64 ตอน วิถีแห่งซามูไร(1)
โดย นกเป็ดน้ำ
ไม่รู้ว่าท่านหญิงอายาโกะไปเจรจากับท่านฮิเทคาวะว่าอย่างไร แต่ในวัดถัดมาสาวใช้ก็พาแหวนมาส่งที่เรือนพักรับรองของพวกเขา แหวนมีใบหน้าบวม ตามลำตัวมีบาดแผลฟกช้ำหลายจุด แต่นอกนั้นดูปกติดีและยังโวยวายเสียงดังเหมือนเดิม
“ท่านฮิเทคาวะให้คนไปตามเอาตัวนางกลับมาเจ้าค่ะ” ซายูริบอกกัณหาหลังจากส่งแหวนเข้าห้องไปนอนพักเรียบร้อยแล้ว “แต่เรื่องที่ท่านไปตกลงสัญญากับท่านหญิงซานาเอะ เรื่องการประลองอะไรนั่น ท่านฮิเทคาวะคงช่วยอะไรไม่ได้ ท่านฮิเทคาวะบอกว่าในเมื่อท่านตกลงจะไปประลองกับท่านหญิงซานาเอะแล้วก็คงต้องทำตามสัญญา และต้องชดใช้ค่าเสียหายกันตามสัญญานั้นด้วย”
“จ้ะ ขอบใจมากจ้ะ” กัณหาตอบ แล้วซายูริโค้งให้แล้วคลานออกไป
“แย่จริง” อาติว่า “เจ้าไม่น่าปากเปราะเลย ทีนี้เราต้องทำอย่างไร ต้องไปประลองกับท่านหญิงนั่นนะหรือ”
“ตอนนั้นฉันกลัวแหวนถูกทำร้าย” กัณหาคอตก นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี เธอนึกด่าตัวเองว่าไม่น่าโง่เลยก็รู้ๆ อยู่ว่าตัวเองฟันดาบเป็นซะที่ไหนกัน
“จะไปห่วงอีแหวนมันทำไม ตัวปัญหาชัดๆ” ช่วงบ่นแล้วก็ถอนใจ “ถ้ามันไม่เสนอหน้าไปขโมยสาเกของท่านหญิงนั่น พวกเราคงไม่ต้องลำบากแบบนี้”
“ท่านคิดว่าแหวนขโมยจริงๆ หรือ” อาติยังกังขาในข้อนี้
“ก็ใช่นะสิ อีแหวนมันเป็นหัวขโมยเก่า คนแถวย่านที่มันอยู่ต่างรู้กันทั้งนั้น” ช่วงตอบอย่างไม่ลังเลใจเลย “ตัวท่านเองก็เคยถูกมันขโมยเงินไปแล้วไม่ใช่รึ” ช่วงหันมามองทางกัณหา
“จริงหรือ แหวนเคยเป็นขโมยมาก่อนหรือ” อาติหันมาถามกัณหาอย่างตกใจ
กัณหาไม่ตอบว่าอะไร เธอไม่นึกอยากตอบคำถามนี้ เธออยากเชื่อจริงๆ ว่าแหวนเปลี่ยนไปแล้ว เพราะตลอดหลายเดือนที่เดินทางด้วยกันมา แหวนช่วยเหลือและดูแลกัณหามาตลอดทาง อีกทั้งพวกเขาไม่เคยมีปัญหาเรื่องของหายอะไร แต่ที่ช่วงพูดก็ไม่ผิดนัก แหวนเคยเป็นขโมยมาก่อน กัณหาเองเคยถูกแหวนลักขโมยเงินจำนวนมากหลังจากที่เธอเพิ่งช่วยเหลือแหวนไว้แท้ๆ กัณหานึกถึงเรื่องนี้แล้วทำให้เธอไม่สบายใจนัก
“ไว้เรารอถามแหวนเองจะดีกว่า อย่าเพิ่งตัดสินเขาเลย” กัณหาบอกช่วงกับอาติ “ตอนนี้สิ่งที่เราควรจะทำมากกว่าคือหาทางเอาตัวรอดจากการประลองกับท่านหญิงนั้น”
