เสียงปี่ กลอง ทับ ประโคมดนตรีดังคลอไปกับเสียงพากย์ละคร ทำให้บริเวณลานกลางเมืองที่เคยเงียบเหงาเต็มไปด้วยเสียงดนตรี ตัวละครที่เป็นเงาหลากสีขยับเขยื้อนโบกไม้โบกมืออยู่หลังผ้าฉากสีขาว กัณหามองดูละครอย่างไม่วางตาเพราะในชีวิตนี้เธอไม่เคยเห็นละครแบบนี้มาก่อนเลย ชาวเมืองศรีวิชัยจำนวนมากนั่งอยู่เบื้องหน้าพวกเขากำลังรับชมละครนี้อย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน

            “ละครแบบนี้เขาเรียกว่ากระไรนะ” เธอถามอาติโดยไม่ละสายตาจากละคร

            “หนังตะลุง” อาติตอบ “ที่วังมุกก็มี แต่ตอนที่เจ้าไปไม่ได้เอามาแสดงให้ดู เจ้าชอบรึ”

            “แปลกดี ฉันไม่เคยเห็นเรื่องรามเกียรติ์แสดงในแบบหนังตะลุงมาก่อน สนุกมากกว่าแสดงแบบโขนอีก” กัณหามองจอหนังอย่างไม่วางตา

            “ข้าว่า การแสดงโขนของอยุธยานั้นสนุกมาก ข้าเคยดูครั้งหนึ่งตอนเด็กๆ ข้าชอบที่ตัวละครเดินออกมาเป็นตัวๆ ดูหนังตะลุงมันมีแต่เงา ข้าดูจนเบื่อ”

กัณหาหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอนึกถึงที่เที่ยงเล่าให้เธอฟังนานแล้ว

 

            “อยู่แบบไหนก็มีสิ่งที่มนุษย์เป็นเหมือนกันหมดทุกคน”

            “อะไร”

            “ไม่พอใจในสิ่งที่เรามีไง ขอรับ”

 

            

            “เจ้าขำอันใด”

            “จริงๆแล้วฉันไม่ชอบเรื่องรามเกียรติ์เลยน่าเบื่อมาก” กัณหาเล่าไปอีกเรื่อง “แต่พอมาดูแบบหนังตะลุงกลับสนุกดี แปลกมาก”

            “ทำไมเจ้าไม่ชอบเรื่องรามเกียรติ์” อาติข้องใจ ก็ที่ผ่านมาเขาเห็นพวกอยุธยาชอบแสดงเรื่องนี้กันนี่นา

            “ฉันไม่ชอบพระเอกของเรื่อง พระรามนะ ดูไม่เป็นสุภาพบุรุษ อ่อนแอ เหยาะแหยะ ฉันไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมทุกคนในเรื่องถึงเคารพพระรามนัก ฉันไม่เห็นว่าพระรามจะเก่งตรงไหน เวลาออกรบก็ใช้ให้หนุมานไปตลอด ตัวเองละไม่เคยขยับทำอะไร ปล่อยให้คนอื่นล้มตายเพื่อปกป้องตัวเอง” กัณหายักไหล่ “ฉันว่าฉันชอบยักษ์อย่างกุมภกรรณมากกว่า ดูมีคุณธรรมและความสามารถก็มากกว่าพระราม”

            “ข้าชอบหนุมาน” อาติเล่าเรื่องของตนบ้าง “ดูเป็นลิงที่มีฉลาด มีอิทธิฤทธิ์มาก แล้วเจ้าละ แหวนชอบตัวไหน”

            แหวนหันมามองพวกเขาแล้วก็ตอบห้วนๆว่า “ไม่รู้สิ ข้าไม่เคยดูเรื่องรามเกียรติ์มาก่อน ชีวิตข้าไม่ค่อยได้ดูมหรสพสักเท่าใด วันๆข้าทำแต่งาน แล้วก็งาน” 

อาติกับกัณหาชะงักนิ่งไปสักพัก ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จะพูดอะไร

            “รามเกียรติ์ก็ไม่ได้สนุกขนาดนั้นหรอก” อาติเปลี่ยนข้างทันที “ยิ่งดูยิ่งน่าเบื่อ” 

            “จริง มีแต่สงครามสู้กัน หาความสนุกเป็นไม่มี” กัณหาส่ายหน้า “พระรามก็ไม่ได้เรื่อง”

