ตอนที่ 5 : เดินทาง

 

ผ่านมาสามวันที่โดนกักบริเวณและอดอาหารร่างกายฮุ่ยหมินไม่ได้ผ่ายผอมกลับมีความนุ่มนวลมากขึ้น ปราณราชันขึ้น 10 ก็แผ่ไปทั่วจนทั้งเรือนดูมีความน่าเกรงขาม พี่น้องคนอื่นไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ต่างลือกันว่าฮุ่ยหมินได้เสียสติและมุ่งเข้าสู่วิถีปราณมืด เจ้าตัวก็ไม่ได้รับรู้อะไรนั่งกินไก่ผัดพริกสามสีกับข้าวสวยร้อนๆ ที่ฝึกทำเองมาหลายครั้ง ตอนนี้เรียกได้ว่าศาสตร์ทั้งสี่ [๖] การต่อสู้ การทำอาหาร การใช้ปราณและความรู้ของฮุ่ยหมินเทียบเท่ากับฮ่องเต้หรือเซียน

แม้ว่าจะเรียนอะไรเยอะแยะมากมายจนหมดทั้งหอสมุดแทบท่องกลับหลังได้แล้ว แต่ฮุ่ยหมินก็ยังไม่หยุดที่จะเรียนรู้ เลยคิดจะสร้างความสามารถทางด้านอาหารอีกด้วย อีกทั้งฮุ่ยหมินยังไม่ได้ตรวจสอบพลังตัวเองด้วยซ้ำแค่เดินลมปราณจนถึงขั้นเฉยๆ ซึ่งอยากจะบอกว่าแม่งใช้เวลาเยอะมาก กว่าจะขึ้นแต่ละขั้น โดยเฉพาะตอนขึ้นด่านราชัน นั่งเป็นปีๆ นับเป็น 9 ปีส่วนใหญ่ราชวงศ์จะฝึกลมปราณกันตั้งแต่ในท้องแม่เป็นกฎของราชวงศ์

แต่คนทั่วไปจะฝึกลมปราณกันตอน 5 ขวบ เพราะฉะนั้นถึงได้เรียกว่าโกงยังไงละ แต่ก็ต้องทำเพราะตัวเอกไง ตอนนี้ฮุ่ยหมินนั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิด คิดแล้ว คิดอีกว่าจะเป็นครูโดยการเปิดโรงเรียนให้หลายๆ คนมาเรียนจะรับพวกตัวเอกมาเรียนโดยเฉพาะแต่ก็จะให้คนอื่นมาเรียนด้วยเผื่อมาเป็นแข้งขาให้เขาไม่ก็ตัวเอกไว้

ระยะเวลาสามวันที่เข้าๆ ออกในจิตแห่งเนาวรัตน์หรือกำไลสีขาวเนี่ยทำเอาเขาเก่งขึ้นนะ ดาบ กระบี่ ธนู หอก ง้าว มีดสั้น ต่อสู้ระยะประชิดฝึกแม่งตลอด ฝึกกับทุกจิต จะมีสัตว์วิเศษที่แปลงร่างเป็นคนได้มาช่วยด้วยโดยเฉพาะคุณท่านเจ้าพระยาก๊อตจิล่าที่มาช่วยเรื่องต่อสู้ระยะประชิด เป็นคู่ประลองกระบี่กับมีดสั้นด้วยบ่อยๆ

"ท่านฮุ่ยหมินเจ้าค่ะ ถึงเวลาตื่นแล้วเจ้าค่ะ"

เสียงยายเย่วถิงที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้น ผมเดินไปประตูด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมมีมารยาท ดูดี เป็นผู้ดีมีการอบรมสั่งสอน ยกความดีความชอบให้สัตว์วิเศษท่านจิ้งจอกและท่านเค้าแมวที่สั่งสอนกันมา ภาพลักษณ์ดูดีมาก ยิ่งตอนอาบน้ำกับแม่น้ำปราณผิวนี่เปล่งจนตาพร่า รู้สึกสวยมากตัวกู ฮะฮะฮ่า!

"เชิญ"

ผมเบี่ยงหลบข้ารับใช้ชายที่แบกน้ำมาให้ ยายเย่วลอบมองหน้าผมก่อนจะทำตาโตแล้วก้มหน้าลงไม่พูดอะไร ผมอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณเสร็จก็พาตัวเองไปยืนรอที่ศาลากลางสระอย่างตอนแรกที่ทำหลังจากตื่นมาแล้วรู้ว่าเกิดใหม่ พี่น้องบางคนก็มาบ้างแล้วแต่ที่เตะตาสุดคือเสี่ยวหยางลูกชายคนโตที่ตอนนี้จ้องหน้าผมนานมาก ใบหน้าหวานเลิกคิ้วขึ้น แต่ไอ้เจ้าลูกคนโตก็หลบตาไปซะก่อน

