กัณหาและแหวนเดินกลับมาที่เรือนที่พักของตนเอง มาเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาแล้วกลับไปที่ใต้ถุนเรือนหลังเดิม เมื่อไปถึงพวกเขาก็พบช่วง อาติ และเบซา กำลังยืนดูญาติของผู้ตายจัดขบวน
        “สรุปว่างานที่ชาวตาโกนันกำลังวุ่นวายจัดเตรียมนี้คืองานศพเหรอ” อาติถามอย่างประหลาดใจเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้  “ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่า พวกเจ้าสองคนมาช่วยชาวตาโกนันเตรียมของตั้งแต่เมื่อคืน” 
         “ข้าก็งงอยู่ว่ามาช่วยได้ไง” แหวนดูงุนงงกับชีวิตของตนเองเมื่อคืน ก่อนพยักพเยิดไปทางกัณหา อาติทำหน้างงว่าแหวนต้องการสื่อความว่าอะไร แต่ก่อนที่จะได้ทันพูดว่าอะไร เสียงชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลังพวกเขา
         “พวกเจ้าเป็นแขก ไม่ได้เป็นญาติกับผู้ตาย ให้เดินตามขบวนด้านหลังญาตินะ” ชายผิวดำหน้าตาถมึงทึงเอ่ยขึ้น “เดินตามหลังชายคนนั้น” 
         พวกเขาหันมาพยักหน้ารับคำ ทุกคนยังดูงุนงงว่าทำไมตนเองถึงได้รับเชิญให้มาร่วมงานนี้ ชาวตาโกนันตั้งขบวนที่ใต้ถุนเรือนนั้น สักพักก็มีคนทยอยเข้ามากันจนเต็มขบวน หลังจากตั้งขบวนเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เริ่มออกเดินจากเรือนนั้นไปยังเรือนที่มีกัณหากับแหวนเข้าไปเจอร่างเมื่อคืน ชายสามสี่คนช่วยกันขนโลงสีน้ำตาลออกมาจากเรือนดังกล่าว แหวนเขยิบเข้ามาใกล้กัณหาด้วยความกลัวเล็กน้อยเมื่อเขาย้ายโลงนั้นลงมาอยู่ในรถลากที่นำขบวน หลังจากเคลื่อนย้ายโลงลงมาวางบนรถลากเรียบร้อยแล้ว ขบวนก็เริ่มออกเดิน มีเสียงประโคมดนตรี เสียงที่ฟังคล้ายเสียงสวด ดังคลอไปตลอดทาง เพราะกัณหาใส่สร้อยภาษาอยู่ เธอจึงเข้าใจทุกถ้อยคำในประโยคนั้น ท่วงทำนองที่ดูโศกเศร้านั้นบอกเล่าถึงความคิดถึงและความห่วงใยของญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ และมีคำขอร้องให้เทพยดาช่วยนำพาดวงวิญญาณของหญิงชราที่เสียชีวิตไปนี้ให้เดินทางไปสู่ปูยา เพื่อพบกับบรรดาญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วอีกครั้ง

“แม่นม แม่นม ท่านแข็งใจไว้อีกหน่อย ถ้ากินยานี้หมด ท่านจะหายดี” กัณหาร้องเรียกแม่นมซ้ำๆ มือที่ถือถ้วยยาของเธอสั่นระริก แม่นมลืมตาขึ้นมามองเธออย่างอ่อนล้า แววตานั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
        “หากแม่นมไม่อยู่แล้ว คุณจะอยู่คนเดียวได้ไหมเจ้าค่ะ”  แม่นมพูดช้าๆ ราวกับเหนื่อยอ่อนเหลือเกินแม้กระทั่งจะเอ่ยปากพูดแต่ละคำ 
       “ท่านพูดอะไรเช่นนั้น ท่านไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อย” กัณหาเริ่มมีน้ำตาพรั่งพรูออกมา     “ท่านแค่ต้องแข็งใจกินยานี้อีกหน่อยเท่านั้น เมื่อท่านกินยาหมด ท่านก็จะหายดี”
        แม่นมจันได้แต่ยิ้มบางๆที่มุมปาก แต่แววตาของท่านดูเศร้าหมองเหลือเกิน กัณหาเริ่มสะอื้นอย่างควบคุมตนเองไม่ได้อีกต่อไป น้ำตากลบมิดดวงตาเล็กๆของเธอจนหมดสิ้น เธอก้มหน้าลงเพื่อไม่ให้แม่นมเห็นน้ำตานั้น
        “ถ้าแม่นมไม่อยู่แล้ว คุณต้องเข้มแข็งนะเจ้าค่ะ ทางข้างหน้าในชีวิตของคุณอาจจะมีอะไรอีกมากมายที่ยากลำบาก จงอย่ายอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆที่จะเข้ามาในชีวิตของคุณ คุณต้องอยู่ต่อไปให้ได้ อยู่ต่อไปเพื่อแม่นม..”
