ่อนยังไง” กัณหาหอบหายใจ หลังจากพยายามฟันให้โดนฮิโรชิอยู่นานก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จสักที

“ท่านต้องมองดูการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ วิธีการต่อสู้ของเขา เครื่องแต่งกายที่เขาสวมใส่เพื่อหาจุดอ่อนที่ท่านจะแทรกเข้าไปทำร้ายเขาได้”

“ฉันยังหาจุดอ่อนของท่านไม่เจอเลย” กัณหาหอบหายใจหนักยกมือขอฮิโรชิพักก่อน ฮิโรชิได้แต่ยิ้มก่อนเอ่ยขึ้นว่า

“สิ่งพวกนี้ต้องมอง ต้องสังเกต จึงจะเห็น การเดินหน้าต่อสู้เพียงอย่างเดียว ไม่ทำให้ท่านมองเห็นมัน”

ในที่สุดเวลาผ่านไปราวเดือนเศษ ตอนนี้เป็นช่วงกลางฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งวัน ภายในเมืองนางาสึกะขาวโพลนและเต็มไปด้วยหิมะ เทศกาลหิมะเริ่มต้นขึ้น ชาวเมืองเริ่มประดับตกแต่งบ้านเรือนด้วยโคมไฟสวยงามรอต้อนรับเทศกาลหิมะที่กำลังจะมาถึง ท่านหญิงอายาโกะและสาวใช้ช่วยกันจัดตกแต่งบ้านเรือนด้วยเช่นกัน ในช่วงบ่ายวันนั้นท่านหญิงมาคุยกับพวกเขาระหว่างที่นั่งพักหลังจากการฝึกอันเหน็ดเหนื่อย

“ซานาเอะให้คนมาแจ้งว่าจะจัดการประลองดาบกับท่านในเช้าวันมะรืน” ท่านหญิงเอ่ย “พรุ่งนี้เช้าเราคงต้องออกเดินทางไปคิสึกะเลย จะได้ไปทันงานประลอง”

“พรุ่งนี้หรือค่ะ” กัณหาตกใจ หน้าซีดลง แม้จะฝึกต่อสู้มาเกือบเดือนแต่เธอก็ยังแค่เพิ่งเริ่มต้นฝึก ไม่แน่ใจนักว่าจะสามารถเอาชนะท่านหญิงซานาเอะได้ไหม “ฉันยังฝึกไม่ถึงไหนเลย”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก” ท่านหญิงอายาโกะตอบเรียบๆ ดูไม่เดือดร้อนสิ่งใด “ซานาเอะไม่ใช่ยอดซามูไรอะไร ฝีมือนางแค่พอผ่าน หากท่านต้องการแค่เอาชนะนาง ข้าว่าเท่าที่ฝึกอยู่นี้ก็ไม่ด้อยไปกว่านางเลย”

“แต่อย่างไรก็ตาม ท่านหญิงซานาเอะฝึกฝนดาบมาตั้งแต่เยาว์วัย ส่วนฉันเพิ่งเริ่มฝึกได้แค่เดือนเดียว แค่ระยะเวลาฝึกก็ยังเป็นรองท่านอยู่ดี”

“ฝึกมานานกว่าหาใช่บ่งบอกว่าเก่งกว่าซะหน่อย” ท่านหญิงอายาโกะพูดต่ออย่างไม่ติดขัด “จงมั่นใจในตนเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักดาบคือต้องมีความมั่นใจในการออกดาบของตนเอง”

กัณหาได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ไม่รู้จะพูดว่ากระไร

 

รุ่งเช้าวันถัดมา กัณหาตื่นแต่เช้าลุกขึ้นมาแต่งตัวอย่างไม่สบายใจนัก เธอรู้สึกตื่นเต้นและวิตกกังวลเรื่องการประลองดาบอยู่มาก จนนอนเฉยๆ ไม่ได้ต้องลุกมาซ้อมแต่เช้า ครั้นถึงช่วงสาย ท่านหญิงอายาโกะให้คนใช้แบกเกี้ยวสองตัวมารอที่หน้าเรือนที่พักเหมือนเดิม กัณหาขึ้นเกี้ยวอย่างใจลอย ไม่ได้สนใจคนอื่นๆ เลย พอขึ้นเกี้ยวแล้วก็พยายามฝึกสมาธิและทำใจให้สงบ แต่กลับทำได้ยากอย่างยิ่งนัก สุดท้ายได้แต่นั่งนับนิ้วเพื่อสงบสติอารมณ์

“ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพและนำชัยชนะกลับมา” ฮิโรชิโค้งให้กำลังใจพวกเขาก่อนออกเดินทาง

เย็นวันนั้นขบวนของพวกเขาเดินทางมาถึงเมืองคิสึกะ กัณหาไม่ได้ตื่นเต้นหรือสนใจดูวิวระหว่างทางเลย พวกเขามาพักที่บ้านพักของท่านฮิเทคาวะในเมืองคิสึกะ หลังจากปลงขบวนแล้ว กัณหาก็มาฝึกซ้อมต่อทันที ไม่สนใจแม้แต่เรื่องที่พักในคืนนี้ ช่วง อาติ และแหวนได้แต่ลอบมองอย่างเป็นห่วง

