66 ตอน วิถีแห่งซามูไร(3)
โดย นกเป็ดน้ำ
ในวันรุ่งขึ้น พวกเขาเดินทางมาถึงที่บริเวณลานกว้างหน้าบ้านพักของท่านคามาคุจิที่ใหญ่โตและตั้งอยู่ใจกลางเมืองคิสึกะ มีชาวเมืองมารออยู่โดยรอบลานเพื่อชมการแข่งขันราวกับเป็นงานรื่นเริงก็ไม่ปาน ท่านหญิงอายาโกะหาเสื้อเกราะแบบซามูไรมาให้กัณหาใส่ในตอนประลอง กัณหาไม่นึกอยากใส่สักเท่าใดนัก เพราะคาดว่ามันต้องทั้งร้อนและหนัก แต่พอใส่จริงๆ ปรากฏว่ามันเบามาก และไม่ได้ร้อนสักเท่าใด กัณหา ท่านหญิงอายาโกะ และคนอื่นๆ นั่งรออยู่ที่บริเวณศาลาที่ถูกจัดไว้ให้ข้างลานประลองนั้น สักพักท่านคามาคุจิและท่านหญิงซานาเอะออกมาจากบ้านพักพร้อมด้วยสาวใช้และบ่าวรับใช้จำนวนมาก ท่านคามาคุจินั้นมีรูปร่างสูงใหญ่เช่นเดียวกับฮิโรชิ แต่มีท่าทีใจดีมากกว่าฮิโรชิมาก
“ข้าดีใจและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ต้อนรับ ท่านกัณหา ศิษย์สำนักโม่ฝ่าช่าน” ท่าคามาคุจิเอ่ยเมื่อทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพเขา “ต้องขอบใจมากจริงๆ ที่สละเวลามาเป็นคู่มือให้กับบุตรสาวของข้า นางตื่นเต้นมากที่จะได้มีโอกาสประลองกับศิษย์จากสำนักโม่ฝ่าช่าน เป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายจริงๆ”
ชาวเมืองที่อยู่โดยรอบพากันส่งเสียงร้องให้กำลังใจ กัณหานึกถอนใจ เธอเพิ่งเข้าใจสาเหตุหลักที่อยากประลองกับเธอ คงเป็นเพราะความดังของสำนักโม่ฝ่าช่านเป็นแน่ ถ้าชนะก็ถือว่าได้หน้าว่า ชนะสำนักโม่ฝ่าช่านได้ ถึงจะแพ้ก็อ้างว่าฝึกปรือฝีมือขำๆ ได้อยู่ดี ที่สำคัญจากหน้าตาและท่าทางของกัณหาที่ดูยังเยาว์วัยก็บอกได้ชัดว่าคงเพิ่งเริ่มฝึกวรยุทธต่างๆ ได้ไม่นาน การจะเอาชนะก็คงไม่ยากนัก ไม่แปลกที่ท่านหญิงจะหาโอกาสมาท้าต่อสู้ด้วย
“ขอเชิญทุกท่านร่วมชมการประลองของท่านหญิงแห่งคิสึกะและศิษย์สำนักโม่ฝ่าช่านได้แล้ว” ท่านคามาคุจิผายมือเชิญชวนให้ทั้งสองเข้าสู่สนามประลอง เสียงโห่ร้องให้กำลังท่านหญิงแห่งคิสึกะดังลั่นไปทั่วทั้งสนาม
“เจ้าว่าคุณหนูจะชนะไหม” แหวนก้มลงมาถามจี้ดที่ถูกห่อผ้ามิดชิดเหลือแต่ใบหน้ายื่นออกมาบนตักหล่อน
“ชนะสิ ข้าเชื่อว่านางทำได้” จี้ดตอบเรียบๆ อาติที่นั่งข้างๆ ได้แต่ถอนใจ
กัณหาเดินออกไปกลางลานพร้อมๆ กับท่านหญิงซานาเอะ เมื่อวานเธอรู้สึกตื่นเต้นจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่แปลกที่เช้าวันนี้เธอกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด ราวกับว่าบทเพลงของจี้ดนั้นซึมซาบอยู่ในตัวก็ไม่ปาน