        แม่นมเงียบเสียงไป กัณหาเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตาทั้งสองข้างของท่านปิดสนิท แขนตกห้อยลงมาข้างตัว
       “แม่นม!!!” กัณหาเขย่าตัวท่านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ว่าเขย่าตัวแรงสักเท่าใด แม่นมก็ไม่ขยับเขยื้อนไม่ตอบสนองเธออีกต่อไป  เธอฟุบหน้าลงกับร่างนั้น ร่างสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่


         กัณหาน้ำตาซึมเมื่อเดินไปตามทางจนเธอไม่ได้สังเกตว่าตัวเองกำลังจะเดินไปไหน แหวนกับอาติที่เดินอยู่สองข้างผลัดกันชำเลืองมองเธออย่างเป็นห่วง หลังจากเดินมาสักระยะในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงหน้าผาสูงใหญ่แห่งหนึ่ง
         “ดูนั่น” แหวนชี้มือไปที่หน้าผา กัณหาเงยหน้าขึ้นไปดูเห็นหุ่นไม้รูปร่างสูงใหญ่ ขนาดน่าจะพอๆกับคนยืนเกาะขอบระเบียงที่เกิดจากการแกะสลักเข้าไปในหน้าผา หุ่นเหล่านี้ยืนจ้องมองพวกเขาราวกับมีชีวิตอยู่ก็ไม่ปาน
         “นั่นเตา เตา เป็นหุ่นที่เป็นตัวแทนของคนตาย” เบซาบอก “ชาวตาโกนันจะทำหุ่นเป็นตัวแทนของคนตายวางไว้ที่หน้าผาที่ฝังศพญาติของพวกเขา”
         ภายใต้เงาของหน้าผานั้น มีคนมากมายนั่งชุมนุมกันอยู่ที่นั่น คนเหล่านั้นขยับลุกขึ้นยืนเมื่อขบวนมาถึง ชายห้าหกขึ้นยกโลงลงมาจากรถลากนำขบวน พวกเขาแบกโลงไปวางไว้กลางวงผู้คนที่ชุมนุมกัน เมื่อโลงถูกวางบนแท่นที่เตรียมไว้แล้ว ชายหญิงประมาณสิบคนแต่งตัวด้วยเสื้อดำแดง เดินออกมาตรงกลางลานล้อมรอบโลงศพนั้นและเริ่มต้นร่ายรำดาบสองมือ ผู้คนที่อยู่โดยรอบนั่งลงรับชมการแสดงนั้นอย่างสงบ กัณหา แหวน อาติ ช่วง และเบซานั่งลงที่อีกฟาก กัณหายังคงมีน้ำตาไหลซึมบ้าง
         หลังการแสดงชุดแรกจบลง ชายคนหนึ่งใส่หมวกทรงสูงประดับด้วยขนนกมากมาย และห้อยสร้อยเส้นใหญ่รูปทรงแปลกตาไว้ที่คอ ชายคนนั้นออกมายืนกลางลานนั้น เริ่มต้นเล่าประวัติของผู้ตาย เท่าที่ฟังดู เธอน่าจะเป็นภรรยาของผู้นำหมู่บ้าน คุณงามความดีต่างๆที่เธอประกอบขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ถูกไล่เรียงให้คนที่ร่วมพิธีฟัง เท่าที่ได้ฟังดูเหมือนเธอจะเป็นคนคิดค้นพัฒนาการเดินเรือเหาะของชาวตาโกนันให้ก้าวหน้าและสุดท้ายชายคนนั้นได้อ้อนวอนร้องขอเทพยดาให้ช่วยนำดวงวิญญาณเธอออกเดินทางสู่ปูยาโดยปลอดภัย และกล่าวเล่าถึงความอาลัยและความคิดถึงของญาติของผู้ตาย เมื่อคำกล่าวจบลง หญิงสาวแรกรุ่นราวๆสิบคนแต่งตัวด้วยชุดสีน้ำตาลทองออกมาร่ายรำประกอบไปกับเพลงที่มีท่วงทำนองที่ฟังดูโศกเศร้า ระหว่างที่พวกเธอร่ายรำอยู่นั่นเอง อีกหลายคนเดินถือกล่องตาลูเข้ามาและวางมันไว้ข้างโลงศพนั้น หลังจากกล่องตาลูหมด ชายสามสี่คนแบกร่างเสือตัวใหญ่ที่สิ้นใจแล้วเดินเข้ามาและวางร่างเสือนั้นไว้หน้าโลงศพ
