ตอนที่ 10 : โรงเรียนของเราน่าอยู่

 

 

3 เดือนผ่านไป

 

โรงศึกษารั้วดำ รับเด็กที่ต้องการใฝ่หาความรู้ ศิลปะป้องกันตัว และวรยุทธ์ เข้ามาศึกษา ตั้งแต่อายุ 7 ขวบปีขึ้นไป ค่าใช้จ่ายไม่มาก และมีทุนให้สำหรับเด็กที่ยากจน 

 

'โรงศึกษารั้วดำเขาว่ามีเซียนมาสอน'

'โรงรั้วดำนั้นมีแต่คนเก่ง มากฝีมือ ลูกหลานขุนนางแถบเหนือแย่งกันเข้าศึกษาที่นั้น'

'คนงานที่นั่นฉลาดเฉลียวมาก'

'ฮ่องเต้แทบจะพาองค์ชายทุกคนไปศึกษา'

 

 

ข่าวลือแพร่กระจายอย่างรวดเร็วฮุ่ยหมินแค่ตะลอนไปตามโรงเตี๊ยมใหญ่ๆ พูดคุยเสียงดังเกี่ยวกับโรงเรียนตัวเอง จากนั้นผู้คนก็กระจายข่าวให้ไม่พอ เพิ่มสีตีไข่อย่างหนัก ตอนนี้โรงเรียนฮุ่ยหมินมีเด็กตัวน้อยตบเท้าเข้ามาพร้อมพ่อแม่ที่เป็นขุนนางบ้างเศรษฐีบ้าง

ราคาค่าเรียนเขาเก็บเป็นเดือน เดือนละ 1 เหรียญทอง ถือว่าไม่แพงสำหรับชนชั้นขุนนางและพวกพ่อค้ารายใหญ่ แต่แพงสำหรับคนยากจนเช่นกัน 

ฮุ่ยหมินยืนมองทาส ไม่ใช่ เหล่าคนงานที่เขาซื้อมาลงทุนลงแรงสอนหนังสือให้อ่านออกเขียนได้พอสามารถแนะนำเด็กๆเกี่ยวกับการเรียนได้ คนงานตอนนี้กำลังเชิญให้เด็กทุกคนเขียนประวัติชื่อแซ่ และที่อยู่ใส่ในกระดาษ เด็กคนไหนเขียนไม่เป็นจะมีคนกำกับช่วยเขียน ชั้น 1 ของโรงศึกษาแออัดด้วยเด็ก ส่วนผู้ปกครองอยู่ด้านนอกฮุ่ยหมินให้หลินอวิ๋นเฝ้าและห้ามไม่ให้เข้า 

โรงเตี๊ยมรอบๆก็ถูกฮุ่ยหมินจับหุ้นให้เป็นที่พักแก่นักเรียนตัวน้อยไม่อนุญาตให้นอนที่โรงศึกษานอกจากจะเป็นเด็กทุนหรือเด็กยากจน 

ฮุ่ยหมินแบ่งเวลาสอนคือยามซื่อกับยามเว่ย[๑๐] ตอนยามซื่อจะให้นักเรียนเรียนชั้นสามกับสี่มีผมสอนเรื่องประวัติศาสตร์แคว้นนี้และยศในราชวงศ์ค์การเลื่อนขั้นสอบขุนนาง ยามเว่ยจะให้เรียนการต่อสู้กับหลินอวิ๋นบอกไปว่าไม่ต้องสอนให้เก่งมาก เวลาที่เหลือให้จมไปกับการบ้านกับคัดอักษรไป ถ้าว่างก็สามารถใช้ห้องสมุดกับลานกว้างได้ 

ทางด้านที่พักคนงานถูกย้ายไปตรงที่ดินที่ซื้อใหม่ ที่พักอันเก่าก็สร้างใหม่ให้เป็นเรือนเล็กๆสำหรับอยู่คนเดียวขนาดแค่พอนอนกับนั่งเรียนแค่นั้น ห้องน้ำใช้รวมแยกชายหญิง ไม่อนุญาตให้ไปป่าไผ่ 