            แหวนได้เห็นการเปลี่ยนท่าทีของทั้งสองอย่างฉับพลันก็อดขำไม่ได้

            “ข้าแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้น้อยใจกระไรหรอก” แหวนว่า “เพราะข้าก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่าตัวไหนเหมือนกัน ไอ้ที่ดูจากหนังตะลุงนี่ก็งง ตัวไหนเป็นตัวไหนมีหลายชื่อเหลือเกิน ส่วนที่ดูรู้เรื่องคือมีลิงกับยักษ์สู้กัน แต่ถ้าให้เลือกข้าง ข้าลงข้างฝั่งยักษ์มากกว่า”

            “เยี่ยม” กัณหาดีใจใหญ่ 

            “สรุปว่ากุมภกรรณ ยักษ์ตัวสีเขียวนั่นแพ้” อาติชี้ไปที่เงาสีเขียว 

            “เจ้ารู้เรื่องหมดแล้วก็ดูไม่ตื่นเต้นนะสิ” แหวนออกความเห็น “ยักษ์จะแพ้ลิงได้ไง ยักษ์นอนทับลิงก็ตายหมดแล้ว”

            กัณหา อาติและแหวนหัวเราะประสานเสียงกันอย่างเฮฮา ช่วงได้แต่นั่งดูท่าทีที่สนิทสนมเป็นมิตรกันของทั้งสาม แล้วนึกไม่ออกว่าคนจากสามชนชั้นจะมาเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร

            คงจะเป็นดวงชะตาพัดพามาให้เจอกัน

            ช่วงหันไปมองรอบๆตัว สองสัปดาห์ผ่านไปหลังจากพวกเขาจับได้ว่าท่านชายฮารุนเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องวุ่นวายทั้งหมด กรมการเมืองและพวกของท่านชายฟีราซก็จับกุมฮารุนและพวกจำนวนมากไปขังไว้เพื่อรอการดำเนินคดี ระหว่างนี้สภาพในเมืองศรีวิชัยหรือเมืองปาเล็มเปลี่ยนไปชัดเจน ชาวเมืองเริ่มกลับออกมาทำมาหากิน เริ่มมีการซ่อมแซมท่าเรือและเรือสินค้า ทางเดินในเมืองเอง เริ่มกลับมาคึกคัก และคืนนี้เป็นคืนแรกที่มีการจัดมหรสพฉลองภัยพิบัติที่เพิ่งผ่านพ้นไป

            “ท่านช่วง” เสียงกาเจียร์ดังขึ้นไม่ไกลนัก ช่วงหันไปมอง เห็นเขาเดินมานั่งลงข้างๆก่อนเอ่ยว่า “ข้าได้ยินเจ้าของโรงแรมบอกว่า ท่านอยากจะออกเดินทางพรุ่งนี้เลยรึ”

            “ใช่ ถ้าเรือที่ไปเกาะสุลาวารีพร้อม ข้าก็จะออกเดินทางเลย” ช่วงตอบทันที 

            “ใจจริง ข้าอยากชวนท่านและพวกเด็กๆอยู่รอเฉลิมฉลองเจ้าเมืองคนใหม่ก่อน แต่ข้าเข้าใจดีว่าท่านมีธุระสำคัญ จะรอนานไม่ได้ ข้าปรึกษากับท่านกรมการเมืองแล้ว ทางเราจะจัดเรือเป็นพิเศษให้ไปส่งท่านถึงเกาะสุลาวารีในวันพรุ่งนี้ ถือว่าเป็นการขอบคุณที่ท่านเสียสละเวลามาช่วยเรา”

            “ขอบคุณมาก” ช่วงค่อมหัวให้เขา

            “แล้วก็…” กาเจียร์แบมือออกมา บนฝ่ามือมีสร้อยคอสีเงินสี่เส้น

            “นี่คือ…”

            “สร้อยภาษา” กาเจียร์บอก “ชาวปาเล็มเราไปค้าขายต่างถิ่นอยู่บ่อยครั้ง อุปสรรคที่เราพบเจอเสมอคือ ภาษาที่แตกต่าง นี่คือเคล็ดลับความสำเร็จของเรา สร้อยเงินพวกนี้ลงอาคมพิเศษทำให้ท่านสามารถเข้าใจภาษาของคนต่างถิ่นได้ และสามารถสื่อสารภาษาที่ท่านได้ยินได้ด้วย สร้อยพวกนี้หายากมาก เนื่องจากในเมืองปาเล็มเราไม่มีหมออาคมเอง ต้องแสวงหามาจากที่อื่น เราจึงถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีราคา พวกเราจึงขอมอบให้ท่านเป็นเครื่องแสดงไมตรีจิตของพวกเรา”