         “พวกเขาฆ่าเสือนั่นหรือ” อาติอุทานเบาๆ
         “ข้าเคยได้ยินว่า ชาวตาโกนันมีความเชื่อว่า คนตายจะต้องเดินทางไกลหลังจากพิธีศพ พวกเขาจะต้องออกเดินทางไปสู่ปูยา ดินแดนหลังความตาย เนื่องจากมันเป็นการเดินทางที่ไกลมาก พวกเขาจะสังเวยสัตว์ใหญ่หนึ่งตัวเพื่อเป็นพาหนะนำดวงวิญญาณคนตายให้เดินทางไป”
         “สงสารเสือ” แหวนคราง
         “หรืออยากจะโดนสังเวยแทนล่ะ” ช่วงแทรกขึ้นมา แหวนหันมาค้อนเขา 
          ดูเหมือนพิธีน่าจะเสร็จแล้ว ทุกคนในงานลุกขึ้นโค้งคำนับให้กับร่างของผู้ตาย สักพักชายประมาณสิบคนลุกเดินออกมาแบกโลงผู้ตายขึ้นและออกเดินไปทางหน้าผานั้น
         “พวกเขาฝังศพไว้ในหน้าผาเหรอ”  อาติหันไปถามเบซา
         “ใช่ พวกเขาเจาะอุโมงค์เข้าไปในหน้าผา เอาศพเข้าไปฝังในนั้น และปิดปากอุโมงค์ไว้ด้วยก้อนหินและหุ่นเตาเตา ตัวแทนผู้ตาย
        “ผู้หญิงคนที่ตายนี่ใช่คนที่ตายจากเสือกัดรึเปล่านะ” แหวนดูหวาดกลัว
        “ไม่หรอก กว่าชาวตาโกนันจะทำพิธีศพให้ พวกเขาต้องเตรียมงาน เตรียมของกันเป็นปีๆ คนที่จัดงานให้วันนี้นะ คือ แม่เฒ่าอูซา ข้ารู้จักดี ท่านเป็นแม่ของบารัต คนขับเรือเหาะที่ข้าสนิทด้วยคนหนึ่ง ถ้าเจ้าตั้งใจฟังประวัติที่เขาเล่า จะรู้ว่าท่านตายมาสามปีแล้ว”
        “แล้วพวกเขาก็เก็บศพไว้ในบ้านถึงสามปีเหรอ” แหวนขนลุกไปทั้งตัวตัว หน้าตาซีดเผือด 
        “ใช่ ระหว่างรอจัดพิธี ชาวตาโกนันจะดูแลร่างผู้ตายเสมือนว่ายังมีชีวิตอยู่ มีการยกน้ำยกอาหารเข้าไปให้ทุกมื้อ มียกกระโถนเข้าไปให้วันละครั้ง ต้องมีญาติมานอนเฝ้าจนกว่าจะถึงพิธีศพ” เบซาเล่าอย่างละเอียด “ข้าเห็นบารัต ทำอย่างนี้ให้มาสามปีแล้ว  ตอนที่ข้าไปหาเขาที่บ้าน เขาก็พาข้าเข้าไปเยี่ยมแม่เสมือนว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ด้วย”
         “น่ากลัว พวกเขาจะทำอย่างนั้นไปทำไม” แหวนหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
         “เธอจะไม่กลัวหรอก ถ้าคนที่อยู่ในโลงนั้นเป็นคนที่เธอรัก” กัณหาตอบให้ แหวนชะงักไปแล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