“ท่าจะอาการหนักจริง” อาติมองอีกฝ่ายอย่างกังวลใจ

“คุณหนูน่าจะตื่นเต้นมากนะ” แหวนเองก็กังวลใจกับการประลองพรุ่งนี้เช่นกัน แม้ว่าท่านหญิงอายาโกะจะบอกว่าท่านหญิงซานาเอะไม่ใช่คนเก่งมีฝีมือในการประลองอะไร แต่ท่านหญิงเองบอกพวกเขาว่าท่านหญิงซานาเอะได้รับการฝึกดาบมาหลายปีแล้ว ในขณะที่กัณหาเพิ่งเริ่มฝึกได้แค่เดือนเดียว

“คุณหนู” ช่วงตะโกนร้องเรียก กัณหาที่กำลังฝึกอยู่ชะงักและหันมามอง “ท่านหยุดฝึกเสียเถิด วันนี้ฝึกไปมีแต่จะทำให้อ่อนล้าไปเสียเปล่าๆ สิ่งที่ท่านควรจะทำคือ พักผ่อนและทำใจให้สบายสำหรับการแข่งพรุ่งนี้”

“งั้นหรือ” กัณหาวางมือจากการฝึก เดินกลับมารวมกลุ่มกับทั้งสามคนที่นั่งดูเธออยู่ไม่ไกลนัก “ขอโทษที ฉันกังวลมากไปหน่อย”

“ไม่หน่อยเลย” อาติยิ้ม “มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ เจ้าทำได้แน่ ข้ามั่นใจ”

“ฉันกลัวจะแพ้” กัณหาก้มหน้า เพื่ออำพรางความรู้สึกไม่สบายใจที่ผุดขึ้นมาตลอดเวลา

“แพ้หรือชนะไม่ ไม่สำคัญ ถ้าเจ้าทำเต็มที่แล้ว สำหรับข้า เจ้าชนะใจทุกคนในที่นี้แล้วล่ะ”

กัณหาเงยหน้าขึ้นมาเห็นคนทั้งสามที่มองมาทางเธอเป็นตาเดียวกัน สายตาทุกคนนั้นเหมือนกำลังส่งยิ้มให้กำลังใจเธอ กัณหาพยายามยิ้มตอบแต่ดูแล้วเหมือนแสยะยิ้มมากกว่า

 

 

หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ กัณหากลับเข้ามานอนในห้องพัก นอนกลิ้งเกลือกไปมาอยู่นานไม่อาจข่มตาหลับได้ สุดท้ายเธอจึงลุกออกมานั่งใต้แสงจันทร์ที่ระเบียงทางเดิน มองไปยังสวนที่มืดและเงียบสงัด

เสียงเพลงร้องดังก้องกังวานมาแต่ไกล เสียงนั้นดูไพเราะอ่อนหวาน จนทำให้กัณหาตกอยู่ในภวังค์ แล้วสักพักนกตัวเท่าแม่ไก่สีน้ำตาลแดงสลับทองก็ปรากฏกายขึ้นที่ระเบียง มันเชิดหัวสูงร้องเพลงประหลาดนั้นอย่างอ่อนหวาน ราวกับไม่ได้มาจากโลกมนุษย์ สักพักนกตัวนั้นจึงค่อยๆ ร่อนลงที่ระเบียงทางเดินข้างๆ ตัวเธอ แล้วก็หยุดร้องเพลง

“จี้ด” กัณหาพึมพำ ภวังค์ที่มีอยู่รอบตัวเริ่มหายไป “มาได้อย่างไรกัน”

“หลายวันก่อนแหวนหาข้า บอกว่าท่านจะเดินทางมาที่เมืองนี้เพื่อมาประลองดาบ นางบอกว่าท่านดูกังวลมาก” จี้ดเอ่ย “ข้ากับบารัตได้ยินแล้วเป็นห่วงท่านมาก อยากมาให้กำลังใจ แต่บารัตต้องอยู่เฝ้าเรือเหาะ ข้าเลยมาตามลำพัง”

“ขอบใจมากเลย” กัณหารู้สึกว่าน้ำตาเริ่มซึมออกมาในดวงตา

“ท่านดูกังวลนะ” จี้ดทัก มองสำรวจอีกฝ่าย

กัณหาได้แต่ถอนใจไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

“ท่านควรจะพัก” จี้ดพยักพเยิดไปทางห้องนอน “ไปนอนสิ ข้าจะร้องเพลงกล่อมท่านเอง รับรองว่าหลับสบายถึงเช้าเลยทีเดียว”

“อืออ” กัณหาตกปากรับคำ ก่อนกลับเข้าไปในห้องนอน จี้ดบินไปร่อนลงบนตู้ในห้องพักของเธอ กัณหามุดตัวเข้าไปในกองผ้าห่ม และหลับตาลง สักพักเสียงเพลงอันไพเราะของนกการเวกก็ดังขึ้นอีกครั้ง นำพาเธอให้จมลงสู่ห้วงนิทรา