            “จริงหรือ” ช่วงมองอย่างตกตะลึง “ข้าไม่ทราบเลยว่ามีอาคมแบบนี้ด้วย อย่างไรก็ตามขอบคุณมาก”

            “จริงๆแล้วเหล่ากรมการเมืองอยากจะให้จัดพิธีแสดงความขอบคุณพวกท่าน แต่ช่วงนี้พวกเรายุ่งมาก ต้องเร่งซ่อมแซมท่าเรือและเรือที่เสียหาย ถ้าท่านอยู่ถึงงานฉลองเจ้าเมืองใหม่ เราน่าจะได้มีโอกาสจัดพิธีแสดงความขอบคุณให้แก่ท่านและเด็กๆด้วย ท่านไม่น่ารีบเดินทางเลย”

            “แค่ท่านให้สร้อยอันมีค่าแก่พวกข้า ข้าก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว” ช่วงค่อมศีรษะให้เขา “ข้ารู้ว่าตอนนี้ชาวเมืองปาเล็มกำลังเร่งฟื้นฟูบ้านเมือง อย่าให้ต้องมีพิธีรีตองอะไรให้ต้องลำบากพวกท่านเลย”

            “แล้วรถม้าของท่านเล่า จะให้เก็บไว้ที่นี่รอท่านเดินทางกลับมาที่นี่หรือไม่” กาเจียร์ถามต่อ

            “ไม่จำเป็น พรุ่งนี้ข้าจะปล่อยพวกมันกลับเขาริมอ่าว พวกมันเป็นม้าวิเศษรู้เส้นทางดี พวกมันสามารถกลับเขาริมอ่าวเองตามลำพังได้”

            “แล้วพวกท่านจะได้มีโอกาสแวะกลับมาที่นี่บ้างหรือไม่”

            “ข้าเองก็ยังไม่รู้เลย” ช่วงตอบ “แต่ถ้ามีโอกาสข้าจะพาเด็กๆกลับมาแน่นอน”

            กาเจียร์ยิ้มให้กับช่วงอย่างอ่อนโยน

 

 

 

            ธงและใบเรือสำเภาปลิวไสวตามแรงลม ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆ คลื่นในทะเลค่อยๆม้วนตัวเข้าฝั่งอย่างช้าๆ สภาพอากาศเช่นนี้ช่างเหมาะสมแก่การออกทะเลยิ่งนัก ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างถูกจัดเตรียมและขนย้ายไปยังเรือสำเภาลำใหญ่ที่จะพาพวกเขาเดินทางไปเกาะสุลาวารีหมดแล้ว ขาดก็แต่ผู้โดยสารที่ยังร่ำลาเหล่าบรรดาชาวเมืองที่พากันแห่มาส่งพวกเขาขึ้นเรือ หลายคนมีขนมหรืออาหารแห้งมามอบให้พวกเขาเอาติดตัวไปด้วย 

            “ข้าคงคิดถึงเมืองนี้มากแน่เลย” แหวนถอดถอนใจ “ชาวเมืองที่นี่น่ารักและมีน้ำใจจริงๆ”

            “นั่นสิ” กัณหาเห็นด้วย เธอรู้สึกใจหายไม่น้อย ตลอดสองสัปดาห์ที่พักที่เมืองนี้ระหว่างรอท่าเรือและเรือซ่อมเสร็จ พวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเมืองจนทำให้รู้สึกว่าไม่อยากจากเมืองนี้ไปเลย แล้วที่สำคัญตอนนี้พวกเขากำลังเดินขึ้นเรือลำใหญ่เพื่อออกเดินทางยังดินแดนที่ห่างไกลจากกรุงศรีอยุธยามากขึ้นทุกที โดยที่ไม่รู้ว่าคนในดินแดนนั้นจะเป็นอย่างไร จะอยากต้อนรับพวกเขาหรือไม่ แค่คิดกัณหาก็รู้สึกใจหายมากกว่าเดิม

            “ไปเถอะ” ช่วงว่า “ร่ำลากันพอสมควรแล้ว”