ร่างโปร่งในชุดสีดำเหลือบน้ำเงินในมือกางร่มเหล็กสีดำมีเชือกสีแดงร้อยระย้าหลบแดดที่ส่องมาจนหน้าแทบดำ ใบหน้าสวยแต่สวยน้อยกว่าไอ้ลูกเทพนี้ ตากลมเหลือบมองร่างสูงในชุดสีขาวเหลือบน้ำเงินคล้ายๆชุดเดียวกับตัวเอง ใบหน้าหล่อเหลาราวกัับเทพเซียน ไม่ราวกับหรอกเพราะแม่งเป็นทั้งเทพทั้งเซียนจริงๆ หลินอวิ๋นเห็นคนรัก(ทึกทักว่า)ของตัวเองเดินมาก็รีบเข้าไปหาอาสาถือร่มให้ 

"ฮุ่ยเอ๋อร์ ออกมาทำไม ข้างนอกแดดร้อน"

มือหนาจับผ้าปลายแขนเสื้อซับเหงื่อให้อีกคน

"ได้ยินว่ามีขุนนางกับคนใหญ่คนโตไม่พอใจจะเข้ามาข้างในเหรอ"

หลินอวิ๋นพยักหน้า ผายมือไปทางเหล่าขุนนางบางคนทำหน้าบูดเบี้ยวบ้างมีพรรคอื่นๆในยุทธภพทำท่าจะเข้ามาแต่เข้ามาไม่ได้ 

"เจ้าทำอะไรกับพวกเขา"

"ข้าแค่กางเขตบางๆเอง"

ฮุ่ยหมินพยักหน้ารับ เดินเข้าไปใกล้ประตู

"เจ้าปิดกั้นเสียงด้วยเหรอ"

หลินอวิ๋นพยักหน้าพร้อมกับทำหน้าเหมือนต้องการคำชม

"เก่งมาก"

มือขาวลูบหัวคนตัวสูงกว่าเบาๆแล้วหันไปเผชิญหน้ากับพวกคนชนชั้นสูง! มือบางปัดผ่านข้างหน้าตัวเองแล้วเก็บไว้ข้างหลัง ทำท่าทางเหมือนพวกบัญฑิตที่ฉลาดล้ำ 

"ได้ยินว่าพวกท่านต้องการเข้ามาด้านในโรงศึกษาข้ารึ"

"ใช่ ข้าอยากรู้ว่าลูกข้าได้ที่ศึกษาอย่างดี"

"ข้าต้องการรู้ว่าด้านในดีพอหรือไม่'

"เหตุใดต้องเป็นความลับ ข้ากลัวลูกข้าลำบาก"

ใบหน้าหวานนิ่งสนิท ยืนฟังเงียบๆไม่พูดอะไรสักคำ มีแต่คนหน้าประตูเท่านั้นที่ส่งเสียงเรียกร้อง หลินอวิ๋นหยิบพัดมาพัดลมให้คนที่มีเหงื่อชื้น อากาศเวลานี้ร้อนจริงๆ ร่างสูงใส่ลมปราณเย็นๆให้ด้วยกลัวภรรยาจะร้อนเกินไป เหล่าคนที่ตอนแรกแย่งกันพูดเริ่มเงียบลงเมื่อคนหลังประตูทำท่าไม่ค่อยสนใจยิ่งบุรุษตัวสูงด้านหลังที่ปรนิบัติพัดวีใช้ปลายผ้าซับเหงื่อตามวงหน้าอีก 

"พูดจบแล้วหรือ"

"นี่เจ้า!"

คนที่ใส่ชุดคล้ายนักรบหยกข้างตัวแสดงถึงชื่อพรรคซักพรรคตะคอกเรียกบางคนก็ทำท่าอยากจะกระโจนเข้ามาตีคนชุดดำที่ทำหน้ามึนไม่รู้เรื่อง

"ไม่พอใจโรงศึกษาข้าก็บอกชื่อมาข้าจะได้พาลูกเจ้าออกไป แค่อาเขตค่ายกลบางๆยังเข้ามาไม่ได้ทั้งยังเรื่องมากอีก ข้าไม่ต้อนรับพวกกิริยาชั่วเรียกร้องเช่นนี้ ถ้ายังอยากให้ลูกท่านเรียนก็กลับไปโรงเตี๊ยมพวกท่านก่อนถ้าไม่บอกชื่อกับ อืม.. เจียงไปเรียกหลิวหยางมา"