“โค้งคำนับ” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นกลางลาน เสียงผู้คนที่ให้กำลังใจอยู่รอบข้างเริ่มเงียบเสียงลง กัณหาโค้งให้ท่านหญิงซานาเอะ อีกฝ่ายแค่โค้งไวๆ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มเย้ยหยันให้เธอ
“เริ่มได้”
ท่านหญิงซานาเอะชักดาบอย่างรวดเร็วและกระโจนพุ่งตรงมาทางเธอ กัณหาตกใจรีบกลิ้งหลบได้ทัน อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะรั้งรอให้เธอตั้งตัว รีบกระโจนแทงดาบมาทางเธอ กัณหาตกใจเงยหน้าขึ้นมา
เคร้ง เสียงดาบของท่านหญิงซานาเอะกระทบกับบางสิ่งที่มองไม่เห็น โดยที่อีกฝ่ายทำได้แต่มองไม่แม้แต่จะขยับตัวเลยสักนิดเดียว
ดาบในจิต ท่านหญิงอุทานในใจ วิชาซามูไร นางไปเรียนมาจากไหนกัน
อีกฝ่ายถอนดาบออกมาและกระโจนเข้ามาหมายจะฟันเข้าที่คอ แต่คราวนี้กัณหาไม่หลบเธอยังนั่งอยู่ที่เดิม ดาบของท่านหญิงกระทบกับดาบที่มองไม่เห็น ท่านหญิงถอยหลังไปเหงื่อออกโทรมกาย
“การแข่งครั้งนี้เป็นการประลองดาบ แต่ท่านกลับใช้วิชาอาคม แบบนี้มันถูกต้องที่ไหนกัน” อีกฝ่ายประท้วงทันที
“แล้วมีอย่างที่ไหนกัน ชักชวนศิษย์สำนักอาคมมาประลองดาบ” กัณหาสวนทันที เธอลุกขึ้นยืนมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจนัก “ท่านมีดาบของท่าน ฉันมีดาบของฉัน ประลองตามความสามารถของกันและกันก็น่าจะถูกแล้ว”
เสียงโห่ฮาดังมาจากด้านข้าง แต่กัณหาไม่สนใจ
“ได้ งั้นเจ้าจะได้เสียใจ เพราะวิชาดาบหัดใหม่ของเจ้านั้นสู้ข้าไม่ได้หรอก” อีกฝ่ายเบะปากให้เธอก่อนกระโจนเข้ามาฟันแทงอย่างรวดเร็ว
ข้อเสียของวิชาดาบในจิตคือมันไม่ได้ออกแบบมาให้ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็วนัก ไม่เหมือนกับดาบแท้ๆ ซึ่งสิ่งนี้กัณหาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะทราบดี ดาบในจิตอาศัยพลังจิตเป็นสำคัญจึงสามารถตีรันฟันแทงแม้กระทั่งผ่าสิ่งที่แข็งมากๆ ที่ถ้าผ่าด้วยดาบปกติอาจบิ่นได้ แต่ดาบปกติอาศัยกำลังกายและความชำนาญเชิงดาบในการเอาชนะ ฉะนั้นการใช้ดาบปกติจะเอาชนะดาบในจิตได้ ต้องอาศัยความไวอย่างมาก ไวจนคนที่ใช้ดาบในจิตไม่ทันตั้งตัวเตรียมใจจะฟัน จึงจะเอาชนะได้ ในตอนนี้ท่านหญิงซานาเอะก็กำลังทำเช่นนั้น หล่อนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พยายามจะเข้าแทงกัณหาในหลายๆ จุด แต่โชคดีที่กัณหาเคยฝึกวิชาต่อสู้ด้วยลมปราณเบื้องต้นมาก่อน พวกนี้อาศัยการเคลื่อนไหวที่ว่องไวเช่นกัน เธอจึงสามารถหลบหนีได้อย่างรวดเร็ว