         “พวกเขาเชื่อว่า ความตายไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลัน มันเป็นขั้นตอนที่ค่อยเป็นค่อยไป เมื่อผู้ตายละทิ้งร่างในโลกใบนี้แล้ว พวกเขาจะยังวนเวียนอยู่แถวนี้จนกว่าจะจัดพิธีศพให้ เมื่อเสร็จพิธีศพ พวกเขาจึงจะเริ่มออกเดินทางสู่ปูยา ระหว่างที่ยังไม่จัดพิธี ลูกหลานก็ต้องคอยดูแลและตระเตรียมเข้าของเครื่องใช้ให้ท่านใช้ระหว่างเดินทางไปปูยา มันเป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้ตาย สิ่งสุดท้ายที่ลูกหลานจะทำเพื่อท่าน”
         ทุกคนต่างนิ่งเงียบไป ราวกับตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง กัณหารู้สึกจุกแน่นที่ในคออย่างไรชอบกล ระหว่างนั้นเธอก็พยายามสอดส่ายสายตามอไปทางอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตน
         “นั่นแม่เฒ่าที่เราเจอนี่” กัณหาเอ่ยขึ้นมา แหวนหันมามองตาม ไม่ไกลจากพวกเขานักหญิงชราผู้เป็นญาติกับผู้ตายยืนมองไปหาหน้าผา น้ำตายังคลอเบ้าตาอย่างเงียบเชียบ มือสองข้างของหล่อนกุมไว้ที่ตรงหัวใจ
         “แม่เฒ่า” กัณหาเอ่ยทักขึ้นมา แล้วเดินไปหาหล่อน “ท่านไม่ขึ้นไปร่วมการฝังด้านบนหรือ ฉันได้ยินเขาประกาศให้บรรดาญาติๆขึ้นไปหน้าผา”
         “ทางขึ้นมันชัน ข้าเดินขึ้นไม่ไหว” หญิงชราตอบอย่างสุขุม “ข้าคงได้แต่ยืนส่งพี่ของข้าที่นี่ คงไม่อาจไปส่งท่านถึงหน้าผาได้แต่ไม่เป็นไรหรอก เราแยกกันไม่นาน อีกหน่อยเราก็จะได้กลับไปเจอกันที่ปูยา”
         “ท่านพูดอะไรเช่นนั้น” กัณหารีบแย้ง “ท่านยังดูแข็งแรง ท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันเชื่อว่า พี่ของท่านก็คงต้องการอย่างเดียวกัน ลูกหลานของท่านก็เช่นกัน”
         หญิงชราหันมายิ้มให้กัณหา 
         “ที่ข้าพูดนี่ไม่ได้หมดอาลัยตายอยาก หรืออยากตายตามพี่ข้าไปหรอกนะ ที่ข้าพูด เพราะมันเป็นสัจธรรมของชีวิต ทุกคนเมื่อเกิดมาก็ต้องตายต้องหมดอายุขัยกันทั้งนั้น  และเมื่อวันของข้ามาถึง ข้าก็พร้อมและเต็มใจที่จะไป”
          กัณหาเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างวิตกกังวล ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะตรอมใจตายไปตามก็ไม่ปาน สีหน้านั้นทำให้หญิงชราถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ หล่อนวางมือลงบนไหล่ของกัณหาก่อนเอ่ยขึ้นว่า