            “ลาก่อนทุกคน” อาติตะโกนอย่างร่าเริง 

            “ลาก่อน” มีเสียงจากชาวเมืองตอบกลับมา หลังจากนั้นกัณหา อาติ ช่วง และแหวนทยอยเดินขึ้นเรือ เรือค่อยๆแล่นออกจากท่าเรือพร้อมกับเสียงตะโกนอวยชัยให้พรจากชาวเมือง พวกเขาโบกมือลาชาวเมืองจนลับสายตา

            “เราจะได้กลับมาที่นี่อีกไหมคุณหนู” แหวนถามอย่างเศร้าๆ หลังจากพวกเขาออกจากชายฝั่งมาสักพัก “ข้าชอบคนที่นี่เหลือเกิน”

            “ไม่รู้เหมือนกัน” กัณหาถอนใจ “ไป อย่าเศร้าเลย ไปปล่อยจี้ดออกมาดีกว่า คงเบื่อการต้องอยู่ในกรงเต็มทีแล้ว”

            “จี้ด” แหวนทวนคำแล้วก็หัวเราะ “ท่านเรียกเจ้านกนั่นว่าจี้ดตามข้าแล้วรึ”

            อาติกับกัณหาหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ตั้งแต่แหวนฟื้นมาก็เรียกเจ้านกน้อยว่าจี้ดทุกวัน จนนานๆไปกัณหาชักเริ่มชินและแอบเรียกตามมาหลายทีแล้ว แถมพักหลังๆเจ้านกก็ดูเหมือนจะยอมรับชื่อนี้ไปเองโดยไม่รู้ตัว

            “ข้าขอถามอะไรหน่อยสิ” อาติแทรกขึ้นมาระหว่างที่พวกเขาเข้าไปที่ห้องพักภายในเรือ “ทำไมเจ้าต้องเรียกนางว่าคุณหนูด้วย เรียกกัณหาเฉยๆไม่ได้รึ ข้าสังเกตมาหลายทีแล้ว”

            แหวนชะงัก หันมามองกัณหา 

            “ก็… ท่านเป็นคุณหนูของข้า”

            “เจ้าหมายถึง เจ้าเป็นคนใช้ของนางหรือ” อาติถามต่อ แหวนแอบมองมาทางกัณหา

            “ก็ไม่เชิง ข้ากับแม่เป็นทาสของเศรษฐีคนหนึ่งในอยุธยา คุณหนูมาเจอเข้าเลยจ่ายเงินช่วยปลดปล่อยข้ากับแม่ข้าจากการเป็นทาสของเศรษฐี” แหวนแต่งเรื่องทันควัน “ข้าก็เลยถือว่านางเป็นคุณหนูของข้ามานับตั้งแต่นั้น” 

            “อือ อย่างนี้นี่เอง แล้วพวกเจ้าไปจะไปทำอะไรกันที่เกาะสุลาวารีหรือ” อาติยังคงถามไม่หยุดขณะที่กัณหาเปิดเข้าไปในห้องพักของเธอกับแหวน

            “เราจะไปหาเรือเหาะเหมือนเธอนะสิ” กัณหาตอบ เธอเดินไปเปิดประตูกรงสีทองที่มีเจ้านกน้อยจี้ดหลับอยู่ “เราต้องการพบกับเจ้าของเรือเหาะ”

            “อ้าว ไปที่เดียวกันเลย” อาติดูดีใจ กัณหาเอามือเคาะกรงปลุกเจ้านกน้อย

            “อือ” เจ้านกน้อยลืมตา 

            “สายแล้ว จี้ด ตื่น” แหวนตะโกนใส่นก เจ้านกน้อยสะดุ้งลุกขึ้นมามองพวกเขาอย่างตกใจ

            “อะไร มีอะไร” นกน้อยหันไปมองรอบตัว “เสียงดังแต่เช้าเชียว

            “นี่สายแล้วนะ เราขึ้นเรือแล้ว ออกบินได้” แหวนบอก “ออกไปข้างนอกไหมจี้ด”

            “พุทโธ่” เจ้านกน้อยถอนใจแล้วหงุดหงิดขึ้นมา “บอกเบาๆก็ได้ จะตะโกนทำไมกัน”

            “ไป ข้างนอกกันเถอะ จี้ด” กัณหาชวน เจ้านกพยักหน้าก่อนโผบินออกไป

 

 

            