“เรามาประลองนะ ไม่ได้มาเล่นซ่อนแอบ” อีกฝ่ายหัวเราะขันที่เห็นเธอกลิ้งตัวหลบดาบอย่างทุลักทุเล “มีอะไรดีก็เอาออกมาสู้สิ อย่าให้ขายหน้าสำนักของเจ้า”
กัณหามองอีกฝ่ายอย่างประเมินสถานการณ์ ดูท่าหากยังหลบต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้การประลองคงไม่สิ้นสุดง่ายๆ หากยิ่งต่อสู้กันนานเรื่อยๆ เธอย่อมเสียเปรียบมากกว่า เพราะเธอเป็นนักอาคมไม่ได้มีกำลังกายที่แข็งแรงเหมือนนักดาบตัวจริง ย่อมอดทนต่อการต่อสู้นานๆ ได้น้อยกว่าอยู่แล้ว หากหวังเอาชัยชนะ ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด แต่วิชาดาบที่รวดเร็วของซามูไรไม่เปิดโอกาสให้เธอมากนัก เพราะอีกฝ่ายเอาแต่จู่โจมเธอตลอดเวลา จนเธอแทบไม่มีโอกาสได้ตอบโต้กลับเลย
ที่จริงถ้าใช้วิชาสกัดจุดน่าจะช่วยได้มาก
แต่ประเด็นคือ การประลองครั้งนี้ถูกระบุให้ประลองดาบ ถ้าขืนเธอใช้วิชาสกัดจุดเข้าช่วย มีหวังต้องโดนประท้วงแน่ๆ
เธอมองไปรอบๆ สนามเห็นชาวเมืองร้องโห่ฮาที่เห็นเธอเอาแต่หลบ ยังไม่เริ่มออกมาต่อสู้จริงจังเสียที แน่นอนเป็นธรรมดา พวกเขาเป็นชาวเมืองคิสึกะก็ย่อมต้องให้กำลังใจท่านหญิงของพวกเขาเป็นธรรมดา พอมีคนมาให้กำลังใจมากๆ แบบนี้อีกฝ่ายยิ่งฮึกเหิม อยากจะแสดงว่าตนมีฝีมือเหนือกว่าลูกศิษย์สำนักใหญ่ๆ อย่างโม่ฝ่าช่าน เลยรีบปรี่เข้ามาสู้ตลอดเวลา สนใจแต่จะฟันแทงเธออย่างเดียว
สนใจแต่จะทำร้ายคู่ต่อสู้แต่หาได้ระมัดระวังตัว กัณหาลอบชำเลืองมองอีกฝ่าย
สิ่งสำคัญที่สุดในการต่อสู้ คือ ต้องหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้เจอ ถ้อยคำที่เคยได้ยินฮิโรชิพูดซ้ำๆ นับไม่ถ้วนตอนที่ฝึกฟันดาบกับเขา
นี่ละ คือ จุดอ่อนของคู่ต่อสู้เท่าที่เธอคิดได้
กัณหาเริ่มวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย ทำท่าเหมือนจะฟัน อีกฝ่ายเหมือนรู้ตัวรีบหลบและหาทางฟันดาบสวนกลับมา แต่แน่นอนในเมื่อมองไม่เห็นว่าดาบของอีกฝ่ายอยู่ที่ใด จึงหลบได้ไม่ดีหนึ่ง ดาบที่มองไม่เห็นเฉี่ยวปลายแขนเสื้อขาดเป็นวงกว้าง