“จะเอาตัวรอดอย่างไรล่ะ ขนาดท่านฮิเทคาวะยังไม่กล้ายื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้เลย”
“ฉันคงต้องฝึกดาบ” กัณหาหันมามองทางช่วง “ท่านสอนฉันได้ไหม”
“ท่านจะเรียนจริงหรือ ฝึกดาบนะไม่ใช่ฝึกวันสองวันแล้วจะเป็นนะ ข้าฝึกมากว่าค่อนชีวิตกว่าจะเป็น”
“ก็ต้องลองดู” กัณหายิ้ม ช่วงหันมามองเธออย่างไม่สบายใจนัก
หลังจากวันนั้นพวกเขายังคงพำนักอยู่ที่บ้านของท่านฮิเทคาวะ ช่วงออกไปแจ้งข่าวกับบารัตและจี้ดว่าพวกเขาอาจต้องพำนักที่เมืองนางาสึกะไปอีกราวเดือนกว่าๆ เพื่อร่วมการประลองหลังงานเทศกาลชมหิมะ บารัตกับจี้ดดูแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนัก ทั้งคู่ยังคงยืนยันว่าจะขออยู่ที่เรือเหาะไป เพราะตอนนี้มีข่าวว่ามีขโมยออกปล้นสะดมอาหารและของใช้อื่นๆ ในเมือง บารัตกลัวว่าเรือเหาะของพวกเขาอาจโดนด้วยเลยขออยู่เฝ้าเรือเหาะต่อ จี้ดขออยู่กับบารัตด้วยเพราะไม่อยากเจอผู้คนมากมายในเมือง
ช่วงเช้าพวกเขาออกเดินทางไปวัดและสถานที่อื่นๆ ที่สามสหายแห่งการายาเคยมาเยี่ยมเยียน ในบันทึกของพวกเขาไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นมากนัก เพราะพวกเขาเพียงแวะมาชมสถานที่ต่างๆ แล้วก็กลับ หลังจากอยู่ที่เมืองนางาสึกะครบหนึ่งสัปดาห์สามสหายก็เดินทางกลับพร้อมพ่อค้าวาณิชทันที การที่ในบันทึกของพวกเขากล่าวถึงนางาสึกะน้อยมากเช่นนี้กลับทำให้กัณหารู้สึกเหงาอย่างประหลาด เธอรู้สึกราวกับว่าสามสหายจากเธอไปก่อนแล้ว และเธอพยายามจะรีบเดินทางตามพวกเขาไปให้ทัน แต่ก็ติดปัญหาที่ต้องรอร่วมการประลองตามสัญญาซะก่อน
หลังจากเดินทางกลับมายังบ้านของท่านฮิเทคาวะในตอนบ่ายแก่ๆ ช่วงก็เริ่มฝึกกัณหาใช้ดาบ กัณหาไม่เคยแม้แต่จะจับดาบมาก่อนเลยในชีวิต เธอรู้สึกว่าดาบของช่วงนั้นทั้งใหญ่และหนัก ช่างเป็นดาบที่จับไม่ถนัดมือเอาเสียเลย
“ท่านไม่มีดาบที่เล็กกว่านี้แล้วหรือ” อาติเอ่ยขึ้น แม้เขาจะไม่เป็นดาบก็ยังรู้สึกได้ถึงความลำบากของกัณหาในการถือดาบเล่มนี้
“ไม่มี” ช่วงส่ายหน้า “อาวุธคู่กายของข้ามีเพียงดาบเล่มนี้เล่มเดียว ซึ่งต้องยอมรับว่ามันใหญ่ไม่ค่อยเหมาะกับท่านนัก คุณหนู”
“แค่กัณหาถือ ข้าก็รู้สึกว่าติดขัดแล้วล่ะ อย่าว่าถึงการสู้กับท่านหญิงนั้นเลย” อาติถอนใจ กัณหามองดาบในมืออย่างเศร้าๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร
“ลองฝึกใช้มันให้คล่องก่อนไหม เช่น ยกถือฟัน อะไรแบบนี้” ช่วงเสนอ
ช่วงเอาผ้าผืนยาวผูกกับต้นไม้ให้กัณหาลองฟันให้โดนผ้า กัณหาลองฟันหลายทีก็ยังฟันให้โดนผ้าไม่ได้ เธอนึกถึงเมื่อครั้งเริ่มฝึกใช้อาคมใหม่ๆ เธอมักจะรู้สึกเหนื่อยอ่อนอย่างบอกใครไม่ถูก ครั้งนี้เช่นกัน แค่จะยกดาบขึ้นฟันผ้าได้ เธอก็รู้สึกเมื่อยมากแล้ว ตกเย็นเธอถึงกับต้องนั่งนวดแขนที่ปวดระบมไปหมด ระหว่างนวดไปยิ่งรู้สึกว่าการฝึกอาคมยังสบายกว่าการฝึกดาบเยอะเลย
เป็นนักอาคมอยู่ดีๆ ไม่ชอบ เกิดนึกอยากไปเป็นนักดาบ ช่างคิดไปได้
รุ่งเช้าวันต่อมา กัณหาเจอแหวนตอนเช้าระหว่างรับประทานอาหาร แหวนหน้าซีดเซียวนัยน์ตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้อยู่แล้วเมื่อรู้ว่าตนเองเป็นสาเหตุให้กัณหาต้องมาฝึกดาบจนปวดแขนระบมไปหมด
“ท่านปวดแขนมากไหม คุณหนู” อีกฝ่ายถามเสียงเบามากจนแทบหายไปในลำคอ
“นิดหน่อย” กัณหาบอกปัดๆ ไม่อยากให้แหวนคิดมาก
“เพราะข้าแท้ๆ เชียว” แหวนพึมพำเสียงเบา
“รู้ตัวก็ดี” ช่วงตอบห้วนๆ “แทนที่เราจะได้ออกเดินทางต่อ กลับต้องมาค้างเติ่งอยู่ที่นี่ เพราะหัวขโมยอย่างเจ้า”
“ข้าไม่ได้ขโมย” แหวนสวนกลับทันที “ข้าขอยืนยันนะว่าข้าไม่เคยแม้แต่จะคิดแตะต้องไหนั่น ข้าจะเอามันไปทำไม”
“วิสัยของขโมย ก็ขโมยทุกอย่างที่เห็นนั่นแหละ” ช่วงตอบทันควัน
“พอเถอะ” กัณหารีบพูดก่อนที่สงครามน้ำลายจะลุกลามไปมากกว่านี้ “ฉันไม่เชื่อหรอกว่า มีใครในพวกเราเป็นหัวขโมย พวกเราเดินทางร่วมกันมาหลายเดือน ฝ่าอันตรายมาด้วยกันสารพัด อย่าให้เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำให้ขุ่นหมองข้องใจหรือหวาดระแวงกันเลย”
“พูดได้ดี” อาติอมยิ้ม ช่วงกับแหวนส่งสายตามองกันอย่างไม่ชอบใจ แล้วนั่งหันหลังให้กัน
“ท่านพักสักครู่ดีไหมเจ้าค่ะ” แหวนเสียงอ่อนเมื่อกลับมาคุยกับกัณหาอีกครั้ง “ประเดี๋ยวข้าจะนวดแขนให้”
“รอช่วงบ่ายๆ ดีกว่า ช่วงเช้านี้ฉันกำลังมีแรงดี ฉันจะฝึกต่อก่อน”
แหวนได้แต่ก้มหน้าแล้วถอนใจ
หลังจากฝึกหนักตลอดทั้งวัน กัณหาปวดแขนมากขึ้น แม้ช่วงค่ำแหวนจะช่วยนวดและเอาน้ำอุ่นมาประคบให้อาการปวดแขนบรรเทาลงบ้าง แต่พอตกดึกก็กลับมาปวดแขนอีกหน กัณหารู้สึกปวดแขนมากจนนอนไม่หลับต้องลุกออกมานั่งที่ระเบียงทางเดินนอกห้อง เบื้องหน้าเธอคือสนามหญ้าที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีขาวเพราะถูกปกคลุมด้วยหิมะที่เพิ่งตกเมื่อตอนค่ำ