            กัณหา อาติ และแหวนมานั่งเล่นกันที่ดาดฟ้าเรือ มีเจ้านกน้อยบินวนอยู่รอบตัวพวกเขาอย่างร่าเริงที่ได้มีโอกาสโผบินเสียสักที หลังจากถูกกักตัวให้อยู่แต่ในห้องพักในช่วงที่อยู่ในเมืองศรีวิชัย ลูกเรือหลายคนที่เห็นต่างพากันชี้ชวนให้ดูนกการเวก แต่เจ้านกไม่สนใจ อากาศตอนเช้าวันนี้เย็นสบาย น้ำทะเลข้างใต้กระเซ็นขึ้นมากระทบใบหน้าพวกเขาเป็นพักๆ รอบเรือของพวกเขามีแต่ท้องทะเลสีน้ำเงินสดใสและเกาะน้อยใหญ่ ค่อยๆผ่านตาไป พวกเขาชี้ชวนกันดูเกาะแก่งต่างๆและผลัดกันซักอาติเรื่องเส้นทางไปเกาะสุลาวารี

            “ข้าเคยไปตอนเด็กแค่ครั้งเดียว” อาติเล่าให้ฟัง “ เกาะสุลาวารีเป็นเกาะใหญ่อยู่ทางใต้เราไปอีก มีป่าเขียวชอุ่ม มีนกนานาพันธุ์ มีผลไม้อร่อยๆให้กินเยอะ”

            “เยี่ยม ข้าจะต้องไปชิมผลไม้ให้ทั่วทั้งเกาะเลยเทียว” แหวนมีสีหน้ามุ่งมั่นมากจนอาติขำ 

            “อีกนานแค่ไหนเราถึงจะไปถึงเกาะสุลาวารีละ” กัณหาพลอยตื่นเต้นไปด้วย

            “ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” อาติตอบ

            “อีกประมาณสองสัปดาห์” เสียงตอบกลับมาจากชายคนหนึ่งร่างสูง ผิวเข้มท่าทางดุดันที่กำลังยืนดูทะเลไม่ไกลจากพวกเขานัก ทั้งสามมองชายคนนั้นอย่างประหลาดใจ 

            “ข้า แอเรียน” เขาส่งยิ้มให้ทั้งสาม ใบหน้าดูอ่อนโยนลง “เป็นหัวหน้าคนขับเรือลำนี้ ดีใจที่ได้ต้องรับเจ้าทั้งสามนะ”

            “ยินดีเช่นกันจ้ะ” กัณหายิ้มตอบ อาติยิ้มให้เขาด้วยเช่นกัน ในขณะที่แหวนยังมีท่าทีไว้วางใจ

            “เราใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ในการเดินทาง เราจะแวะกลางทางที่เกาะระกาตา และเกาะการายา เกาะละหนึ่งถึงสองวันแล้วก็มุ่งตรงสู่เกาะสุลาวารี” เขาเล่าแล้วก็ชี้มือออกไปที่ขอบฟ้าไกลๆ 

            “ทำไมเราต้องแวะหลายเกาะด้วยล่ะ ท่าน” แหวนถามเขา “ตรงไปเกาะสุลาวารีเลยไม่ได้หรือไร”

            “เกาะสุลาวารีอยู่ไกลมาก เราไม่สามารถตุนเสบียงที่เป็นของสดได้นานขนาดนั้น และเจ้าก็คงไม่อยากกินแต่ปลาเค็มแห้งทุกวันหรอกจริงไหม การแวะเติมเสบียงระหว่างทางสะดวกกว่า เราไม่ต้องขนเสบียงที่เป็นของสดที่เน่าเสียได้ง่ายมาก และเราก็ยังแวะขายของระหว่างทางได้ด้วย” แอเรียนอธิบาย “เชื่อข้าเถิด ถ้านั่งเรือนานๆเจ้าจะดีใจมากที่ได้แวะเกาะ เกาะระกาตากับการายาเองก็สวยงาม  ถ้าได้แวะแล้วเจ้าจะไม่อยากกลับเลย”

            “ท่านเดินเรือบ่อยหรือ” กัณหาถาม พยายามชวนเขาคุยอย่างเป็นมิตร

            “ตลอดชีวิตของข้าเลย ข้าไปค้าขายมาแทบทุกเมืองแล้วในย่านนี้ การออกเดินเรือถือเป็นชีวิตของข้าทีเดียว” แอเรียนเล่าอย่างภาคภูมิใจ

            หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็นั่งคุยกับแอเรียนอย่างสนุกสนาน โดยมีเจ้านกการเวกนั่งฟังพวกเขาด้วยท่าทีเบื่อหน่ายเพราะพูดคุยกับพวกเขาไม่ได้ด้วยกลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าตนพูดภาษามนุษย์ได้ กัณหาบอกได้ว่าชายนักเดินเรือผู้นี้ขี้โอ่หลงตัวเองอยู่บ้าง เขาเล่าเรื่องราวการเดินเรือไปค้าขายตามหมู่เกาะให้พวกเขาฟัง และยังพาพวกเขาเดินดูห้องต่างๆภายในเรือ รวมทั้งแนะนำคนที่ทำงานภายในเรือลำใหญ่นี้ให้พวกเขารู้จักด้วย ทุกคนบนเรือต่างยิ้มแย้มให้พวกเขาอย่างเป็นมิตร ส่วนใหญ่ทักถามเรื่องนกสีน้ำตาลแดงสลับทองที่เกาะไหล่กัณหา ทุกคนต่างชอบนกตัวนี้ บอกว่าอยากหามาเลี้ยงสักตัว

            “ข้าเบื่อประโยคนี้จริงๆ” เจ้านกการเวกบ่น “ข้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ” 

 

 

 

            สี่ห้าวันหลังจากนั้นเป็นช่วงที่กัณหาเข้าใจความหมายของแอเรียนว่า การได้พบเกาะกลางทะเลนั้นน่าดีใจแค่ไหน เพราะทะเลรอบตัวที่พวกเขาผ่านตอนนี้มีแต่ผืนน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีอะไรดึงดูดใจมากกว่านี้เลย ความรู้สึกของกัณหาตอนนี้ช่างเหมือนกับช่วงที่นั่งเรือมาดประทุนของเที่ยงไปเขาริมอ่าวไม่มีผิด กัณหาแทบจะลืมความรู้สึกนี้ไปแล้วจนกระทั่งได้มาขึ้นเรืออีกครั้ง แต่ต้องยอมรับว่า การขึ้นเรือสำเภาลำใหญ่สบายกว่า เพราะมีที่ทางให้พวกเขาเดินยืดเส้นยืดสายมากกว่าตอนนั่งเรือมาดประทุนของเที่ยง แต่ความรู้สึกของการนั่งเรือรอให้ถึงฝั่งนั้นแทบไม่ต่างกัน

            ในเช้าวันที่ห้าหลังจากขึ้นเรือสำเภามา กัณหาชวนเจ้านกน้อยขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือตอนเช้าเหมือนเช่นทุกวัน แต่เช้าวันนี้แปลกออกไป เมื่อเธอมายืนที่หัวเรือก็เห็นท้องฟ้ามืดครึ้มอยู่ไกลๆเหมือนว่าบริเวณนั้นน่าจะมีฝนตก ดูเหมือนว่าเรือของพวกเขากำลังเคลื่อนเข้าไปใกล้บริเวณที่ท้องฟ้ามืดครึ้มนั่นทุกที กัณหามองไปรอบๆเห็นหนึ่งในลูกเรือกำลังดูบริเวณนั้นอยู่เช่นกัน

            “เราจะไปตรงนั้นหรือจ้ะ” กัณหาตรงเข้าไปถามเขา 

            “ใช่แล้ว ตรงที่มืดมัวนั่นแหละ ไปทางนั้นเรื่อยๆจะเจอเกาะระกาตา” ชายคนนั้นบอกสีหน้าดูไม่สบายใจนัก “แต่ข้าไม่แน่ใจว่าตรงที่มัวๆนั่นคือฝนหรือไม่ มันดูดำมากเกิน จนเหมือนกลุ่มควันมากกว่า หรือเจ้าว่าไง”

            “นั่นสิจ้ะ ดูมัวๆชอบกล จะไม่เป็นอะไรใช่ไหมถ้าเราเข้าไปใกล้”

            “ไม่รู้เหมือนกัน ข้าจะไปแจ้งหัวหน้าก่อน” ชายคนนั้นรีบผละจากไป

            “ข้าว่ามันเป็นฝุ่นควันนะ” เจ้านกน้อยบอก “มีอะไรเกิดบนเกาะนั่นหรือเปล่า”