        “สำหรับเจ้าเด็กน้อย ความตายดูเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไกลตัว แต่สำหรับข้า ผู้เห็นโลกมามากเกินพอ ข้าเห็นความตายมานับไม่ถ้วน เห็นมามากพอจนรู้ว่ามันหาใช่เรื่องไกลตัว ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว มันเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านจากโลกมนุษย์ไปสู่ปูยา มันจะเกิดขึ้นกับทุกคน มันเป็นเส้นทางที่ทุกคนต้องเดินไป ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ การละทิ้งร่างไว้ที่นี่ ก็เพื่อละทิ้งการยึดติดไว้เบื้องหลัง  การยึดติดที่จะทำให้เราทุกข์ทรมานไม่จบสิ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วการตามไปลากพวกเขากลับคืนมาจากเส้นทางที่ต้องไปต่อ เป็นการไม่สมควรเลย มันจะนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานของเจ้าและความเป็นห่วงไม่จบสิ้นของผู้ที่จากไป”
        “แล้วถ้าญาติของท่านจากไปก่อนวัยอันควรละ” กัณหาย้อน “ท่านจะวางเฉยได้เหมือนครานี้ไหม”
        “ไม่มีใครจากไปก่อนวัยอันควร” หญิงชราบอกอย่างอ่อนโยน “ทุกคนไปเมื่อถึงเวลาของตนเอง เพียงแต่เวลาที่เจ้าจะไปนั้นต่างกัน บางคนไปเร็วไปเสียตั้งแต่ยังเด็ก บางคนไปช้า รอเวลาเป็นร้อยปีถึงได้จากไป”
         กัณหานิ่งเงียบไป แต่ในใจเธอยังเถียงอีกฝ่ายอยู่ 
         ท่านก็พูดได้ พี่ของท่านตายเมื่อแก่ชรา มันเป็นการจากไปตามวัย คนแก่ก็ต้องตายเป็นเรื่องปกติ แต่แม่นมของฉันท่านยังไม่ทันแก่ ท่านก็ต้องมาตายเสียก่อน และท่านก็ไม่ได้อยากจากไป 
         ท่านยังอยากอยู่กับฉัน ท่านเคยพูดเอง
         เธอไม่ได้อยากลากแม่นมกลับมาจมทุกข์ แต่เธออยากพาท่านกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเหมือนที่เคยเป็นต่างหาก ความสุขของเธอมีได้ก็เพราะมีท่านอยู่ด้วย ความสุขของท่านก็คือการได้อยู่กับเธอ 
         ท่านไม่ได้อยากไปปูยาแน่นอน กัณหาตอบในใจอย่างมั่นใจ 
         หญิงชราหันมามองเด็กน้อยที่มองไปที่หน้าผาอย่างครุ่นคิด สีหน้าและแววตาที่ดื้อดึงไม่ยอมแพ้นั้นยืนยันชัดว่าอีกฝ่ายไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนาง หญิงชรายิ้มแล้วก็ถอนใจ 
         “แล้วอีกหน่อยเจ้าก็จะเข้าใจเอง” หล่อนตอบตบบ่ากัณหาเบาๆแล้วก็จากไป กัณหามองตามหล่อนไป เธอถอนใจสั้นแล้วเดินย้อนกลับมาหาคนอื่นๆที่ยังยืนคุยกันอยู่ที่เดิม
         “เจ้านี่มนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ” อาติยักคิ้วให้ รอยยิ้มระบายอยู่ที่มุมปาก
         กัณหาเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างงุนงง “เธอต้องการจะบอกอะไร”