เพราะคนที่ใช้ดาบนั้นไม่คิดจะฟันแขนอีกฝ่ายให้ขาด แม้เสื้อจะอยู่ติดกับแขนแต่แขนของหล่อนก็หาได้รับอันตรายแม้แต่ริ้วรอยเดียว หล่อนถือโอกาสที่อีกฝ่ายพุ่งตัวเข้ามารีบสวนดาบเข้าไปทางลำตัวหมายจะแทง แต่กัณหาหลบได้อย่างฉิวเฉียดอีกครั้ง และลากดาบที่มองไม่เห็นผ่านลำตัวไป สักพักเสื้อเกราะชั้นนอกที่ท่านหญิงสวมอยู่ก็ขาดผึ่งและตกลงกระทบพื้นเสียงดัง เหลือเพียงแต่เสื้อเกราะชั้นใน คราวนี้เสียงโห่ฮาดังก้องมาอีกครั้งจากเหล่าผู้ชม
“ฝีดาบดี” ท่านคามาคุจิเพ่งมอง
“เสื้อข้า” ท่านหญิงซานาเอะมองเสื้อที่กองอยู่บนพื้นอย่างหงุดหงิด
ต้องรีบจัดการให้จบ กัณหาคิดในใจ ก่อนแกล้งทำเป็นถอยห่าง เป็นเหตุให้อีกฝ่ายรีบกระโจนเข้ามา หมายจะชิงชัย
“ไม่นึกว่าศิษย์สำนักโม่ฝ่าช่านจะมีชั้นเชิงในการหนีขนาดนี้” เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นเบื้องหน้า “เห็นทีต้องข้าต้องไปฝากตัวฝึกวิชาหลบหนีด้วยล่ะกระมั้ง”
“จริง ฉันชำนาญเรื่องการหนีมาก” กัณหายิ้ม แล้วเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ฉับพลันจนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ดาบที่มองไม่เห็นของเธอฟาดขวับลงบนดาบของอีกฝ่ายยามพุ่งมา ดาบนั้นปริแตกร้าวและหักลงเป็นสองท่อนต่อหน้าต่อตาคนทั้งสนาม
แม้แต่ดาบเหล็กกล้ายังไม่อาจเทียบจิตใจที่มุ่งมั่น
ร่างเล็กกระโดดขึ้นมายืนต่อหน้าอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ดาบของข้า!!! เจ้าต้องชดใช้” เพลิงโทสะกำลังโหมกระหน่ำในใจอีกฝ่าย ยิ่งทำให้การระวังตัวลดลง อีกฝ่ายใช้ดาบที่เหลืออีกครึ่งซีกกระโจนเข้าฟาดฟัน แต่ก่อนที่จะทันได้ฟันถึงตัวนั้นก็รู้สึกถึงดาบที่มองไม่เห็นกระแทกที่ท้องจนหงายหลังล้มกลิ้งไปกับพื้น แม้จะใส่เสื้อเกราะหนาเพียงใดก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของมัน หล่อนรู้ดีว่า ถ้าขืนยังดึงดันเข้าไปอีก ดาบที่มองไม่เห็นนั้นสามารถผ่าร่างของหล่อนออกเป็นชิ้นๆ ได้ไม่ต่างๆ จากดาบเล่มที่ถืออยู่ในมือ
“เก่งมาก” เสียงปรบมือดังลั่นมาจากท่านคามาคุจิและชาวเมืองที่ชมอยู่โดยรอบ ระหว่างนั้นสาวใช้รีบเข้ามาช่วยพยุงร่างท่านหญิงซานาเอะ “ไม่นึกเลยว่าจะมีโอกาสได้เห็นวิชาดาบในจิตอีกครั้ง ทำได้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ”
“ท่านชมเกินไปแล้ว” กัณหาค่อมศีรษะให้