            เรือของพวกเขาเข้าไปใกล้ขึ้นทุกทีๆ สักพักแอเรียนกับลูกเรือสามสี่คนวิ่งขึ้นมาที่ดาดฟ้าเรือกล้องส่องทางไกลมาด้วย

            “เหมือนกลุ่มควันอะไรบางอย่างเลย” ลูกเรือคนหนึ่งพูดขึ้นมาระหว่างส่องกล้อง “เราจะเข้าไปดีหรือ”

            “ลองเข้าไปก่อนแล้วกัน ถ้าอันตรายมากค่อยหันเรือกลับ” แอเรียนสั่ง “ถ้าเราไปทางนี้เรื่อยๆเย็นวันนี้น่าจะถึงเกาะระกาตา”

            ตอนสายวันนั้นเรือของพวกเขาเข้าไปในเขตที่ท้องฟ้าดูมืดครึ้มนั่น เป็นจริงตามที่ลูกเรือบอกว่ามันมาใช่เมฆฝนแต่เป็นกลุ่มควันสีเทาที่ลอยเอื่อยๆ บดบังท้องฟ้าที่สดใสไปจนหมด แต่นอกจากกลุ่มควันแล้ว ทะเลบริเวณนี้ก็ดูสงบนิ่งดี แอเรียนจึงไม่ได้ให้เปลี่ยนทิศทางเรือ 

            จนช่วงบ่ายท้องฟ้ามืดครึ้มลงกว่าเดิม กัณหา ช่วง อาติ แหวนและเจ้านกน้อยมายืนกันอยู่ที่หัวเรือพร้อมกับลูกเรือบางส่วน ตอนนั้นเองที่พวกเขาได้เห็นสิ่งที่เป็นต้นเหตุของหมอกควันสีเทาดำเหล่านี้

            เบื้องหน้าพวกเขาภูเขาลูกใหญ่ดำทะมึนกำลังพ่นอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเปลวไฟสีแดงส้มออกมาพร้อมควันสีเทาดำออกมาจำนวนมาก ควันนั้นลอยสูงขึ้นไปในท้องฟ้าหลายร้อยวา จนบดบังดวงอาทิตย์และท้องฟ้าได้เกือบหมด พวกเขาได้กลิ่นแปลกๆคล้ายกลิ่นไข่ต้มลอยมาแต่ไกล ดูราวกับว่ามีการจุดไฟต้มไข่กองยักษ์อยู่ในภูเขาลูกนั้น

            “นั่นมันอะไรนะ” กัณหาตื่นตกใจไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

            “นั่นคือ ภูเขาไฟ” แอเรียนบอกอย่างภาคภูมิใจ “ข้าเคยได้ยินชาวเมืองบอกเล่าให้ฟังอยู่ ไม่คิดว่าจะได้เห็นมันด้วยตาตนเองตอนนี้ น่าตื่นเต้นเสียจริง”

            “น่าตื่นเต้น” แหวนทวนคำด้วยน้ำเสียงตกใจ “น่ากลัวมากกว่า ข้าว่าเราหันหลังกลับดีกว่าไหม ดูท่าทางไม่น่าปลอดภัยเลย” 

            “นั่นสิ” ช่วงเห็นด้วยกับแหวน “ข้าว่าดูไม่น่าปลอดภัยเลยนะ ภูเขาลูกนั่นอาจจะระเบิดได้”

            “ไม่เอาน่า อย่ากลัวนักเลย เกาะระกาตามีภูเขาไฟมากมายนะ เคยมีภูเขาไฟปะทุมาแล้วเหมือนกัน ข้าเคยได้ยินเขาเล่ากัน เขาบอกว่ามันจะพ่นควันกับลาวาออกมาสักพัก หนึ่งถึงสองสัปดาห์ก็หยุดเอง ไม่ต้องกลัวหรอกเมืองที่เราจะไปแวะ ชื่อ เมืองงาวี อยู่อีกฟากหนึ่งของเกาะห่างจากภูเขาไฟลูกนี้พอสมควร ไม่ต้องห่วงลาวาพวกนี้ไหลไปไม่ถึงแน่นอน”

            ทุกคนได้แต่มองหน้ากันอย่างตื่นๆ

            “ลาวา คือ อะไรหรือ” กัณหาหันไปถามแอเรียน 

            “เจ้าสิ่งที่เหมือนลูกไฟแดงๆที่ออกมาจากปล่องภูเขาไฟนั่นไง” แอเรียนชี้ไปที่ปากปล่องภูเขาไฟ