” อู้ยยย ปวดจริง” กัณหาถอนใจขณะพยายามบีบนวดต้นแขนที่ปวดระบมไปหมด
“ฝึกดาบมากย่อมปวดแขนเป็นธรรมดา” เสียงนุ่มๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง กัณหาสะดุ้งหันไปมอง เห็นท่านฮิเทคาวะกำลังก้าวยาวๆ ข้ามสนามหญ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะมาทางเธอ
“ท่านฮิเทคาวะ” กัณหาโค้งตัวคำนับตามธรรมเนียมของคนที่นี่ “ไม่เห็นท่านมาหลายวัน สบายดีหรือเจ้าค่ะ”
“สบายดี” ท่านตอบยิ้มๆ ใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมตลอดเวลานั้นจึงดูอ่อนโยนลงมาก “แต่เจ้าคงไม่ใคร่จะสบายนักเท่าไหร่กระมั้ง ข้าได้ยินสาวใช้บอกว่า เจ้าฝึกหัดดาบเสียยกใหญ่ คงเพื่อการประลองกับท่านหญิงแห่งคิสึกะใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” กัณหายิ้ม “อิฉันดันไปสัญญาแบบไม่คิดหน้าคิดหลังเลยกลายเป็นเรื่อง อย่างไรเสียก็ต้องขอบคุณท่านฮิเทคาวะมากนะเจ้าค่ะ หากไม่ได้ท่าน เพื่อนของอิฉันคงไม่อาจกลับมาพำนักที่นี่ได้ รบกวนท่านจริงๆ”
ท่านฮิเทคาวะยิ้มอย่างอ่อนโยน เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวระยิบระยับแข่งกับแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง “ท่านคามาคุจิแห่งคิสึกะมีบุตรแค่คนเดียวที่เกิดจากภรรยาเอกที่ตายไปแล้ว ทำให้ท่านรักและตามใจบุตรสาวคนนี้มาก เพราะเป็นเสมือนตัวแทนภรรยาที่ตายไป” ท่านเว้นวรรคแล้วก็ถอนใจ “บุตรสาวเลยเอาแต่ใจตนเองมาแต่เยาว์วัย หาเรื่องกลั่นแกล้งผู้อื่นไม่เว้นวัน ไม่ได้เป็นความผิดของผู้อื่นใดหรอก ต่อให้เจ้าไม่รับปากประลองกับนาง นางก็ต้องหาเรื่องมากลั่นแกล้งเจ้าด้วยวิธีอื่นอยู่ดี”
“ถ้างั้นก็คงเป็นเพราะอิฉันโชคร้ายไปหน่อยเท่านั้น” กัณหายิ้มลูบแขนตนเอง “ถ้าไม่คิดมาก ถือเสียว่าได้ฝึกดาบเพิ่มพูนความสามารถ”
ท่านฮิเทคาวะหัวเราะ
“เจ้าเป็นศิษย์สำนักโม่ฝ่าช่านไม่ใช่รึ น่าจะชำนาญพลังปราณมากกว่า เหตุใดจึงไม่ใช้พลังปราณสู้กับนางเล่า เหตุใดจึงมาฝึกดาบที่ไม่ถนัดเพื่อประลอง”
“ท่านหญิงมีเงื่อนไขว่าต้องประดาบกัน เจ้าค่ะ” กัณหาส่ายหน้า “อิฉันเลยต้องมาหัดดาบ”