“เพลงดาบในจิตเดิมทีใช้เพื่อป้องกันตัวเท่านั้น ไม่ค่อยนำมาใช้ในการต่อสู้มากนัก เพราะมันไม่เหมาะกับการต่อสู้ที่ว่องไวรวดเร็ว” ท่านคามาคุจิเอ่ย “แต่มีซามูไรหลายตระกูลเช่นกันที่ฝึกปรือมันจนสามารถนำมาต่อสู้ได้ไม่ต่างจากดาบที่แท้จริงเลย ซึ่งข้าต้องยอมรับเพลงดาบที่เจ้าฝึกมานับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ”
“อิฉันเพิ่งหัดได้ไม่นานนัก ยังมีข้อต้องฝึกหัดและปรับปรุงอีกมาก” กัณหาโค้งให้ท่านคามาคุจิอีกครั้ง
“จริงหรือ หากเจ้าเพิ่งหัดมาได้ไม่นาน ทำได้ขนาดนี้ นับว่ามีฝีมือไม่ธรรมดา” ท่านคามาคุจิชมไม่ขาดปาก ทำให้บุตรสาวของท่านหน้าหงิกไปเสียแล้ว “ว่าแต่ซานาเอะ สัญญากับเจ้าไว้ใช่ไหม ว่าถ้านางแพ้จะให้เจ้าเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ เจ้าใคร่ได้อะไรล่ะ”
“แต่ท่านพ่อ” ท่านหญิงซานาเอะรีบเดินมาขวางไว้ “นางเล่นตุกติก ไม่ใช้ดาบปกติอย่างที่คนอื่นทำกัน แถมนางยังทำดาบและเสื้อเกราะประจำตัวของข้าพัง ของข้าเสียหายนะเจ้าค่ะ นางสิควรจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับข้า!!!”
กัณหาชะงักไป มองดูเสื้อเกราะและดาบที่ขาดเป็นสองชิ้นที่อยู่ในมือซานาเอะแล้วแอบกลืนน้ำลายเอื๊อก แค่ดูด้วยสายตาก็รู้ว่ามูลค่าของมันสูงแค่ไหน แล้วเธอจะไปเอาเงินที่ไหนมาชดใช้ให้ละนี่
“เจ้าให้ประลองดาบ ฉะนั้นจะใช้ดาบแบบไหนก็ไม่ได้ผิดเงื่อนไขการประลองนี่ ลูกข้า” ท่านคามาคุจิยิ้มให้กับสีหน้าถมึงทึงของบุตรสาว “ซามูไรต้องรักษาสัญญาคำพูด เมื่อเจ้าตกปากรับคำแก่นางแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามนั้น หากไม่ปฏิบัติตามที่กล่าว คำพูดของเจ้าก็ถือว่าเป็นแค่ลมปากที่หาความเชื่อถือไม่ได้ ทำลายทั้งเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเอง”
ท่านหญิงซานาเอะอ้าปากจะเถียง แต่ท่านคามาคุจิส่ายหน้า อีกฝ่ายจึงได้แต่ทำหน้างออย่างจำนน
“เอาล่ะ เจ้าประสงค์จะได้สิ่งใดล่ะ” ท่านคามาคุจิหันเมาถามกัณหาอย่างเมตตา
“เอ่อ” กัณหานิ่งไปเพราะไม่เคยคิดถึงจุดนี้ คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้รอดชีวิตจากการประลองไปได้ “อิฉันขอเป็นอาหารสด และอาหารแห้งที่เก็บไว้ได้นานๆ ไว้สำหรับเดินทางได้หรือไม่เจ้าค่ะ”
“แค่อาหารหรือ” ท่านคามาคุจิประหลาดใจ นึกว่าอีกฝ่ายจะร้องขอสิ่งที่ใหญ่โตกว่านี้ซะอีก “ได้สิ ไม่มีปัญหา”