            “มันดูเหมือนลูกไฟกำลังจะระเบิดเลย” กัณหาท้วงแอเรียน “ท่านแน่ใจรึว่าเข้าไปบนเกาะได้ มีควันโขมงขนาดนี้”

            “ไม่ต้องกลัวหรอกน่า เด็กน้อย ข้าบอกแล้วว่าเป็นเรื่องปกติของเมืองนี้” แอเรียนดูมั่นใจมาก

            “เราหันกลับเสียไม่ดีกว่าหรือ แอเรียน” ลูกเรือคนหนึ่งพูดขึ้นมา “เราไปแวะเกาะอื่นแทนก็ได้ อย่าเข้าไปเลยนะ ข้าว่า”

            “เจ้าพวกโง่ ขี้ขลาดเสียจริง” แอเรียนเอ็ดใส่ลูกเรือคนนั้น “พ่อค้าคนสำคัญที่งาวีกำลังรอสินค้าจากพวกเราอยู่ จะไม่แวะได้ไง ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไรมาก อย่าขลาดไปหน่อยเลย”

            แอเรียนเดินจากไป

            “ท่านจะทำอย่างไร” อาติหันไปถามช่วง “ข้าว่าดูไม่ปลอดภัยเลยนะที่จะเข้าไป ท่านจะไม่พยายามเตือนเขาหน่อยหรือ”

            “ข้าก็ไม่ชอบใจนัก แต่จะทำไงได้ แอเรียนบอกว่าปลอดภัย ก็คงต้องเข้าไปเกาะนั่นละ”

            “ถ้าข้าบอกท่านว่า ปลอดภัยที่จะไปเดินเล่นที่ปล่องภูเขาไฟนั่น ท่านจะไปเดินเล่นตามที่ข้าบอกไหมล่ะ” แหวนประชดให้ “เมื่อท่านเห็นว่าไม่ปลอดภัยก็ไม่คิดจะคัดค้านกระไรเลย”

            “เราไม่มีความรู้” ช่วงขึ้นเสียงใส่แหวน “พ่อแอเรียน เขามีความรู้เรื่องทะเลและหมู่เกาะมากกว่าเรา สำหรับเรามันอาจจะดูน่ากลัว แต่จริงๆแล้วมันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ เราให้เขานำทาง เราก็ควรจะเชื่อใจเขานะ อีกอย่างเราเป็นแค่ผู้ขออาศัยเขาเดินทางมาที่นี่ เรามาขึ้นเรือของเขา กินอาหารของเขา เขาไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทนอันใดสักอย่าง ถ้าเขามีกิจธุระต้องเดินทางเข้าไปที่เกาะนั่น เราเป็นแค่ผู้มาขออาศัยเดินทางกับเขา ควรรึจะไปเรียกร้องนู่นี่นั่นจนมากความ”

            ช่วงพูดจบแล้วรีบเดินจากไป คงไม่อยากจะเถียงกับแหวนเพิ่มเติมอีก แหวนมองตามช่วงด้วยสายตาขุ่นเขียว 

            “ถ้าเราตายเพราะหมอนั่นนะ ข้าจะ…” แหวนทำท่าทุบอากาศ

            “ตามจริงแล้วเราเป็นแค่ผู้ขออาศัยติดเรือเขาไป ไม่ควรจะไปมากความนักอย่างที่ช่วงพูด” กัณหาปรามแหวน “แต่อย่างไรก็ตาม ฉันว่าเกาะนั้นก็ไม่น่าเข้าไปอยู่ดี ถ้าจำเป็นต้องเข้าไปเกาะนั้นจริง เราต้องระวังให้มาก ถ้าเห็นท่าไม่ดี รีบชวนกันหนีออกเสียก่อน”

            “กรณีที่หนีทันนะ” อาติยิ้มมุมปาก “ถ้าหนีไม่ทันก็เป็นผีเฝ้าเกาะนี้เลยทีเดียว”

            “ตลกมาก” แหวนตาเขียวใส่อาติ แล้วหันไปแลบลิ้นใส่ช่วง “เชอะ ไหนตอนแรกทำเป็นโม้ บอกว่ากาเจียร์จัดเรือนี้เป็นพิเศษไปส่งเรา แต่มาตอนนี้กับกลายเป็นว่าเรามาขออาศัยเรือเขาไปเสียแล้ว คนปากว่าตาขยิบ”