         “ข้าเข้ามาหมู่บ้านของชาวตาโกนันมากว่าครึ่งชีวิต ยังไม่เคยมีโอกาสร่วมงานศพของชาวตาโกนันเลย” เบซายิ้มตาม “งานศพของชาวตาโกนันถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ จัดกันเป็นการภายในเท่านั้น คนนอกแทบไม่มีโอกาสได้ร่วม นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขายอมเชิญเรามาร่วมพิธีด้วย”
         “ข้าก็เลยคิดว่า สาเหตุที่พวกเขายอมให้พวกเรามาร่วมงานศพนี้ก็คงเพราะเจ้ากระมั้ง” อาติว่า      “เจ้าอาจจะดูเข้ากับพวกเขาได้ดี”
         “เพราะฉัน” กัณหาทวนคำอย่างแปลกใจ “ไม่หรอก ฉันไม่เข้าใจพวกเขาสักนิดเดียว”
         “ข้าว่าใช่” แหวนพยักหน้าทันที ช่วงพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกที่ช่วงจะเห็นด้วยกับแหวน ดังนั้นกัณหาจึงไม่ได้เถียง
         “ท่านอาจจะมีวาทศิลป์อะไรบางอย่างละมั้ง” เบซาหัวเราะเบาๆ “ข้าว่าทำไมไม่ใช่วาทะศิลป์ของท่านโน้มน้าวชาวตาโกนันให้ออกเรือเหาะอีกล่ะ นั่นไงมาพอดี นายเรือเหาะ บารัต บารัต”
         “เบซา” ชายร่างใหญ่ที่กัณหากับแหวนเจอเมื่อคืนตอบรับคำ เมื่อเจอกันในตอนกลางวัน พวกเขาจึงยิ่งสังเกตเห็นได้ชัดว่าบารัตสูงใหญ่ตแค่ไหนเขามีผิวสีคล้ำ ใบหน้าดูเศร้าหมอง เขาหันเหออกจากหมู่ญาติผู้ตายที่ค่อยทยอยเดินกันออกมา เพื่อแวะมาหาพวกเขา
          “ข้าเพิ่งรู้ว่าวันนี้เป็นพิธีศพ แม่เฒ่าอูซา” เบซาเอ่ยขึ้นมา “เสียใจกับท่านด้วย” 
          “เช่นกัน เบซา ขอบคุณมากที่มาร่วมพิธี” บารัตตอบ นัยน์ตาเขาดูแดงเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ของข้ากำลังออกเดินทางสู่ปูยาแล้วละ เราได้เตรียมทุกอย่างให้ท่านไว้พร้อมแล้วเพื่อการเดินทางอันแสนไกลของท่าน เราได้ทำหน้าที่ลูกที่ดี ดูแลท่านและอยู่เคียงข้างท่านในยามละทิ้งร่างไว้ในโลกนี้แล้ว เราทำหน้าที่ได้สมบูรณ์”
          “แม่เฒ่าอูซา รักการเดินทางมาก ท่านเป็นนักประดิษฐ์ นักพัฒนา หากไม่มีท่าน เรือเหาะของชาวตาโกนันก็คงจะไม่ได้มีชื่อเสียงเลื่องลือมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยคิดประดิษฐ์อุปกรณ์หลายอย่างที่ช่วยให้การเดินทางของเรือเหาะราบรื่น”
          “จริง ชีวิตของท่านคือการเดินทาง ท่านรักเรือเหาะมาก การได้เห็นเรือเหาะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า คือความสุขของท่าน” บารัตเอ่ยแล้วก็ยิ้มเศร้าๆ “แต่โชคร้ายนัก เพราะพวกมัน เราต้องหยุดการเดินทางด้วยเรือเหาะ เรือเหาะของเราไม่มีโอกาสได้โผบินไปบนท้องฟ้าอีกแล้ว”