ท่านหญิงซานาเอะเบะปากอย่างเย้ยหยัน กัณหายิ้มเล็กน้อยและหันไปมองเบื้องหลัง ที่ริมสนามนั้น ท่านหญิงอายาโกะ ช่วง แหวน อาติได้แต่ส่งยิ้มกลับมา
“แล้วดาบก็หักกร๊อบ ตกลงบนพื้นเสียงดังเลยทีเดียว” แหวนเล่าเรื่องการประลองพร้อมออกท่าทางด้วยอย่างออกรส “ต้องดูหน้าท่านหญิงนั่น เหมือนพร้อมจะฆ่าคนได้เลย”
เสียงหัวเราะเฮฮาดังมาจากคนที่อยู่รอบวงทานอาหารในบ้านพักของท่านฮิเทคาวะที่เมืองคิสึกะ วงนี้ที่ประกอบไปด้วยท่านหญิงอายาโกะ ช่วง อาติ กัณหา และแหวน รอบๆ ตัวพวกเขายังมีสาวใช้อีกจำนวนมากนั่นอมยิ้มตามไปด้วยอย่างปิดไม่มิด
“ทีนี้ ซานาเอะ จะได้เลิกทำตัวกร่างเสียที การประลองครั้งนี้คงทำให้นางสงบปากสงบคำอีกนาน” ท่านหญิงอายาโกะบอก
“แล้วมันจะไม่เป็นปัญหาต่อความสัมพันธ์ของท่านฮิเทคาวะกับท่านคามาคุจิใช่ไหม” กัณหายังกังวลเรื่องนี้อยู่
“ไม่หรอก ท่านคามาคุจิเป็นซามูไรผู้ใหญ่และมีเหตุผล เรื่องการประลองแบบเด็กๆ แบบนี้ ท่านไม่เอากลับมาคิดเป็นเดือดเป็นแค้นหรอก” ท่านหญิงยิ้มให้กัณหาอย่างอ่อนโยน “จริงๆ แล้วท่าคามาคุจินั้นดีทุกอย่าง เสียแต่อย่างเดียวคือเอาใจซานาเอะมากเกินไปก็เท่านั้น”
กัณหายิ้ม เธอค่อยโล่งอกอยู่บ้าง เพราะเธออยู่ที่นี่ไม่นาน เธออาจจะไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ท่านฮิเทคาวะและท่านหญิงอายาโกะยังต้องติดต่อกับคนพวกนี้อีกนาน เธอจึงไม่อยากสร้างปัญหาให้พวกเขา
“ท่านพูดเช่นนี้ ฉันก็จะได้สบายใจ จะได้ออกเดินทางได้อย่างหายห่วง”
“พวกท่านจะออกเดินทางเลยหรือ” ท่านหญิงมองพวกเขาอย่างประหลาดใจ “ไม่พักเสียสักหน่อยหรือ”
“พวกเราเสียเวลามาพอสมควรแล้ว ท่านหญิง” กัณหาบอก “เส้นทางที่เราต้องไปก็ยังอีกไกล ถ้าอยู่นานกว่านี้ก็เกรงว่าจะล่าช้า ฉันจึงเห็นว่าควรจะออกเดินทางได้แล้ว อยู่นานกว่านี้ก็รบกวนท่านกับท่านอิเทคาวะไปเปล่าๆ”
“ไม่ได้รบกวนอะไรเลย” ท่านหญิงดูตกใจเล็กน้อยที่พวกเขาจะออกเดินทางแล้ว
รุ่งเช้าวันถัดมา ท่านฮิเทคาวะให้คนนำเอาอาหารและเสื้อผ้าแบบชาวโอสึกิจำนวนมากมาให้ พร้อมกับคำขอบคุณที่อุตส่าห์สละเวลามาร่วมการประลองกับท่านหญิงซานาเอะ เนื่องจากของที่ขนมาให้มีจำนวนมากจนอาติต้องเสกย่อส่วนของเหล่านั้นเพื่อให้ขนกลับไปมายังนางาสึกะได้โดยสะดวก กัณหาตั้งใจว่าเมื่อกลับถึงเมืองนางาสึกะแล้ว คงจะไปร่ำลาท่านฮิเทคาวะ ฮิโรชิ ซายูริและสาวใช้คนอื่นๆ แล้วก็จะเริ่มออกเดินทางทันที