ฮุ่ยหมินเรียกเจียงหนึ่งในเด็กสามคนที่ถูกตัดลิ้น เด็กหนุ่มตัวเริ่มพอดีในวัยเจ็ดหนาวโผล่มาจากไหนไม่รู้มาุคุกเข่าข้างร่างโปร่งรับคำเสร็จก็หายตัวไปอีกรอบทำให้พวกขุนนางบางส่วนเริ่มลังเลหนีถอยจากหน้าประตู สักพักมีเกอน้อยหน้าตาสวยหวานในชุดสีดำสะพายย่ามขนาดใหญ่เดินมายืนข้างๆ

"ท่านฮุ่ยหมินต้องการอะไรเหรอขอรับ?"

"สอบถามชื่อพวกเขาที่ต้องการเข้ามาในโรงศึกษาเรา แล้วเอาไปตรวจกับชื่อเด็กข้างในถ้าตรงกันก็พาเด็กออกไปเราไม่ต้อนรับ"

ว่าจบฮุ่ยหมินสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินกลับพร้อมร่างสูงข้างๆ 

 

 

...

 

 

และแล้วผลของการที่ฮุ่ยหมินพยายามสร้างชื่อเสียงก็สำริดผลใน 1 ปีถัดมา เด็กที่จบปี 1 ช่วงเทอมรอขึ้นปี 2 แทบทุกคนกลับบ้านไปรบเร้าขอพ่อแม่ลองสอบขุนนาง(ตามคำล่อลวง) ทั้งที่อายุไม่ถึง 10 หนาว ขุนนางกรมพิธีการบางเมืองจึงตัดปัญหาสร้างการสอบก่อนสอบจริงให้เด็กๆตบเท้าเข้ามาลอง แต่ต้องอ้าปากเหวอเมื่อเด็กเหล่านั้นดันสอบคะแนนเต็มเกินครึ่ง ส่วนใหญ่เป็นเด็กน้อยในโรงรั้วดำกัน ทำเอาพ่อแม่หลายคนเร่งพาลูกเข้าเรียน 

ฮุ่ยหมินดีใจจนปวดแก้ม เพราะเงินทองไหลมาเทมาจนต้องซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อสร้างโรงสูงรองรับนักเรียนที่มากขึ้น ไหนจะเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนที่ทำสัญญาเรียนจบและทำงานที่โรงรั้วดำต่ออีก 3 ปี 

หลักสูตรของฮุ่ยหมินเป็นหลักสูตร 3 ปี สอนครอบคลุมทั้งหมด ไม่ว่าจะความรู้ราชวงศ์หรือความรู้ทั่วไป คนงานสี่ห้าคนที่ฉลาดก็กลายมาเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์และความรู้ต่างๆ ส่วนเด็กสามจ. เจีย เจียง เจี้ยง ก็กลายเป็นนักรบเงา(?) ที่รอจังหวะลูกของเศรษฐีเหวินมาเรียนเพื่อแก้แค้น ระหว่างนั้นก็เนียนเป็นนักเรียนในโรงรั้วดำ 

หลิวหยางคนงามกลายเป็นหมอเทวดาในโรงรั้วดำที่ฮุ่ยหมินอนุญาตให้ใช้รั้วแถวเรือนอาจารย์และคนงานสร้างประตูเล็กๆรักษาคน โดยไม่เปิดเผยหน้า มีพรรคมาร พรรคธรรมะ พรรคอธรรม ต่างเดินทางมาขโมยหมอเทวดา น่าสงสารที่ผ่านอาณาเขตของหลินอวิ๋นไม่ได้สักที 

ตอนนี้โรงรั้วดำเป็นที่พอใจของฮุ่ยหมินมาก รออีก 5 ปี 6 เดือนพระเอกก็จะเกิด แต่กว่าจะถึงเวลานั้น...

 

"ภรรยา เมื่อไหร่เจ้าจะแต่งงานกับข้า"

 

เอาลูกเทพนี่ไปเก็บก่อนละกัน =_=

 

 

.........................................................................

 

[๑๑] ยามซื่อ : 09.00 – 10.59 น ยามเว่ย : 13.00 – 14.59 น.