ปัดโถ่ กะจะกวนตีนแม่งสักหน่อย

ถึงเวลาอาหารก็แบบว่ายิ้มแหยทันที ข้าวสวยหนึ่งถ้วย เนื้อหมูผัดเปรี้ยวหวาน ซุปปลามีเนื้อปลาสองชิ้นแล้วของหวานเป็นแตงโมสามชิ้นโรยด้วยปลาแห้ง พอมองไปที่ลูกรักทั้งสามแล้วรู้สึกพะอืดพะอม ข้าวสวยถ้วยใหญ่ เนื้อหมูผัดเปรี้ยวหวานที่มีหมูสามชั้นด้วย ซุปตัวปลาทั้งตัว กับผลไม้สามอย่าง

เหยดแม่ บ้านนี้มันจะรักลูกเท่ากันอะไรขนาดนี้

ตัวพ่อเดินมาเหลือบตามองผมนิดๆ ก่อนจะเบิกตากว้างแล้วเดินไปนั่งที่ตัวเองแล้วกินข้าว ไม่นานนัก ตะเกียบของตัวพ่อที่กระทบกับชามข้าวก็หยุดลง พร้อมกับคำเทิดทูนลูกชายคนโต การดูแลตัวเองจากลูกที่เป็นเกอคนโปรดแล้วก็ตามใจลูกคนเล็ก สักพักก็ลามไปลูกคนต่อมา

"ไม่เอาอย่างพี่ใหญ่เจ้าเล่า"

"เป็นเกอแต่ไม่มีความสามารถ"

"สอบขุนนางครั้งนี้ถ้าเจ้าไม่เอาอย่างพี่เจ้าคงได้ขายขี้หน้าวงศ์ตระกูล"

พอมาถึงตัวฮุ่ยหมิน ชายวัยกลางกลับเงียบลง

"เจ้าฝึกวิชารึ"

"ใช่"

"หึ เป็นแค่เกอเจ้ามีเพียงแค่เป็นขุนนางชั้นผู้น้อย ไม่ก็ไปแต่งงานเท่านั้นจะฝึกยุกธ์ฝึกวิชาไปไย"

โอ้โห ขึ้นครับ ขึ้น เหยียดมาก

"เป็นเกอแล้วอย่างไร เกอก็สามารถฝึกยุทธ์ได้"

"สามหาว! "

เสียงเสี่ยวหยางพี่ชายคนโตตะโกนใส่

"สามหาวอะไรของท่านพี่ ง่วงก็ไปนอน"

พี่น้องบางคนลอบหัวเราะใส่ จนพี่ชายกล้ามปูหน้าดำหน้าแดง

"เจ้าอย่าเถียงพี่ของเจ้า"

ตัวพ่อออกโรงปกป้องลูกชายตัวเอง แล้วยังไงวะ

"ข้าจะเถียงแล้วจะทำไม อดข้าวข้ารึ กักบริเวณข้ารึ ทำไมจะทำอะไรบอกเลยนะหากท่านทำอะไรไม่ยุติธรรมข้าจะหนีออกจากบ้าน ตัดขาดจากตระกูล เป็นพ่อคนประสาอะไร ทำลูกกำเนิดลูกได้แต่กลับให้ความสำคัญแค่สามคน คนที่เหลือเป็นอะไรคนรับใช้ท่านรึ"

กูฉอดเร็วมาก ดุจเดอะแรปเปอร์ พี่น้องทุกคนต่างอ้าปากค้าง ราวกับว่าไม่เคยมีใครด่าได้เร็วขนาดนี้ พอมองไปที่เสนาบดีที่ตัวสั่นเทิ้มก็รู้สึกตลกขึ้นมา สงสัยเป็นเรื่องจริงไม่เถียงสักคำ ทานข้าวมีแค่พ่อกับลูก แม่อยู่ไหนก็ไม่รู้ มันก็ดูออกแล้วว่าไอ้เสนาบดีเนี่ยมันต้องการจะทำอะไร สร้างตระกูลใหญ่และขยายอำนาจไง

"ออกไปจากตระกูลข้าซะ! "

"ถือว่าท่านไล่ข้าแล้ว จากนี้พ่อตายข้าก็จะไม่มาฝังศพ"

ว่าจบก็หยิบแตงโมมาเข้าปากแล้วเดินออกไปจากตระกูลทันที

 

...

 

ออกมาแล้ว!!