“นั่นก็เป็นธรรมดา ท่านหญิงแห่งคิสึกะ เกิดในตระกูลซามูไรย่อมชำนาญเชิงดาบมากกว่าเจ้านัก เพราะได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เยาว์วัย นางจึงท้าแข่งสิ่งที่ชำนาญเพื่อให้ได้รับชัยชนะ ในขณะที่เจ้าเหมือนกับนกบนฟ้าถูกท้าให้ไปว่ายน้ำแข่งกับปลา สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดี”
กัณหายิ้ม “คงเป็นเช่นที่ท่านว่าเจ้าค่ะ”
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่ทำในสิ่งที่เจ้าถนัดล่ะ” ท่านฮิเทคาวะเอ่ยถามเสียงเรียบ “แทนที่จะฝึกว่ายน้ำเหมือนปลา เจ้าควรลากนางขึ้นไปโผบินบนฟ้า”
“ทำสิ่งที่อิฉันถนัด” กัณหามองท่านฮิเทคาวะอย่างงงๆ “แต่อิฉันรับปากท่านหญิงซานาเอะไปแล้วว่าจะต่อสู้ประดาบ จะให้มาต่อสู้พลังลมปราณคงไม่ได้”
ท่านฮิเทคาวะยิ้มก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ซามูไรนอกจากจะชำนาญเรื่องการใช้อาวุธ การสู้รบด้วยมือเปล่าและดาบแล้ว บางส่วนก็ยังชำนาญในการสู้รบด้วยพลังทางจิตด้วยเช่นกัน”
“สู้รบด้วยพลังทางจิต” กัณหาทวนคำ “อย่างไรหรือเจ้าค่ะ”
“วิถีดาบในจิต” ท่านฮิเทคาวะพูดช้าๆ “เป็นวิชาดาบขั้นสูงของซามูไร ใช้จิตทำหน้าที่แทนดาบต่อสู้กับอีกฝ่าย”
“ดาบในจิต” กัณหาทวนคำอย่างงุนงงมากกว่าเดิม
ท่านฮิเทคาวะหยิบก้อนหินที่สนามหญ้าเบื้องล่างขึ้นมาวางไว้บนพื้นข้างๆ กัณหา ท่านเพ่งมองไปที่หินก้อนนั้นสักพัก กัณหารู้สึกเหมือนกับว่ามีสายลมเบาๆ พัดผ่านเหมือนตอนที่ดาบฟาดผ่านอากาศ แล้วตามมาด้วยก้อนหินที่อยู่บนพื้นข้างๆ ตัวเธอนั้นหักครึ่งราวกับว่ามีใครเอาดาบที่มองไม่เห็นผ่าก้อนหินออกมาเป็นสองซีก โดยไม่เหลือริ้วรอยใดทิ้งไว้บนพื้นด้วยซ้ำ
“ท่านทำได้อย่างไรเจ้าค่ะ” กัณหาตกตะลึงจนพูดไม่ออก
“ใช้จิตของเจ้า ทำหน้าที่แทนดาบ ทำเสมือนว่าเจ้ามีดาบในจิตถือไว้ และฝึกใช้มันเสมือนว่าเจ้ามีดาบจริงๆ อยู่ในมือ ดาบที่เกิดจากจิตที่กล้าแข็งสามารถฟันได้ทุกอย่างแม้แต่เหล็กกล้า และไม่มีทางบิ่นไปได้”
“ท่านสอนอิฉันได้ไหมเจ้าค่ะ” กัณหาเรียบเคียงถาม
ท่านฮิเทคาวะถอนใจ
“ช่วงนี้คงยากจะหาเวลามาสอนเจ้าได้ แต่หากเจ้าอยากเรียนแล้วล่ะก็ ข้าจะให้ฮิโรชิสอนให้เจ้า” ท่านฮิเทคาวะบอก “พรุ่งนี้บ่ายไปรอเจอฮิโรชิที่ข้างสระน้ำใหญ่ ข้าจะให้เขาไปรอที่นั่น”
Comments (0)