          “ข้าเสียใจด้วยนะ แต่ข้าขอยืนยันต่อให้ข้าเป็นชาวเมืองโกวา แต่ก็มีชาวเมืองโกวาอีกมากที่ไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีแบบเห็นแก่ตัวแบบนี้ของท่านเจ้าเมือง ข้าคนหนึ่งละที่ไม่เห็นด้วย”
บารัตมองหน้าเบซานิ่งไปสักพัก แล้วเขาก็ยิ้มให้ 
          “ข้าเข้าใจ แต่ผลที่ตามมาเราคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว พี่ชายข้าตัดสินใจห้ามเดินเรือเหาะอีกต่อไป เพราะไม่อยากมีปัญหากับพวกโกวาอีก” บารัตส่ายหน้า “ถึงแม้ว่าข้าจะรู้สึกเสียใจและเสียดายที่ไม่ได้นำผลงานชิ้นเอกของแม่ข้าออกขึ้นบินอีกครั้ง แต่ข้าก็ต้องยอมรับความจริงในเรื่องนี้”
“ทำไมต้องให้ชาวโกวามากำหนดชีวิตของพวกท่านด้วยล่ะ” กัณหาโพล่งออกมา แหวนกับอาติหันมามองเธอพร้อมกัน “เรือเหาะกับท้องฟ้าหาใช่สมบัติของชาวโกวาเสียหน่อย เหตุใดต้องให้กฎของชาวโกวามากำหนดการใช้ชีวิตของท่านด้วยเหล่า”
          บารัตนิ่งไป “เราไม่อยากมีปัญหากับพวกโกวา”   
          “แปลว่าท่านจะทำอะไรก็ตามตามที่พวกโกวาเห็นสมควรงั้นหรือ” ช่วงค้านขึ้นเช่นกัน “เรือเหาะเป็นวัฒนธรรม เป็นจิตวิญญาณของชาวตาโกนันไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องให้พวกโกวามาชี้นำ มากำหนด มาควบคุมด้วยเล่า”
          “แล้วถ้าเป็นเจ้าจะทำอย่างไรละ พวกเราอยู่กลางป่าเขา ไม่ติดชายทะเลเหมือนพวกโกวา เราไม่มีท่าเรือดีๆรอต้อนรับ ถ้าพวกโกวาขัดขวางไม่ให้คนเข้ามาในป่า พวกเราก็ไม่มีลูกค้าอยู่ดี”
          “ถ้าเป็นข้า ข้าจะทำเองทั้งหมดนั่น” ช่วงตอบทันที “เมื่อไม่มีท่าเรือ ข้าก็จะสร้างท่าเรือ ถ้าไม่มีคนนำทางเข้ามาหมู่บ้านตาโกนัน ข้าก็จะหาลูกหาบของตนเอง ไปนำทางพวกเขาเข้ามาหาเรา ข้าจะฝึกทำเองทั้งหมดนั่น แม้ช่วงแรกมันอาจจะไม่ดีนัก แต่เข้าเชื่อว่า ถ้าพัฒนาไปทุกวันเราต้องทำเองได้ เหตุใดต้องงอมืองอเท้า รอพวกโกวานำลูกค้ามาส่งท่านด้วยเล่า”
          บารัตนิ่งไป ดูเหมือนคิดตรึกตรองอยู่ ช่วงยืดตัวนิ่งก่อนเอ่ยขึ้นมา 
          “หากเรือเหาะสำคัญกับท่านมากพอ ต่อให้มีกี่อุปสรรคข้าเชื่อว่าชาวตาโกนันก็จะหาทางแก้มันเพื่อให้การเดินเรือเหาะยังอยู่ต่อไป” 
           ทุกคนได้แต่พากันมองช่วงอย่างทึ่งเล็กน้อย ไม่มีใครว่าอะไรสักพัก จู่ๆบารัตก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า 
          “จริง การเดินเรือเหาะต้องอยู่ต่อไป”