โอ๊ย นั่งนึกตั้งนานว่าจะออกจากตระกูลยังไงดี ในที่สุดก็ได้ออกมา ผมรีบเดินออกจากประตูใหญ่สู่โลกภายนอกชุดของตระกูลทำให้รู้สึกแหวะมาก ไม่ไหว ไม่โอเคเลยพาตัวเองเข้าโรงเตี๊ยม พักซักคืน วางแผนก่อนว่าจะทำอะไรดี ผ่านมาแค่ 5 วันเองโดนกักบริเวณไปสามวัน วันที่ 5 โผล่มาก็ออกจากตระกูล ว้าวซ่าจริงๆ ตัวกู

ฮุ่ยหมินออกมาเดินข้างนอกด้วยชุดสีน้ำเงินดำ ตัวในเป็นสีน้ำเงินทาบทับด้วยเสื้อนอกชายยาวสีดำแล้วคลุมด้วยผ้าโปร่งแสงปักดิ้นรูปดอกคอสมอสสีดำทำให้เห็นลายยากแต่ถ้าจ้องดีๆ จะเห็นลายมัน #อย่าปล่อยกะเทยเก้งกวางอยู่กับผ้า ผมยาวสีดำรวบไว้ครึ่งหัวไม่ได้ปักปิ่นหรืออะไรทั้งนั้นแค่ผูกด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินปลายของมันมีลายดอกคอสมอสสีดำ

ร่างโปร่งเดินทั่วตลาดและดูเหมือนว่าไม่มีใครจำเขาได้ จำได้ก็แปลกแล้วครับ ลูกเสนาบดีมีกี่คน จำนวนเท่าร้านค้าในตลาดเลยมั้ง ขายาวพาตัวเองเดินไปที่โรงจำนำ เขาจะมาแลกเปลี่ยนตั๋วเงินเป็นทอง เพราะต้องออกเดินทางไปแคว้นอื่นมันไม่เหมือนไปต่างเมืองเปรียบเมืองเป็นจังหวัด แคว้นก็คงเป็นประเทศ ค่าใช้จ่ายเยอะ

พอแลกทองมาได้จำนวนหนึ่งก็เดินออกไปที่คณะเดินทางไปสอบถามเกี่ยวกับเส้นทางไปแคว้นทางเหนือ ตัวเอกคนนี้จะเกิดแถวตอนเหนือนั่นแหละ พอได้ขบวนเดินทางแล้วก็กลับไปที่โรงเตี๊ยมแต่กลับเจอเกอคนงามลูกรักของเสนาบดีพ่อของฮุ่ยหมินในชาตินี้ ผมทำท่าไม่สนใจ เพราะไม่อยากยุ่งแต่กลับโดนขวางซะงั้น คิ้วโก่งดั่งคันศรเลิกคิ้วแล้วมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า

"อวดดี เหตุใดทำกิริยาเช่นนี้ใส่ท่านเฟยหมิง"

คนรับใช้ข้างหลังพูดใส่ผม ผมก็แค่ยักไหล่แล้วเดินไปอีกทางแต่คนตรงหน้าก็ยังขยับขวางอีก

"หากไม่หลบก็จะข้ามหัวไป"

กูพูดดีๆ แล้วนะ ขวางอยู่นั่นแหละ เป็นอะไร

"หึ ปากดี ถูกไล่ออกจากตระกูลแล้วยังกล้าพูดกับข้าอีก"

เฟยหมิงทำเสียงดูถูกใส่เขา ถามว่ากูแคร์มั้ย ก็ไม่

"ทำไมจะพูดไม่ได้ ไม่ได้เป็นใบ้จนต้องข้ารับใช้พูดแทน มีอะไรบอกมาไม่พูดจะได้กระโดดข้ามหัวเจ้าให้พ้นๆ "

"นี่เจ้า! "

"จะพูดไม่พูด"

เฟยหมิงถลึงตาใส่ ยกมือทำท่าจะตบแต่เขาใช้ปราณกระโดดข้ามหัวอีกคนไปแล้วเดินตรงต่อไม่สนใจคนข้างหลังที่อ้าปากเหวอ ทำหน้าตาตลกทั้งนายทั้งบ่าว

 

...

 

วันรุ่งขึ้น

 

ผมตื่นเช้ามาใส่ชุดคล้ายๆ ชุดเดิมแต่เป็นเสื้อคลุมโปร่งแสงเป็นลายอื่นเป็นลายเสือเดินบนหญ้าและมีพู่หินหยกสีขาวที่ขอมาจากท่านงูมาได้ลายอักษรจีนคำว่าฮุ่ย ที่แปลว่าฉลาด เอามาห้อยเอวปลายเชือกเป็นสีน้ำเงิน ร่างโปร่งเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมพร้อมร่มในมือที่กางบังแดดสีดำมีเชือกย้อยลงมาดูเกะกะ ไม่อยากจะอวดตอนไปรื้อของที่ร้าน เอ๊ย จิตมิติของท่านงูเพื่อหาผ้ามาเย็บเพิ่มก็ดันไปเห็นป้ายที่ติดคำว่า คลังอาวุธ 

ด้วยความเป็นคนน่ารักและไม่ชอบอยากรู้อยากเห็นมากเท่าไหร่ก็เข้าไปดูเห็นอาวุธละลานตามาก สะดุดใจกับร่มอันนี้สุดแล้ว เป็นร่มที่ทำให้คนอื่นตรวจจับพลังไม่ได้ว่าอยู่ปราณระดับไหนแถมยังหนักมาจนต้องถ่ายปราณถือพอถ่ายปราณลงไปมากพอร่มนี้จะสามารถเป็นอาวุธให้ได้ที่สำคัญที่สุดเลยคือบังแดดได้ 

ร่างโปร่งเดินไปยังคณะคาราวานเดินทางไปทางเหนือเถ้าแก่ของคณะถามว่าเตรียมรถมามั้ยถ้าไม่ก็ต้องไปนั่งรวมกับผู้อื่นแน่นอนผมไม่มีปัญหาเลยไปนั่งรวมกันซึ่งอารมณ์เหมือนนั่งรถสองแถวแต่มีวัวสองตัวลากเกวียนที่มีหลังคาคลุมด้วยผ้าหลายๆอันซ้อนทับกันในเกวียนมีพ่อค้าสองสามคนและครอบครัวพ่อแม่ลูกอยู่พอเขาขึ้นไปก็เต็มเรียบร้อย 

"อ้าว คุณชายจะไปทางเหนือรึ"

ผมพยักหน้ารับกับพ่อค้าในเกวียน ไม่ได้ตอบอะไรและหุบร่มเอามาวางบนตักนั่งเงียบๆไป เพราะร่มคันนี้ทำให้รังสีหรือออร่าของคนมีปราณขั้นราชันไม่ได้สร้างความกดดันให้คนบนเกวียนเท่าไหร่ เลยนั่งสมาธิฝึกปราณแม่งเพื่อจะได้ไม่เบื่อเกินไป คนอื่นเลยหันไปพูดกันไม่สนใจเขาอีก 

ผ่านไป 8 วันที่ใช้ชีวิตบนเกวียนและในป่าทำให้ตอนนี้ผมค่อนข้างเบื่อเล็กน้อย เลยต้องเข้าไปในมิติบ้าง ออกมาบ้างอีกนานกว่าจะถือทางเหนือเพราะพึ่งมาแค่ 8 วันเหลืออีก 12 วันตอนเช้าเดินทางกันพอพระอาทิตย์ตกดินก็จะแวะพักนอนในป่า ชุดที่ใส่ก็ใส่ชุดเดิม ไม่ได้เปลี่ยนอะไรแต่ก็อาบน้ำอยู่ เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากเท่าไหร่เพราะผมมาในสภาพไม่ได้เอาอะไรติดตัวมานอกจากร่มคู่ใจสีดำ คนอื่นๆก็ไม่ได้ยุ่มย่ามอะไรเพราะเขาดูน่ากลัวด้วยชุดสีดำมั้ง 

"เฮ๊ย เด็กน้อยคนนี้ลูกใคร"

เสียงดังขึ้นข้างหูของฮุ่ยหมิน เปลือกตาลืมขึ้นทันที ตอนนี้เป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ในป่าไม่มีใครเคาะบอกเวลาแต่มืดรอบด้านมีเพียงกองไฟหลายๆกองของคณะคาราวานที่จุดให้แสงสว่างมีคนรอบกองไฟบ้างนอน บ้างคุยกัน มีคนเฝ้ายามรอบๆ ดวงตากลมมองคนข้างๆ ที่ทำท่าไล่เด็กผู้ชายผมสีขาวในชุดสีขาวที่ยืนจ้องเขาไม่หยุด 

แปดวันมานี้ไม่มีเด็กผู้ชายผมสีขาวอยู่ในกองคาราวานเขามั่นใจและมั่นใจแน่ๆคือเด็กคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เพราะในโลกใบนี้คงไม่มีใครสีตาสีม่วงและปราณแผ่รอบๆแน่นอน ดูจากรูปร่างแล้วอายุก็คงไม่เกิน 7 ขวบปีด้วยซ้ำ เด็กน้อยเดินตรงมาทางเขาเรื่อยๆ เขาที่นั่งพิงต้นไม้นิ่งไม่ขยับไปไหนเพราะเด็กน้อยไม่ได้มีท่าทีคุกคามแต่อย่างใด 

"มีธุระอะไรกับข้า"

 

.

.

.

 

"ภรรยา"

 

ภรรยาพ่อมึงสิ 

 

 

 

______________________________________________________

 

[๖] ศาสตร์ทั้งสี่ = หมากรุก เขียนพู่กัน เล่นดนตรี แต่งกลอน